0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

5Element Part 4

3 posters

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

15Element Part 4 Empty 5Element Part 4 Sat Nov 16, 2013 2:06 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

ความสับสนเริ่มถาโถมเข้าสู่จิตใจของผม  และผลักดันให้ผมทำในสิ่งที่โง่เง่าที่สุด ผมเดินขึ้นภูเขาไฟหาจุดที่อยู่สูงที่สุดเพื่อมองหาไค ทันทีที่ถึงยอดภูเขาไฟ ผมก็ต้องแปลกใจที่ที่ควรจะเป็นปล่องภูเขาไฟกลับเป็นที่ตั้งของวิหารสีแดงเพลิงขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งด้วยหงส์สีทอง ด้านหน้ามีรูปปั้นหงส์ขนาดใหญ่ ดวงตาทรงอำนาจของมันจับจ้องมาที่ผมจนผมเริ่มทำตัวไม่ถูก



“เอ่อ.....สวัสดี  เห็นไคมั้ย”ผมโบกมือทักทายมัน แต่ก็ได้ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น


“โอเคเธอไม่รู้ ช่างมัน”ผมบอกอย่างเซ็งๆก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปในวิหาร ภายในไม่มีใครอยู่เลย แต่ดวงไฟที่ส่องสว่างยังคงลุกโชนอยู่


“เอ่อ สวัสดี คือผม....ชานยอล ผู้พิทักษ์ เอ่อ ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่คิดว่าคงจะได้เป็นเร็วๆนี้”เสียงของผมดังก้องไปทั่วโถง


“ไค...ลู่หาน....เอ่อ อยู่มั้ย”ผมเริ่มร้องเรียก ก่อนที่จู่ๆแสงประหลาดจะสว่างวาบออกมาหลังประตูเหล็กที่ฉลุลวดลายหงส์โบยบิน ก่อนที่ประตูจะเปิดผางออก  ภายในนั้นไม่มีใครอยู่นอกจาก เปลวไฟที่ลุกโชนในพานสีทองเป็นรูปร่างที่แปลกประหลาดที่สุด....มันลุกโชนเป็นรูปหงส์ ผมเดินเข้าไปใกล้มัน รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา ผมยื่นมือไปแตะมันอย่างอยากรู้ ก่อนจะรีบชักมือกลับมา...ผมรู้สึกร้อน


“ผู้พิทักษ์แห่งอัคคี”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเปลวไฟ


“เอ่อ.....คุณเป็นสัตว์เฝ้าที่นี่หรอครับ เอ่อ เห็นไคกับลู่หานมั้ยครับ”ผมเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆกลัวๆ ดวงตาในเปลวเพลิงเหลือบตามองผมด้วยแววตาเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย


“เจ้าไม่ได้มีธุระกับเราหรอกหรือ”


“เอ่อ.....ผมคิดว่าอนาคตต้องมีแน่ เอ่อหมายถึงผมจะกลับมาเยี่ยมคุณอีกประมาณนั้นครับ”ผมรีบแก้ตัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมผมจะต้องมีธุระกับเธอ


“พวกนั้นอยู่ที่พื้นป่าศักดิ์สิทธิ์กับลาลิออน”


“จะว่าอะไรมั้ยครับ ถ้าผมจะให้คุณบอกทางไปที่นั้นน่ะ”ผมยิ้มสู้ผู้หญิงคนนั้น


“อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้”


“เอ่อ คุณจะช่วยพาผมไปได้มั้ยครับ ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก”เปลวไฟลูกโชนด้วยความโกรธเกรี้ยวเหมือนว่าผมพูดอะไรผิดไป ก่อนที่หงส์ตัวนั้นจะสงบลงแล้วตอบผม


“เจ้าคงเป็นผู้พิทักษ์ที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์”หงส์ตัวนั้นพูดต่อ


“ข้าจะให้ข้ารับใช้ของข้าพาเจ้าไป แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ถ้าเจ้ายังไม่พร้อม”เฉียบพลันนั้นหงส์อีกตัวที่ขนาดเล็กกว่าก็ปรากฏกายออกมา


