ความสับสนเริ่มถาโถมเข้าสู่จิตใจของผม และผลักดันให้ผมทำในสิ่งที่โง่เง่าที่สุด ผมเดินขึ้นภูเขาไฟหาจุดที่อยู่สูงที่สุดเพื่อมองหาไค ทันทีที่ถึงยอดภูเขาไฟ ผมก็ต้องแปลกใจที่ที่ควรจะเป็นปล่องภูเขาไฟกลับเป็นที่ตั้งของวิหารสีแดงเพลิงขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งด้วยหงส์สีทอง ด้านหน้ามีรูปปั้นหงส์ขนาดใหญ่ ดวงตาทรงอำนาจของมันจับจ้องมาที่ผมจนผมเริ่มทำตัวไม่ถูก
“เอ่อ.....สวัสดี เห็นไคมั้ย”ผมโบกมือทักทายมัน แต่ก็ได้ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น
“โอเคเธอไม่รู้ ช่างมัน”ผมบอกอย่างเซ็งๆก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปในวิหาร ภายในไม่มีใครอยู่เลย แต่ดวงไฟที่ส่องสว่างยังคงลุกโชนอยู่
“เอ่อ สวัสดี คือผม....ชานยอล ผู้พิทักษ์ เอ่อ ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่คิดว่าคงจะได้เป็นเร็วๆนี้”เสียงของผมดังก้องไปทั่วโถง
“ไค...ลู่หาน....เอ่อ อยู่มั้ย”ผมเริ่มร้องเรียก ก่อนที่จู่ๆแสงประหลาดจะสว่างวาบออกมาหลังประตูเหล็กที่ฉลุลวดลายหงส์โบยบิน ก่อนที่ประตูจะเปิดผางออก ภายในนั้นไม่มีใครอยู่นอกจาก เปลวไฟที่ลุกโชนในพานสีทองเป็นรูปร่างที่แปลกประหลาดที่สุด....มันลุกโชนเป็นรูปหงส์ ผมเดินเข้าไปใกล้มัน รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา ผมยื่นมือไปแตะมันอย่างอยากรู้ ก่อนจะรีบชักมือกลับมา...ผมรู้สึกร้อน
“ผู้พิทักษ์แห่งอัคคี”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเปลวไฟ
“เอ่อ.....คุณเป็นสัตว์เฝ้าที่นี่หรอครับ เอ่อ เห็นไคกับลู่หานมั้ยครับ”ผมเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆกลัวๆ ดวงตาในเปลวเพลิงเหลือบตามองผมด้วยแววตาเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้มีธุระกับเราหรอกหรือ”
“เอ่อ.....ผมคิดว่าอนาคตต้องมีแน่ เอ่อหมายถึงผมจะกลับมาเยี่ยมคุณอีกประมาณนั้นครับ”ผมรีบแก้ตัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมผมจะต้องมีธุระกับเธอ
“พวกนั้นอยู่ที่พื้นป่าศักดิ์สิทธิ์กับลาลิออน”
“จะว่าอะไรมั้ยครับ ถ้าผมจะให้คุณบอกทางไปที่นั้นน่ะ”ผมยิ้มสู้ผู้หญิงคนนั้น
“อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้”
“เอ่อ คุณจะช่วยพาผมไปได้มั้ยครับ ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก”เปลวไฟลูกโชนด้วยความโกรธเกรี้ยวเหมือนว่าผมพูดอะไรผิดไป ก่อนที่หงส์ตัวนั้นจะสงบลงแล้วตอบผม
“เจ้าคงเป็นผู้พิทักษ์ที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์”หงส์ตัวนั้นพูดต่อ
“ข้าจะให้ข้ารับใช้ของข้าพาเจ้าไป แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ถ้าเจ้ายังไม่พร้อม”เฉียบพลันนั้นหงส์อีกตัวที่ขนาดเล็กกว่าก็ปรากฏกายออกมา
“ขอบคุณครับๆ ไว้ครั้งหน้าผมจะมาเยี่ยมนะครับ โชคดีครับคุณคนเฝ้าวิหาร”ผมโค้งตัวลาก่อนจะรีบเดินออกมา หงส์ตัวนั้นสยายปีกออกอย่างหงุดหงิด ก่อนที่มันจะโผขึ้นกลางอากาศ แล้วใช้กงเล็บตระครุบแขนของผม ทันทีที่มันไต่ลำดับขึ้นกลางอากาศ ผมต้องอ้าปากค้างเมื่อมองเห็นทุกอย่างจากมุมสูง พื้นที่ทั้งหมดไม่ได้มีแค่ภูเขาไฟอย่างเดียว แต่มันประกอบไปด้วยป่า ทะเลสาบ ผืนดิน และที่แปลกที่สุดคือส่วนที่แวววับเหมือนโลหะทุกชนิดมารวมกันอยู่ที่นี่ โดยการวางตัวของพื้นที่ลักษณะคล้ายรูปดาวห้าแฉก แต่ละเมืองมีเส้นสายพลังโยงไปยังอีกเมืองล้อมกันจนเหมือนเป็นวัฏจักรการเกิดของธาตุ โดยศูนย์กลางของดาวคือเส้นสายพลังทั้งหมดที่หลวมรวมกันพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า
หงส์ตัวนั้นบินอย่างรวดเร็วมายังบริเวณผืนป่าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ตรงกลางมีต้นไม้ขนาดยักษ์สูงชะลูดเฉียดฟ้า ที่ทุ่งหญ้ามีเหล่าสัตว์มากมายทั้งกวาง ม้าลาย และสัตว์กินพืชอื่นๆวิ่งอยู่เต็มทุ่ง สิงโตตัวใหญ่เท่าวัวตัวเต็มวัยกำลังเฝ้ามองอยู่ราวกับว่ามันเป็นพระราชาที่ดูเหล่าราษฎรของมัน ไคและลู่หานกำลังคุกเข่าลงเคารพสิงโตตัวนั้นอยู่
“ปล่อยผมๆ ตรงนั้นเลย พวกเขากำลังคุยกันอยู่!!!”ผมร้องบอกหงส์แล้วก็ได้ตามคำขอ หงส์ตัวนั้นทิ้งผมลงด้วยระดับความสูงที่ก่อความเสียหายกับร่างกายของผม แต่ทันทีที่ผมสัมผัสกับพื้น พวกเขาก็หายไปเสียแล้ว
ฝูงสัตว์ที่อยู่รอบตัวผมเริ่มหันมามองตัวผม และเดินเข้ามาหาอย่างสนอกสนใจอย่างกับกำลังคิดอยู่ว่าผมใช้อาหารมื้อเที่ยงของมันรึเปล่า ผมเดินถอยหลังหนีอย่างไม่ไว้ใจ บทเรียนต่างๆสอนให้ผมรู้ว่าไม่ควรไว้ใจอะไรก็ตามที่อยู่ที่นี้ แม้แต่ประตูที่ดูไม่มีพิษมีภัยเมื่อกี้ จนถึงสัตว์น่าขนเคี้ยวเอื้องพวกนี้ ใครจะรู้ว่าภายในปากของมันอาจจะเต็มไปด้วยฟันคมกริบหรือบางอย่างที่น่ากลัวกว่านั้น
โชคร้ายที่การเดินหนีของผมไม่ได้ผล ฝูงกวางอีกกลุ่มไล่ต้อนผมเข้าไปอยู่ในวงล้อมของเหล่าฝูงสัตว์ พวกมันแลบลิ้นสีชมพูอมม่วงของมันเลียแขนผม สีหน้าของมันเหยเกเหมือนกินพืชมีพิษ ก่อนจะผละถอยห่าง แล้วทำในสิ่งที่ผมแทบเป็นลม
“ไฟ…ตัวการการเผ่าป่า ข้าเกลียดไฟ”กวางตัวหนึ่งพึมพำ ผมยืนมองมันตาค้าง เรื่องเวทมนตร์และอะไรหลายแหล่ผมเริ่มชินแล้ว แต่สัตว์พูดได้ ผมเพิ่งเคยเห็น
“กวางพูดได้…”
“กวางก็พูดได้อยู่แล้ว พวกมนุษย์โง่เง่าต่างหากที่ฟังไม่ออก”กวางอีกตัวพูดราวกับว่าเรื่องที่มันพูดได้เป็นเรื่องปกติ
“ทำไมถึงพูดได้”
“ต้องถามว่าทำไมถึงฟังออกมากกว่านะ เจ้าหงส์หน้าโง่!!”อีกตัวตอบ ความรู้สึกที่เคยคิดว่ากวางเป็นสัตว์อ่อนโยนพังทลายลงมาทันที ผมพยายามคิดตามที่มันพูด มันบอกว่ากวางพูดได้อยู่แล้ว แต่คนฟังไม่ออกเอง ถ้างั้นตอนนี้ที่ผมฟังออกก็คงเพราะหลุดเข้ามาในป่าพิศวงต้องมนต์อะไรนี้น่ะหรอ อาจจะใช่ แต่เรื่องที่ว่าผมเป็นหงส์นั่นเกี่ยวอะไรด้วย
“เมื่อกี้คุณบอกว่าผมเป็นหงส์หรอ…ผมไม่ใช่หงส์นะ ผมเป็นคน”
“โอ๊ะ ให้ตาย เจ้าเป็นหงส์ที่โง่ยิ่งกว่าห่านซะอีก”
“พวกคุณพูดอะ..”ผมพยายามจะถาม แต่จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น
“ฉันว่าพวกเราไม่ควรยืนเป็นเป้านิ่งนานนะๆ”กวางตัวเมียพูดรัวด้วยเสียงหวาดหวั่น ผมไม่แน่ใจว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร
“เป้านิ่ง จากอะไร..”
“เจ้าหงส์โง่! ก็หนีจากพวกผู้ล่าน่ะสิ!!!”