“ขอบคุณครับๆ ไว้ครั้งหน้าผมจะมาเยี่ยมนะครับ โชคดีครับคุณคนเฝ้าวิหาร”ผมโค้งตัวลาก่อนจะรีบเดินออกมา หงส์ตัวนั้นสยายปีกออกอย่างหงุดหงิด ก่อนที่มันจะโผขึ้นกลางอากาศ แล้วใช้กงเล็บตระครุบแขนของผม ทันทีที่มันไต่ลำดับขึ้นกลางอากาศ ผมต้องอ้าปากค้างเมื่อมองเห็นทุกอย่างจากมุมสูง พื้นที่ทั้งหมดไม่ได้มีแค่ภูเขาไฟอย่างเดียว แต่มันประกอบไปด้วยป่า ทะเลสาบ ผืนดิน และที่แปลกที่สุดคือส่วนที่แวววับเหมือนโลหะทุกชนิดมารวมกันอยู่ที่นี่ โดยการวางตัวของพื้นที่ลักษณะคล้ายรูปดาวห้าแฉก แต่ละเมืองมีเส้นสายพลังโยงไปยังอีกเมืองล้อมกันจนเหมือนเป็นวัฏจักรการเกิดของธาตุ โดยศูนย์กลางของดาวคือเส้นสายพลังทั้งหมดที่หลวมรวมกันพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า




    หงส์ตัวนั้นบินอย่างรวดเร็วมายังบริเวณผืนป่าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ตรงกลางมีต้นไม้ขนาดยักษ์สูงชะลูดเฉียดฟ้า ที่ทุ่งหญ้ามีเหล่าสัตว์มากมายทั้งกวาง ม้าลาย และสัตว์กินพืชอื่นๆวิ่งอยู่เต็มทุ่ง สิงโตตัวใหญ่เท่าวัวตัวเต็มวัยกำลังเฝ้ามองอยู่ราวกับว่ามันเป็นพระราชาที่ดูเหล่าราษฎรของมัน  ไคและลู่หานกำลังคุกเข่าลงเคารพสิงโตตัวนั้นอยู่



“ปล่อยผมๆ ตรงนั้นเลย พวกเขากำลังคุยกันอยู่!!!”ผมร้องบอกหงส์แล้วก็ได้ตามคำขอ หงส์ตัวนั้นทิ้งผมลงด้วยระดับความสูงที่ก่อความเสียหายกับร่างกายของผม แต่ทันทีที่ผมสัมผัสกับพื้น พวกเขาก็หายไปเสียแล้ว



     ฝูงสัตว์ที่อยู่รอบตัวผมเริ่มหันมามองตัวผม และเดินเข้ามาหาอย่างสนอกสนใจอย่างกับกำลังคิดอยู่ว่าผมใช้อาหารมื้อเที่ยงของมันรึเปล่า ผมเดินถอยหลังหนีอย่างไม่ไว้ใจ บทเรียนต่างๆสอนให้ผมรู้ว่าไม่ควรไว้ใจอะไรก็ตามที่อยู่ที่นี้ แม้แต่ประตูที่ดูไม่มีพิษมีภัยเมื่อกี้ จนถึงสัตว์น่าขนเคี้ยวเอื้องพวกนี้ ใครจะรู้ว่าภายในปากของมันอาจจะเต็มไปด้วยฟันคมกริบหรือบางอย่างที่น่ากลัวกว่านั้น



 โชคร้ายที่การเดินหนีของผมไม่ได้ผล ฝูงกวางอีกกลุ่มไล่ต้อนผมเข้าไปอยู่ในวงล้อมของเหล่าฝูงสัตว์ พวกมันแลบลิ้นสีชมพูอมม่วงของมันเลียแขนผม สีหน้าของมันเหยเกเหมือนกินพืชมีพิษ ก่อนจะผละถอยห่าง แล้วทำในสิ่งที่ผมแทบเป็นลม



“ไฟ…ตัวการการเผ่าป่า ข้าเกลียดไฟ”กวางตัวหนึ่งพึมพำ ผมยืนมองมันตาค้าง เรื่องเวทมนตร์และอะไรหลายแหล่ผมเริ่มชินแล้ว แต่สัตว์พูดได้ ผมเพิ่งเคยเห็น


“กวางพูดได้…”


“กวางก็พูดได้อยู่แล้ว พวกมนุษย์โง่เง่าต่างหากที่ฟังไม่ออก”กวางอีกตัวพูดราวกับว่าเรื่องที่มันพูดได้เป็นเรื่องปกติ


“ทำไมถึงพูดได้”


“ต้องถามว่าทำไมถึงฟังออกมากกว่านะ เจ้าหงส์หน้าโง่!!”อีกตัวตอบ ความรู้สึกที่เคยคิดว่ากวางเป็นสัตว์อ่อนโยนพังทลายลงมาทันที ผมพยายามคิดตามที่มันพูด มันบอกว่ากวางพูดได้อยู่แล้ว แต่คนฟังไม่ออกเอง ถ้างั้นตอนนี้ที่ผมฟังออกก็คงเพราะหลุดเข้ามาในป่าพิศวงต้องมนต์อะไรนี้น่ะหรอ อาจจะใช่ แต่เรื่องที่ว่าผมเป็นหงส์นั่นเกี่ยวอะไรด้วย


“เมื่อกี้คุณบอกว่าผมเป็นหงส์หรอ…ผมไม่ใช่หงส์นะ ผมเป็นคน”


“โอ๊ะ ให้ตาย เจ้าเป็นหงส์ที่โง่ยิ่งกว่าห่านซะอีก”


“พวกคุณพูดอะ..”ผมพยายามจะถาม แต่จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น


“ฉันว่าพวกเราไม่ควรยืนเป็นเป้านิ่งนานนะๆ”กวางตัวเมียพูดรัวด้วยเสียงหวาดหวั่น ผมไม่แน่ใจว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร


“เป้านิ่ง จากอะไร..”


“เจ้าหงส์โง่! ก็หนีจากพวกผู้ล่าน่ะสิ!!!”


“ผู้ล่า…”เสียงที่แหบแห้งและเต็มไปด้วยความกระหายดังตอบผม


“ก็ใช่น่ะสิ”ไฮยีน่าหิวโซตัวหนึ่งเดินนำฝูงของมันเข้ามา ทันทีที่เหล่ากวางเห็น พวกมันก็แตกวง วิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง ส่วนผมได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่ ผมวิ่งไม่เร็วเหมือนพวกนั้น แล้วก็ไม่มีสติพอจะหนีด้วย ผมได้แต่ยืนมองจ่าฝูงย่างสามขุมเข้ามา


“โอ้….นี่เจ้าโง่หรือฉลาดที่ไม่หนีกันนะ”จ่าฝูงตัวนั้นพูด ทุกครั้งที่มันพูดน้ำลายเหนียวๆก็จะไหลย้อยออกมาจากปากที่เหม็นเน่าของมัน ผมค่อยๆก้าวถอยหลังหนีช้าๆ คว้ากิ่งไม้มาเป็นอาวุธ ไฮยีน่าตัวนั้นหัวเราะด้วยเสียงที่ฟังดูก่ำกึ่งระหว่างคลุ่มคลั่งกับมีความสุข แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็ไม่น่าฟังเลย


“เจ้าคิดว่าไม้แค่นั้นจะทำอะไรข้าได้หรอ”



“ออกไป”ผมพยายามพูดด้วยเสียงมั่นใจและดูคุกคามมากที่สุด และถ้ามันขมขู่ไฮยีน่าตัวนั้นได้ มันก็แทบจะไม่แสดงความกลัวออกมาเลย