“ผู้ล่า…”เสียงที่แหบแห้งและเต็มไปด้วยความกระหายดังตอบผม
“ก็ใช่น่ะสิ”ไฮยีน่าหิวโซตัวหนึ่งเดินนำฝูงของมันเข้ามา ทันทีที่เหล่ากวางเห็น พวกมันก็แตกวง วิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง ส่วนผมได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่ ผมวิ่งไม่เร็วเหมือนพวกนั้น แล้วก็ไม่มีสติพอจะหนีด้วย ผมได้แต่ยืนมองจ่าฝูงย่างสามขุมเข้ามา
“โอ้….นี่เจ้าโง่หรือฉลาดที่ไม่หนีกันนะ”จ่าฝูงตัวนั้นพูด ทุกครั้งที่มันพูดน้ำลายเหนียวๆก็จะไหลย้อยออกมาจากปากที่เหม็นเน่าของมัน ผมค่อยๆก้าวถอยหลังหนีช้าๆ คว้ากิ่งไม้มาเป็นอาวุธ ไฮยีน่าตัวนั้นหัวเราะด้วยเสียงที่ฟังดูก่ำกึ่งระหว่างคลุ่มคลั่งกับมีความสุข แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็ไม่น่าฟังเลย
“เจ้าคิดว่าไม้แค่นั้นจะทำอะไรข้าได้หรอ”
“ออกไป”ผมพยายามพูดด้วยเสียงมั่นใจและดูคุกคามมากที่สุด และถ้ามันขมขู่ไฮยีน่าตัวนั้นได้ มันก็แทบจะไม่แสดงความกลัวออกมาเลย
ผมเดินถอยหลังออกไปเรื่อยๆ พยายามมองหาตัวช่วย แต่ก็เปล่าประโยชน์ เมื่อไม่มีใครกล้าพอจะยื่นมือ และไร้เงาของไคและลู่หาน ผมเดินถอยหลังไปเรื่อยๆก่อนผมจะถึงทางตันเมื่อแผ่นหลังชนกับต้นไม้ ไฮยีน่าตัวนั้นส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก น้ำลายของมันไหลเยิ้มมากขึ้น ราวกับอดใจไม่ไหวที่จะฉีกกระชากเนื้อผมเป็นชิ้นๆ
“อยากจะรู้จริงๆว่าเนื้อของผู้พิทักษ์มันจะหวานหอมแค่ไหน”มันพูดอย่างหิวกระหายก่อนจะพยักพเยิดให้ลูกสมุนล้อมผมเอาไว้
“พวกแกจะกินผู้พิทักษ์ได้ยังไง พวกแกต้องเคารพไม่ใช่หรอ”ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขามที่สุด แต่พวกมันกลับส่งเสียงหัวเราะเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในชีวิต
“เคารพผู้พิทักษ์ที่กลัวแม้กระทั่งสัตว์อย่างข้าน่ะหรอ ช่างน่าขัน!!!”พวกมันหัวเราะพร้อมกันจนเขย่าประสาทของผม
“ข้าจะเคารพต่อผู้พิทักษ์ที่น่าเคารพเท่านั้น ถ้าเจ้าพิสูจน์ตัวเองไม่ได้…..”จ่าฝูงเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ผม
“ค่าของเจ้าก็แค่เหยื่อตัวหนึ่งเท่านั้น!!!”ฟันคมกริบของมันกัดเข้าที่ขาของผม พร้อมกับกระชากให้ล้มลง ไฮยีน่าตัวอื่นเริ่มพุ่งเข้ามารุมกัดผม ความเจ็บจากบาดแผลรบกวนสมาธิของผม หมดทางที่จะคิดแก้ไขปัญหา สิ่งเดียวที่ผมคิดอยู่ตอนนี้คือผมไม่อยากตาย
“ปล่อยผม!”ผมร้องลั่น พร้อมกับดิ้นพล่านไปมา การฆ่าของไฮยีน่าไม่ใช่การกัดครั้งเดียวที่คอแล้วจบ แต่มันคือการกินทั้งเป็น แล้วผมก็มั่นใจว่าไม่อยากเป็นอาหารของใคร
ผมพยายามยืนยัดลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เปล่าประโยชน์ สัญชาตญาณผลักดันให้ผมทำอะไรสักอย่าง ผมพยายามรวบรวมสมาธิที่มีอยู่น้อยนิด เรียกไฟขึ้นมา ดวงไฟดวงเล็กผลุดขึ้นที่ฝ่ามือ ผมปัดป่ายมือไล่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง
“โอ้! ไฟแค่นี้เองเรอะ”จ่าฝูงพูดเยาะ ผมเงื้อมือขึ้นสูงขมขู่
“ถ้าเข้ามาฉันเผาแกแน่!”
“เอาสิ!”จ่าฝูงตัวนั้นพูดก่อนจะพุ่งเข้าใส่ผม ผมเตรียมจะอัดไฟใส่มัน ขณะนั้นเองที่ลูกไฟกำลังจะพวยพุ่งใส่เจ้าสัตว์น่าขนนั้น จู่ๆมือหนึ่งก็จับข้อมือของผมเอาไว้
“จะฆ่าจิตวิญญาณแห่งการล่านี่ไม่ฉลาดเลยนะ”ผมหันขวับไปตามเสียง ผู้ชายที่เจอกันคืนก่อนยืนอยู่ตรงหน้าผม เขายังคงพูดด้วยท่าทางกวนประสาท และรอยยิ้มยียวนเหมือนเดิม
“นาย..มาที่นี่ได้ไง!!”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ช่วยดับไฟก่อนได้มั้ย ฉันยังไม่อยากให้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าๆนี่ไหม้ทั้งทุ่ง”ผู้ชายคนนั้นบอก ผมเลยดับไฟ ก่อนจะแก้ต่างที่เขากล่าวหาผม
“ฉันไม่ได้จะฆ่าพวกเขา ฉันแค่จะไล่”
“ไล่จิตวิญญาณเนี่ยนะ”เขาทำเหมือนผมกำลังทำเรื่องที่บ้าบอที่สุดในโลก
“พวกเขาไม่ใช่จิตวิญญาณ เขาเป็นสัตว์ มีตัวตน เห็นมั้ย ทั่วทั้ง...”ผมชะงักเมื่อหันไปเห็นทุ่งหญ้าโล่งๆที่ไร้สิ่งมีชีวิต พื้นที่ขนาดใหญ่มีเพียงผมกับผู้ชายคนนั้น
“หะ หะ หายไปไหนแล้ว....”
“พวกเขาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งป่า พวกเขาไม่มีตัวตน”
“มะ มะ หมายความว่าไง”
“ลองนึกถึงป่าดูสิ ป่าเต็มไปด้วยสัตว์ ทั้งนักล่า และเหยื่อ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งป่า คือเป็นจิตวิญญาณของนักล่า และเหยื่อ พูดง่ายๆพวกเขาเป็นแค่ผีที่อยู่ในป่า ถ้าเขาอยากจะปรากฏตัวเขาก็จะออกมาเอง และที่สำคัญพวกเขาฆ่าใครไม่ได้ เขาสูงส่งเกินไปที่จะทำอย่างนั้น”
“โอ้ คริส….ดีใจที่ได้เจอ”จ่าฝูงไฮยีน่าพูดขึ้นพร้อมกับปรากฏกาย ผมยืนมองเขาสลับกันไปมา บทสนทนาที่ไคกับลู่หานคุยกันย้อนกลับเข้ามาใน แม้แต่คริสก็ไม่อาจควบคุมได้….ผู้ชายคนนี้ชื่อคริสงั้นหรอ แล้วเขาเป็นใครกัน
“ดีใจที่ได้เจอเหมือนกันครับ”
“เล่นกับเจ้าแล้วสนุกกว่าเจ้าหงส์งี่เง่าตั้งเยอะ!!!””ไฮยีน่าตอบอย่างหงุดหงิด
“ผมไม่ใช่หงส์”ผมเถียงกลับเบาๆ ยังกลัวว่าจะถูกจู่โจม
“ใช่แน่ เธอใช่แน่ ว่าแต่คริส เจ้ามาทำอะไร มาประชุมกับท่านลาลิออนงั้นหรอ”ผมหันขวับไปมองหน้าเขา เขาต้องเกี่ยวข้องกับไคและลู่หานแน่ ไม่งั้นคงไม่มาประชุมหรอก
“ครับ แต่ก่อนอื่นผมคงต้องส่งแขกไม่ได้รับเชิญกลับบ้านซะก่อน”เขาพูดพร้อมกับเหลือบตามามองผม โดยเน้นคำว่าไม่ได้รับเชิญใส่หน้า ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็เป็นคนไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
“ฉันขอไปด้วย ฉันก็เป็นผู้พิทักษ์นะ”เขาหันมามองหน้าผม เหมือนผมกำลังพูดอะไรที่เป็นตลกสุดๆออกมา
“ฉันว่านายกลับไปฝึกตัวเองเพิ่มขึ้นก่อนจะเข้ามาที่นี่ก่อนจะดีกว่ามั้ย”
“แต่…”
“เอาเวลากลับไปคิดข้อแก้ตัวเรื่องที่นายแอบตามไคเข้ามาที่นี้จะดีกว่ามั้ย หงส์ปีกหัก”เขาพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสอากาศที่ว่างเปล่า เฉียบพลันนั้นประตูก็ปรากฏขึ้น
“ไม่กลับนะ!”
“ไว้ฉันจะกลับไปฟังคำแก้ตัวของนายก็แล้วกัน เชิญครับ ผู้พิทักษ์จอมจุ้น”เขาพูดยียวนก่อนจะผลักผมเข้าไปในประตูนั้น
“ไม่! ฉันมีสิทธิจะได้รู้นะ ฉันมี.....ฮึ่ย ไอ้บ้าเอ๊ย!!!”ผมได้แต่สบถไปมาพร้อมกับเตะกำแพงที่เคยมีประตูปรากฏอยู่ตรงนั้นอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง พวกเขาไปประชุมกันเรื่องผม กับใครสักคนที่ดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าผู้พิทักษ์ แต่ผมไม่มีโอกาสได้เขาไปรับรู้ ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของตัวผมเอง...มันไม่ยุติธรรมเลย มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ผมมีสิทธิที่จะรู้ และควรจะได้รู้ตั้งแต่วันแรกแล้วด้วยซ้ำ ทำไมพวกเขาต้องปิดผม!!!