    ผมเดินถอยหลังออกไปเรื่อยๆ พยายามมองหาตัวช่วย แต่ก็เปล่าประโยชน์ เมื่อไม่มีใครกล้าพอจะยื่นมือ และไร้เงาของไคและลู่หาน ผมเดินถอยหลังไปเรื่อยๆก่อนผมจะถึงทางตันเมื่อแผ่นหลังชนกับต้นไม้ ไฮยีน่าตัวนั้นส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก น้ำลายของมันไหลเยิ้มมากขึ้น ราวกับอดใจไม่ไหวที่จะฉีกกระชากเนื้อผมเป็นชิ้นๆ



“อยากจะรู้จริงๆว่าเนื้อของผู้พิทักษ์มันจะหวานหอมแค่ไหน”มันพูดอย่างหิวกระหายก่อนจะพยักพเยิดให้ลูกสมุนล้อมผมเอาไว้


“พวกแกจะกินผู้พิทักษ์ได้ยังไง พวกแกต้องเคารพไม่ใช่หรอ”ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขามที่สุด แต่พวกมันกลับส่งเสียงหัวเราะเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในชีวิต


“เคารพผู้พิทักษ์ที่กลัวแม้กระทั่งสัตว์อย่างข้าน่ะหรอ ช่างน่าขัน!!!”พวกมันหัวเราะพร้อมกันจนเขย่าประสาทของผม


“ข้าจะเคารพต่อผู้พิทักษ์ที่น่าเคารพเท่านั้น ถ้าเจ้าพิสูจน์ตัวเองไม่ได้…..”จ่าฝูงเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ผม


“ค่าของเจ้าก็แค่เหยื่อตัวหนึ่งเท่านั้น!!!”ฟันคมกริบของมันกัดเข้าที่ขาของผม พร้อมกับกระชากให้ล้มลง ไฮยีน่าตัวอื่นเริ่มพุ่งเข้ามารุมกัดผม ความเจ็บจากบาดแผลรบกวนสมาธิของผม หมดทางที่จะคิดแก้ไขปัญหา สิ่งเดียวที่ผมคิดอยู่ตอนนี้คือผมไม่อยากตาย


“ปล่อยผม!”ผมร้องลั่น พร้อมกับดิ้นพล่านไปมา การฆ่าของไฮยีน่าไม่ใช่การกัดครั้งเดียวที่คอแล้วจบ แต่มันคือการกินทั้งเป็น แล้วผมก็มั่นใจว่าไม่อยากเป็นอาหารของใคร


 ผมพยายามยืนยัดลุกขึ้นอีกครั้ง  แต่ก็เปล่าประโยชน์ สัญชาตญาณผลักดันให้ผมทำอะไรสักอย่าง ผมพยายามรวบรวมสมาธิที่มีอยู่น้อยนิด เรียกไฟขึ้นมา  ดวงไฟดวงเล็กผลุดขึ้นที่ฝ่ามือ ผมปัดป่ายมือไล่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง


“โอ้! ไฟแค่นี้เองเรอะ”จ่าฝูงพูดเยาะ ผมเงื้อมือขึ้นสูงขมขู่


“ถ้าเข้ามาฉันเผาแกแน่!”


“เอาสิ!”จ่าฝูงตัวนั้นพูดก่อนจะพุ่งเข้าใส่ผม ผมเตรียมจะอัดไฟใส่มัน ขณะนั้นเองที่ลูกไฟกำลังจะพวยพุ่งใส่เจ้าสัตว์น่าขนนั้น จู่ๆมือหนึ่งก็จับข้อมือของผมเอาไว้


“จะฆ่าจิตวิญญาณแห่งการล่านี่ไม่ฉลาดเลยนะ”ผมหันขวับไปตามเสียง ผู้ชายที่เจอกันคืนก่อนยืนอยู่ตรงหน้าผม  เขายังคงพูดด้วยท่าทางกวนประสาท และรอยยิ้มยียวนเหมือนเดิม


“นาย..มาที่นี่ได้ไง!!”