ผมเงื้อมือขึ้นกลางอากาศ สาดลูกไฟใส่กำแพงนั้นจนไฟลุกท่วม น่าแปลกที่ผมอารมณ์ร้อนและรุนแรงขึ้นกว่าที่เคย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ ตอนนี้ผมต้องการรู้เรื่องของผม และอยากจะเข้าไปถามเขาเดี๋ยวนี้เลยด้วย ลูกไฟอีกลูกถูกสาดใส่กำแพง เปลวไฟเริ่มแผ่ออกห่อหุ้มร่างกายของผม พลังงานประหลาดไหลเข้ามาในตัวผมอย่างล้นทะลัก ความร้อน ทรงพลัง และเก่าแก่ไหลเข้าตัวผม ผมรู้สึกฉุนเฉียว อยากทำลาย และหมดความอดทนราวกับพวกเปลวไฟพวกนี้เป็นตัวเร่งทางอารมณ์ที่สำคัญของผม
ลูกไฟดวงโตพุ่งเข้าใส่กำแพงอีกครั้ง เปลวเพลิงรุมรามไปตามกำแพง และเริ่มรามไปที่คาน สิ่งก่อสร้างจากไม้ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว เพราะมันเป็นเชื้อเพลิงที่เปลวไฟโปรดปราณ น่าแปลกที่ผมถึงขั้นหัวเราะเมื่อเห็นความเสียหาย และเริ่มลิงโลดเมื่อได้ยินเสียงทหารตะโกนโวกเวกโวยวายพร้อมกับวิ่งมาทางนี่ราวกับผมอยากให้พวกเขามาดูความสำเร็จของผมในการทำลายข้าวของ
“ท่านชานยอล!!!”ทหารนายหนึ่งเรียกผมอย่างตกใจ พร้อมกับคนอื่นๆที่กรูกันเข้ามาหาผม พร้อมกับเสกเถาวัลย์ยักษ์รัดแขนขาผม แต่เปลวไฟที่ลุกท่วมตัวผมเผาผลาญมันอย่างรวดเร็วๆพอๆกับที่มันเกิดขึ้นมา
“หยุดเถอะครับ ท่านชานยอล น้ำ! น้ำ ท่านลู่หานอยู่ไหน ตามท่านลู่หานมา!!”ทหารที่น่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยสั่งการ
“บอกมาว่าจะเปิดประตูได้ยังไง”ผมตะวาด ถึงจะแปลกใจอยู่ลึกๆที่ตัวเองทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่คิดที่จะหยุดมัน ผมกำลังมีความสุขที่เห็นพวกเขาเกรงกลัว
“ผมไม่เข้าใจที่ท่านถาม”
“ประตูเข้าป่าศักดิ์สิทธิไง!!!”พวกทหารลนลานและเริ่มมองหน้ากัน
“ผมไม่รู้ หยุดเถอะครับ”
“ไม่!”ผมตะวาดลั่น เปลวไฟที่ห่อหุ้มร่างลุกโชนขึ้นมา
“ถ้างั้นฉันก็คงต้องบังคับให้นายหยุด!!!”เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ยังไม่ทันที่ผมจะหันไปมองน้ำหลายแกลลอนก็พุ่งเข้าใส่ร่างของผม พร้อมกับบางส่วนที่ดับไฟบนกำแพง ก่อนที่พวกมันจะม้วนตัวเองแล้วกระชากผมเข้าหาเจ้านายของมัน....ลู่หานยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับไค คริส และผู้ชายแปลกหน้าอีกคน
“พี่ชานยอล...”ไคพูดด้วยน้ำเสียงตกใจระคนผิดหวัง
“ไม่รอดแน่”คริสยักคิ้วให้ผมด้วยท่าทางกวนๆ แต่ถึงจะอย่างนั้นผมก็ยังมองออกว่าแววตาของเขาฉายแววจริงจังอยู่
“ทำบ้าอะไรของนายห๊ะ!!!”ลู่หานตะคอกใส่หน้าของผม ดวงตาหวานโกรธเกรี้ยวราวกับจะฆ่าคนได้ ทันทีที่น้ำสาดใส่ผม ความโกรธของผมก็ดูจะลงฮวบลงอย่างรวดเร็วแต่ถึงจะอย่างนั้น มันก็ไม่ได้หายไปซะทั้งหมด
“พวกคุณปิดบังผม พวกคุณไม่ยอมบอกความจริงกับผม”
“นายพูดอะไร”ลู่หานถามเสียงกระชาก เห็นชัดว่าเขาพยายามอย่างหนักที่จะไม่เผลอฆ่าผม
“ผมได้ยินที่คุณคุยกับไค คุณบอกว่าพลังของผมใกล้จะตื่นขึ้นมา พวกคุณต้องรีบ รีบทำไม แล้วเมื่อคืนพวกคุณก็บอกว่าผมเป็นคนในตำนาน ตำนานอะไร ทำไมไม่มีใครบอกผมเรื่องนี้”ผมพูดอย่างอัดอั้น
“พี่แอบตามผมไปเมื่อคืน!?”ไคถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ ผมพยักหน้ารับอย่างรู้สึกผิด
“ไม่อยากจะเชื่อ...”
“พี่ขอโทษ...แต่พี่มีเหตุผล...”
“นี่ไม่ใช่เขา!”ผู้ชายปริศนาพูดโพล่งขึ้นมา ทำทุกคนตกตะลึง
“หมายความว่าไง”ไคถาม
“เดี๋ยวนะ.....ตอนนายเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นนายได้ไปแตะต้องไฟศักดิ์สิทธิ์รึเปล่า”คริสถามขึ้น สีหน้ากวนประสาทของเขาถูกแทนที่ด้วยความจริงจัง
“ถ้าหมายถึงไฟที่อยู่ในพานทองนั้นก็คงใช่”ทุกคนชะงักงันไปเมื่อผมตอบ ก่อนที่ลู่หานจะเป็นคนแรกที่ได้สติอย่างรวดเร็ว
“นี่นายเข้าไปในนั้นหรอ!!!”ลู่หานพูดอย่างเดือดดาลจนเผลอรัดตัวผมแรงขึ้น ก่อนที่จะคลายออกเมื่อผู้ชายปริศนาเปรยตามองเขา
“ทำไม....มันร้ายแรงหรอ แค่จับเองนะ”คริสพยักหน้าก่อนจะตอบ
“มันยิ่งกว่าร้ายแรง”ความสับสนจู่โจมร่างกายของผมอย่างไม่ปล่อยให้ผมได้ตั้งหลัก ผมมองสีหน้าของพวกเขาที่ดูเคร่งเครียดมากราวกับว่าสิ่งที่ผมทำไปมันร้ายแรงมาก แล้วในตอนนั้นเอง ลู่หานก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด
“เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้ว……เรื่องสำคัญมากด้วย”
-------------------------------------------------------
พวกเขาทั้งสี่พาผมมายังห้องประชุมขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะกลมสร้างจากไม้ตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยเก้าอี้ห้าตัวที่ทำมาจากวัสดุต่างกัน มีทั้งจากไม้ โลหะเงินแวววาว และบางอย่างที่ดูคล้าย ดิน น้ำ และไฟ ผมไม่คิดว่าพวกมันจะใช้นั่งได้จริง จนกระทั่งลู่หานและชายแปลกหน้านั้นทรุดนั่งตรงเก้าอี้ที่ทำมาจากน้ำ และดิน
ทุกคนนั่งประจำที่กันหมด เหลือเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ทำมาจากไฟที่ว่างอยู่ ถ้าเป็นตอนปกติผมคงลังเลที่จะนั่งมัน แต่ไม่ใช่สำหรับตอนนี้แน่นอน
“เรื่องที่ว่านั่นคืออะไรหรอ”ผมถามทันทีที่ทรุดนั่งลง ใจเต้นระรัวกับความจริงที่ตัวเองจะได้รู้
“มาถึงตอนนี้แล้ว ฉันว่าพวกเราควรบอกความจริงกับเขาทั้งหมด”คริสพูดขึ้นท่ามกลางวงสนทนา ก่อนที่ลู่หานจะแย้งขึ้นมาทันควัน
“ฉันแน่ใจว่าฉันบอกแค่ให้เขารู้เรื่องไฟศักดิ์สิทธิไม่ใช่เรื่องทั้งหมดนะ คริส”ร่างสูงเปรยตาหันไปตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าตอนปกติมาก
“ฉันก็แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าเราปิดเป็นความลับต่อไปไม่ได้แล้ว”
“แต่…”
“ผมเห็นด้วย”ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นเห็นด้วย
“เซฮุน!!!”ลู่หานตะหวาด ก่อนที่คริสจะยกมือขึ้นห้าม แล้วหันมามองหน้าผม
“ความจริงที่นายจะได้รู้อาจเปลี่ยนทั้งความคิดและทั้งชีวิตของนาย”
“ผมพร้อมจะฟัง”
“งั้นฉันก็จะเล่าให้ฟัง”เฉียบพลันนั้นโต๊ะที่ผมเคยคิดว่าทำจากไม้แต่จริงๆแล้วมันทำมาจากวัตถุโปร่งแสงก็สว่างวาบขึ้นพร้อมกับการปรากฏของแผนที่จำลองเมืองสามมิติเมืองหนึ่ง ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยภูเขาไฟ และลาวาเดือดผ่าน ทหารและฝูงชนกำลังสู้รบฆ่าฟันกับข้าศึกในชุดดำทั่วทุกหัวละแห้ง ผมมองภาพเบื้องหน้า พร้อมคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ…
ภาพพวกนี้เกี่ยวอะไรกับภูมิหลังของผมกันนะ…