“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ช่วยดับไฟก่อนได้มั้ย ฉันยังไม่อยากให้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าๆนี่ไหม้ทั้งทุ่ง”ผู้ชายคนนั้นบอก ผมเลยดับไฟ ก่อนจะแก้ต่างที่เขากล่าวหาผม


“ฉันไม่ได้จะฆ่าพวกเขา ฉันแค่จะไล่”


“ไล่จิตวิญญาณเนี่ยนะ”เขาทำเหมือนผมกำลังทำเรื่องที่บ้าบอที่สุดในโลก


“พวกเขาไม่ใช่จิตวิญญาณ เขาเป็นสัตว์ มีตัวตน เห็นมั้ย ทั่วทั้ง...”ผมชะงักเมื่อหันไปเห็นทุ่งหญ้าโล่งๆที่ไร้สิ่งมีชีวิต พื้นที่ขนาดใหญ่มีเพียงผมกับผู้ชายคนนั้น


“หะ หะ หายไปไหนแล้ว....”


“พวกเขาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งป่า พวกเขาไม่มีตัวตน”


“มะ มะ หมายความว่าไง”


“ลองนึกถึงป่าดูสิ ป่าเต็มไปด้วยสัตว์ ทั้งนักล่า และเหยื่อ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งป่า คือเป็นจิตวิญญาณของนักล่า และเหยื่อ พูดง่ายๆพวกเขาเป็นแค่ผีที่อยู่ในป่า ถ้าเขาอยากจะปรากฏตัวเขาก็จะออกมาเอง และที่สำคัญพวกเขาฆ่าใครไม่ได้ เขาสูงส่งเกินไปที่จะทำอย่างนั้น”


“โอ้ คริส….ดีใจที่ได้เจอ”จ่าฝูงไฮยีน่าพูดขึ้นพร้อมกับปรากฏกาย ผมยืนมองเขาสลับกันไปมา บทสนทนาที่ไคกับลู่หานคุยกันย้อนกลับเข้ามาใน แม้แต่คริสก็ไม่อาจควบคุมได้….ผู้ชายคนนี้ชื่อคริสงั้นหรอ แล้วเขาเป็นใครกัน


“ดีใจที่ได้เจอเหมือนกันครับ”


“เล่นกับเจ้าแล้วสนุกกว่าเจ้าหงส์งี่เง่าตั้งเยอะ!!!””ไฮยีน่าตอบอย่างหงุดหงิด


“ผมไม่ใช่หงส์”ผมเถียงกลับเบาๆ ยังกลัวว่าจะถูกจู่โจม


“ใช่แน่ เธอใช่แน่ ว่าแต่คริส เจ้ามาทำอะไร มาประชุมกับท่านลาลิออนงั้นหรอ”ผมหันขวับไปมองหน้าเขา เขาต้องเกี่ยวข้องกับไคและลู่หานแน่ ไม่งั้นคงไม่มาประชุมหรอก


“ครับ แต่ก่อนอื่นผมคงต้องส่งแขกไม่ได้รับเชิญกลับบ้านซะก่อน”เขาพูดพร้อมกับเหลือบตามามองผม โดยเน้นคำว่าไม่ได้รับเชิญใส่หน้า ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็เป็นคนไม่มีมารยาทเอาเสียเลย


“ฉันขอไปด้วย ฉันก็เป็นผู้พิทักษ์นะ”เขาหันมามองหน้าผม เหมือนผมกำลังพูดอะไรที่เป็นตลกสุดๆออกมา


“ฉันว่านายกลับไปฝึกตัวเองเพิ่มขึ้นก่อนจะเข้ามาที่นี่ก่อนจะดีกว่ามั้ย”


“แต่…”


“เอาเวลากลับไปคิดข้อแก้ตัวเรื่องที่นายแอบตามไคเข้ามาที่นี้จะดีกว่ามั้ย หงส์ปีกหัก”เขาพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสอากาศที่ว่างเปล่า เฉียบพลันนั้นประตูก็ปรากฏขึ้น


“ไม่กลับนะ!”