“เอ่อ.....สวัสดี เห็นไคมั้ย”ผมโบกมือทักทายมัน แต่ก็ได้ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น
“โอเคเธอไม่รู้ ช่างมัน”ผมบอกอย่างเซ็งๆก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปในวิหาร ภายในไม่มีใครอยู่เลย แต่ดวงไฟที่ส่องสว่างยังคงลุกโชนอยู่
“เอ่อ สวัสดี คือผม....ชานยอล ผู้พิทักษ์ เอ่อ ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่คิดว่าคงจะได้เป็นเร็วๆนี้”เสียงของผมดังก้องไปทั่วโถง
“ไค...ลู่หาน....เอ่อ อยู่มั้ย”ผมเริ่มร้องเรียก ก่อนที่จู่ๆแสงประหลาดจะสว่างวาบออกมาหลังประตูเหล็กที่ฉลุลวดลายหงส์โบยบิน ก่อนที่ประตูจะเปิดผางออก ภายในนั้นไม่มีใครอยู่นอกจาก เปลวไฟที่ลุกโชนในพานสีทองเป็นรูปร่างที่แปลกประหลาดที่สุด....มันลุกโชนเป็นรูปหงส์ ผมเดินเข้าไปใกล้มัน รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา ผมยื่นมือไปแตะมันอย่างอยากรู้ ก่อนจะรีบชักมือกลับมา...ผมรู้สึกร้อน
“ผู้พิทักษ์แห่งอัคคี”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเปลวไฟ
“เอ่อ.....คุณเป็นสัตว์เฝ้าที่นี่หรอครับ เอ่อ เห็นไคกับลู่หานมั้ยครับ”ผมเดินเข้าไปหาอย่างกล้าๆกลัวๆ ดวงตาในเปลวเพลิงเหลือบตามองผมด้วยแววตาเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย
“เจ้าไม่ได้มีธุระกับเราหรอกหรือ”
“เอ่อ.....ผมคิดว่าอนาคตต้องมีแน่ เอ่อหมายถึงผมจะกลับมาเยี่ยมคุณอีกประมาณนั้นครับ”ผมรีบแก้ตัวทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมผมจะต้องมีธุระกับเธอ
“พวกนั้นอยู่ที่พื้นป่าศักดิ์สิทธิ์กับลาลิออน”
“จะว่าอะไรมั้ยครับ ถ้าผมจะให้คุณบอกทางไปที่นั้นน่ะ”ผมยิ้มสู้ผู้หญิงคนนั้น
“อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้”
“เอ่อ คุณจะช่วยพาผมไปได้มั้ยครับ ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก”เปลวไฟลูกโชนด้วยความโกรธเกรี้ยวเหมือนว่าผมพูดอะไรผิดไป ก่อนที่หงส์ตัวนั้นจะสงบลงแล้วตอบผม
“เจ้าคงเป็นผู้พิทักษ์ที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์”หงส์ตัวนั้นพูดต่อ
“ข้าจะให้ข้ารับใช้ของข้าพาเจ้าไป แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ถ้าเจ้ายังไม่พร้อม”เฉียบพลันนั้นหงส์อีกตัวที่ขนาดเล็กกว่าก็ปรากฏกายออกมา
“ขอบคุณครับๆ ไว้ครั้งหน้าผมจะมาเยี่ยมนะครับ โชคดีครับคุณคนเฝ้าวิหาร”ผมโค้งตัวลาก่อนจะรีบเดินออกมา หงส์ตัวนั้นสยายปีกออกอย่างหงุดหงิด ก่อนที่มันจะโผขึ้นกลางอากาศ แล้วใช้กงเล็บตระครุบแขนของผม ทันทีที่มันไต่ลำดับขึ้นกลางอากาศ ผมต้องอ้าปากค้างเมื่อมองเห็นทุกอย่างจากมุมสูง พื้นที่ทั้งหมดไม่ได้มีแค่ภูเขาไฟอย่างเดียว แต่มันประกอบไปด้วยป่า ทะเลสาบ ผืนดิน และที่แปลกที่สุดคือส่วนที่แวววับเหมือนโลหะทุกชนิดมารวมกันอยู่ที่นี่ โดยการวางตัวของพื้นที่ลักษณะคล้ายรูปดาวห้าแฉก แต่ละเมืองมีเส้นสายพลังโยงไปยังอีกเมืองล้อมกันจนเหมือนเป็นวัฏจักรการเกิดของธาตุ โดยศูนย์กลางของดาวคือเส้นสายพลังทั้งหมดที่หลวมรวมกันพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า