“ไว้ฉันจะกลับไปฟังคำแก้ตัวของนายก็แล้วกัน เชิญครับ ผู้พิทักษ์จอมจุ้น”เขาพูดยียวนก่อนจะผลักผมเข้าไปในประตูนั้น


“ไม่! ฉันมีสิทธิจะได้รู้นะ ฉันมี.....ฮึ่ย ไอ้บ้าเอ๊ย!!!”ผมได้แต่สบถไปมาพร้อมกับเตะกำแพงที่เคยมีประตูปรากฏอยู่ตรงนั้นอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง พวกเขาไปประชุมกันเรื่องผม กับใครสักคนที่ดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าผู้พิทักษ์ แต่ผมไม่มีโอกาสได้เขาไปรับรู้ ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของตัวผมเอง...มันไม่ยุติธรรมเลย มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ผมมีสิทธิที่จะรู้ และควรจะได้รู้ตั้งแต่วันแรกแล้วด้วยซ้ำ ทำไมพวกเขาต้องปิดผม!!!


  ผมเงื้อมือขึ้นกลางอากาศ สาดลูกไฟใส่กำแพงนั้นจนไฟลุกท่วม  น่าแปลกที่ผมอารมณ์ร้อนและรุนแรงขึ้นกว่าที่เคย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ ตอนนี้ผมต้องการรู้เรื่องของผม และอยากจะเข้าไปถามเขาเดี๋ยวนี้เลยด้วย ลูกไฟอีกลูกถูกสาดใส่กำแพง เปลวไฟเริ่มแผ่ออกห่อหุ้มร่างกายของผม พลังงานประหลาดไหลเข้ามาในตัวผมอย่างล้นทะลัก ความร้อน ทรงพลัง และเก่าแก่ไหลเข้าตัวผม ผมรู้สึกฉุนเฉียว อยากทำลาย และหมดความอดทนราวกับพวกเปลวไฟพวกนี้เป็นตัวเร่งทางอารมณ์ที่สำคัญของผม



 ลูกไฟดวงโตพุ่งเข้าใส่กำแพงอีกครั้ง เปลวเพลิงรุมรามไปตามกำแพง และเริ่มรามไปที่คาน สิ่งก่อสร้างจากไม้ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว เพราะมันเป็นเชื้อเพลิงที่เปลวไฟโปรดปราณ น่าแปลกที่ผมถึงขั้นหัวเราะเมื่อเห็นความเสียหาย และเริ่มลิงโลดเมื่อได้ยินเสียงทหารตะโกนโวกเวกโวยวายพร้อมกับวิ่งมาทางนี่ราวกับผมอยากให้พวกเขามาดูความสำเร็จของผมในการทำลายข้าวของ



“ท่านชานยอล!!!”ทหารนายหนึ่งเรียกผมอย่างตกใจ พร้อมกับคนอื่นๆที่กรูกันเข้ามาหาผม พร้อมกับเสกเถาวัลย์ยักษ์รัดแขนขาผม แต่เปลวไฟที่ลุกท่วมตัวผมเผาผลาญมันอย่างรวดเร็วๆพอๆกับที่มันเกิดขึ้นมา


“หยุดเถอะครับ ท่านชานยอล น้ำ! น้ำ ท่านลู่หานอยู่ไหน ตามท่านลู่หานมา!!”ทหารที่น่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยสั่งการ


“บอกมาว่าจะเปิดประตูได้ยังไง”ผมตะวาด ถึงจะแปลกใจอยู่ลึกๆที่ตัวเองทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่คิดที่จะหยุดมัน ผมกำลังมีความสุขที่เห็นพวกเขาเกรงกลัว


“ผมไม่เข้าใจที่ท่านถาม”


“ประตูเข้าป่าศักดิ์สิทธิไง!!!”พวกทหารลนลานและเริ่มมองหน้ากัน


“ผมไม่รู้ หยุดเถอะครับ”


“ไม่!”ผมตะวาดลั่น เปลวไฟที่ห่อหุ้มร่างลุกโชนขึ้นมา


“ถ้างั้นฉันก็คงต้องบังคับให้นายหยุด!!!”เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ยังไม่ทันที่ผมจะหันไปมองน้ำหลายแกลลอนก็พุ่งเข้าใส่ร่างของผม พร้อมกับบางส่วนที่ดับไฟบนกำแพง ก่อนที่พวกมันจะม้วนตัวเองแล้วกระชากผมเข้าหาเจ้านายของมัน....ลู่หานยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับไค คริส และผู้ชายแปลกหน้าอีกคน


“พี่ชานยอล...”ไคพูดด้วยน้ำเสียงตกใจระคนผิดหวัง


“ไม่รอดแน่”คริสยักคิ้วให้ผมด้วยท่าทางกวนๆ แต่ถึงจะอย่างนั้นผมก็ยังมองออกว่าแววตาของเขาฉายแววจริงจังอยู่


“ทำบ้าอะไรของนายห๊ะ!!!”ลู่หานตะคอกใส่หน้าของผม ดวงตาหวานโกรธเกรี้ยวราวกับจะฆ่าคนได้ ทันทีที่น้ำสาดใส่ผม ความโกรธของผมก็ดูจะลงฮวบลงอย่างรวดเร็วแต่ถึงจะอย่างนั้น มันก็ไม่ได้หายไปซะทั้งหมด


“พวกคุณปิดบังผม พวกคุณไม่ยอมบอกความจริงกับผม”


“นายพูดอะไร”ลู่หานถามเสียงกระชาก เห็นชัดว่าเขาพยายามอย่างหนักที่จะไม่เผลอฆ่าผม


“ผมได้ยินที่คุณคุยกับไค คุณบอกว่าพลังของผมใกล้จะตื่นขึ้นมา พวกคุณต้องรีบ รีบทำไม แล้วเมื่อคืนพวกคุณก็บอกว่าผมเป็นคนในตำนาน ตำนานอะไร ทำไมไม่มีใครบอกผมเรื่องนี้”ผมพูดอย่างอัดอั้น


“พี่แอบตามผมไปเมื่อคืน!?”ไคถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ ผมพยักหน้ารับอย่างรู้สึกผิด


“ไม่อยากจะเชื่อ...”


“พี่ขอโทษ...แต่พี่มีเหตุผล...”


“นี่ไม่ใช่เขา!”ผู้ชายปริศนาพูดโพล่งขึ้นมา ทำทุกคนตกตะลึง


“หมายความว่าไง”ไคถาม


“เดี๋ยวนะ.....ตอนนายเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นนายได้ไปแตะต้องไฟศักดิ์สิทธิ์รึเปล่า”คริสถามขึ้น สีหน้ากวนประสาทของเขาถูกแทนที่ด้วยความจริงจัง


“ถ้าหมายถึงไฟที่อยู่ในพานทองนั้นก็คงใช่”ทุกคนชะงักงันไปเมื่อผมตอบ ก่อนที่ลู่หานจะเป็นคนแรกที่ได้สติอย่างรวดเร็ว


“นี่นายเข้าไปในนั้นหรอ!!!”ลู่หานพูดอย่างเดือดดาลจนเผลอรัดตัวผมแรงขึ้น ก่อนที่จะคลายออกเมื่อผู้ชายปริศนาเปรยตามองเขา


“ทำไม....มันร้ายแรงหรอ แค่จับเองนะ”คริสพยักหน้าก่อนจะตอบ


“มันยิ่งกว่าร้ายแรง”ความสับสนจู่โจมร่างกายของผมอย่างไม่ปล่อยให้ผมได้ตั้งหลัก ผมมองสีหน้าของพวกเขาที่ดูเคร่งเครียดมากราวกับว่าสิ่งที่ผมทำไปมันร้ายแรงมาก แล้วในตอนนั้นเอง ลู่หานก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด


“เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้ว……เรื่องสำคัญมากด้วย”



-------------------------------------------------------



 พวกเขาทั้งสี่พาผมมายังห้องประชุมขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะกลมสร้างจากไม้ตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยเก้าอี้ห้าตัวที่ทำมาจากวัสดุต่างกัน มีทั้งจากไม้ โลหะเงินแวววาว และบางอย่างที่ดูคล้าย ดิน น้ำ และไฟ ผมไม่คิดว่าพวกมันจะใช้นั่งได้จริง จนกระทั่งลู่หานและชายแปลกหน้านั้นทรุดนั่งตรงเก้าอี้ที่ทำมาจากน้ำ  และดิน



  ทุกคนนั่งประจำที่กันหมด เหลือเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ทำมาจากไฟที่ว่างอยู่ ถ้าเป็นตอนปกติผมคงลังเลที่จะนั่งมัน แต่ไม่ใช่สำหรับตอนนี้แน่นอน


“เรื่องที่ว่านั่นคืออะไรหรอ”ผมถามทันทีที่ทรุดนั่งลง ใจเต้นระรัวกับความจริงที่ตัวเองจะได้รู้


“มาถึงตอนนี้แล้ว ฉันว่าพวกเราควรบอกความจริงกับเขาทั้งหมด”คริสพูดขึ้นท่ามกลางวงสนทนา ก่อนที่ลู่หานจะแย้งขึ้นมาทันควัน


“ฉันแน่ใจว่าฉันบอกแค่ให้เขารู้เรื่องไฟศักดิ์สิทธิไม่ใช่เรื่องทั้งหมดนะ คริส”ร่างสูงเปรยตาหันไปตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าตอนปกติมาก


“ฉันก็แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าเราปิดเป็นความลับต่อไปไม่ได้แล้ว”


“แต่…”


“ผมเห็นด้วย”ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นเห็นด้วย


“เซฮุน!!!”ลู่หานตะหวาด ก่อนที่คริสจะยกมือขึ้นห้าม แล้วหันมามองหน้าผม


“ความจริงที่นายจะได้รู้อาจเปลี่ยนทั้งความคิดและทั้งชีวิตของนาย”


“ผมพร้อมจะฟัง”


“งั้นฉันก็จะเล่าให้ฟัง”เฉียบพลันนั้นโต๊ะที่ผมเคยคิดว่าทำจากไม้แต่จริงๆแล้วมันทำมาจากวัตถุโปร่งแสงก็สว่างวาบขึ้นพร้อมกับการปรากฏของแผนที่จำลองเมืองสามมิติเมืองหนึ่ง ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยภูเขาไฟ และลาวาเดือดผ่าน ทหารและฝูงชนกำลังสู้รบฆ่าฟันกับข้าศึกในชุดดำทั่วทุกหัวละแห้ง ผมมองภาพเบื้องหน้า พร้อมคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ…



ภาพพวกนี้เกี่ยวอะไรกับภูมิหลังของผมกันนะ…

http://0ctogus.forumth.com

25Element Part 4 Empty Re: 5Element Part 4 Fri Dec 06, 2013 11:34 pm

paew14



สวัสดีค่ะไรท์เตอร์ อย่างแรกเลยขอชมว่าเว็บสวยมาก สวยมากจริงๆ ดูเข้ากับบรรยากาศของฟิคที่กำลังอ่านอยู่ทั้งทะเลดำและ 5 element ขอชื่นชมมากๆกับการวางเรื่องและภาษาที่เขียน เพราะมันสวยงามเหมาะสมและถูกต้องจนอยากจะอ่านซ้ำๆและติดตามไปตลอด เนื้อเรื่องสนุกมากค่ะ อ่านไปแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองไปเป็นตัวละครในเรื่องด้วย คาแร็กเตอร์ของชานยอลชัดเจนดีมากค่ะ ชอบมาก อ่าาาา.... อะไรอีกดีล่ะ เอาเป็นว่า เป็นกำลังใจให้ไรท์เตอร์นะคะ แล้วจะติดตามผลงานต่อๆไป รวมเล่มก็จะซื้อ สู้ๆค่ะ

35Element Part 4 Empty Re: 5Element Part 4 Fri Jul 11, 2014 6:24 pm

ky_palm



โอ้ ชานชานไม่ใช่หรอ?
แล้วชานชานคือใครงิ?

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