หงส์ตัวนั้นบินอย่างรวดเร็วมายังบริเวณผืนป่าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ตรงกลางมีต้นไม้ขนาดยักษ์สูงชะลูดเฉียดฟ้า ที่ทุ่งหญ้ามีเหล่าสัตว์มากมายทั้งกวาง ม้าลาย และสัตว์กินพืชอื่นๆวิ่งอยู่เต็มทุ่ง สิงโตตัวใหญ่เท่าวัวตัวเต็มวัยกำลังเฝ้ามองอยู่ราวกับว่ามันเป็นพระราชาที่ดูเหล่าราษฎรของมัน ไคและลู่หานกำลังคุกเข่าลงเคารพสิงโตตัวนั้นอยู่
“ปล่อยผมๆ ตรงนั้นเลย พวกเขากำลังคุยกันอยู่!!!”ผมร้องบอกหงส์แล้วก็ได้ตามคำขอ หงส์ตัวนั้นทิ้งผมลงด้วยระดับความสูงที่ก่อความเสียหายกับร่างกายของผม แต่ทันทีที่ผมสัมผัสกับพื้น พวกเขาก็หายไปเสียแล้ว
ฝูงสัตว์ที่อยู่รอบตัวผมเริ่มหันมามองตัวผม และเดินเข้ามาหาอย่างสนอกสนใจอย่างกับกำลังคิดอยู่ว่าผมใช้อาหารมื้อเที่ยงของมันรึเปล่า ผมเดินถอยหลังหนีอย่างไม่ไว้ใจ บทเรียนต่างๆสอนให้ผมรู้ว่าไม่ควรไว้ใจอะไรก็ตามที่อยู่ที่นี้ แม้แต่ประตูที่ดูไม่มีพิษมีภัยเมื่อกี้ จนถึงสัตว์น่าขนเคี้ยวเอื้องพวกนี้ ใครจะรู้ว่าภายในปากของมันอาจจะเต็มไปด้วยฟันคมกริบหรือบางอย่างที่น่ากลัวกว่านั้น
โชคร้ายที่การเดินหนีของผมไม่ได้ผล ฝูงกวางอีกกลุ่มไล่ต้อนผมเข้าไปอยู่ในวงล้อมของเหล่าฝูงสัตว์ พวกมันแลบลิ้นสีชมพูอมม่วงของมันเลียแขนผม สีหน้าของมันเหยเกเหมือนกินพืชมีพิษ ก่อนจะผละถอยห่าง แล้วทำในสิ่งที่ผมแทบเป็นลม
“ไฟ…ตัวการการเผ่าป่า ข้าเกลียดไฟ”กวางตัวหนึ่งพึมพำ ผมยืนมองมันตาค้าง เรื่องเวทมนตร์และอะไรหลายแหล่ผมเริ่มชินแล้ว แต่สัตว์พูดได้ ผมเพิ่งเคยเห็น
“กวางพูดได้…”
“กวางก็พูดได้อยู่แล้ว พวกมนุษย์โง่เง่าต่างหากที่ฟังไม่ออก”กวางอีกตัวพูดราวกับว่าเรื่องที่มันพูดได้เป็นเรื่องปกติ
“ทำไมถึงพูดได้”
“ต้องถามว่าทำไมถึงฟังออกมากกว่านะ เจ้าหงส์หน้าโง่!!”อีกตัวตอบ ความรู้สึกที่เคยคิดว่ากวางเป็นสัตว์อ่อนโยนพังทลายลงมาทันที ผมพยายามคิดตามที่มันพูด มันบอกว่ากวางพูดได้อยู่แล้ว แต่คนฟังไม่ออกเอง ถ้างั้นตอนนี้ที่ผมฟังออกก็คงเพราะหลุดเข้ามาในป่าพิศวงต้องมนต์อะไรนี้น่ะหรอ อาจจะใช่ แต่เรื่องที่ว่าผมเป็นหงส์นั่นเกี่ยวอะไรด้วย
“เมื่อกี้คุณบอกว่าผมเป็นหงส์หรอ…ผมไม่ใช่หงส์นะ ผมเป็นคน”
“โอ๊ะ ให้ตาย เจ้าเป็นหงส์ที่โง่ยิ่งกว่าห่านซะอีก”
“พวกคุณพูดอะ..”ผมพยายามจะถาม แต่จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น
“ฉันว่าพวกเราไม่ควรยืนเป็นเป้านิ่งนานนะๆ”กวางตัวเมียพูดรัวด้วยเสียงหวาดหวั่น ผมไม่แน่ใจว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร
“เป้านิ่ง จากอะไร..”
“เจ้าหงส์โง่! ก็หนีจากพวกผู้ล่าน่ะสิ!!!”
“ผู้ล่า…”เสียงที่แหบแห้งและเต็มไปด้วยความกระหายดังตอบผม
“ก็ใช่น่ะสิ”ไฮยีน่าหิวโซตัวหนึ่งเดินนำฝูงของมันเข้ามา ทันทีที่เหล่ากวางเห็น พวกมันก็แตกวง วิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง ส่วนผมได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่ ผมวิ่งไม่เร็วเหมือนพวกนั้น แล้วก็ไม่มีสติพอจะหนีด้วย ผมได้แต่ยืนมองจ่าฝูงย่างสามขุมเข้ามา
“โอ้….นี่เจ้าโง่หรือฉลาดที่ไม่หนีกันนะ”จ่าฝูงตัวนั้นพูด ทุกครั้งที่มันพูดน้ำลายเหนียวๆก็จะไหลย้อยออกมาจากปากที่เหม็นเน่าของมัน ผมค่อยๆก้าวถอยหลังหนีช้าๆ คว้ากิ่งไม้มาเป็นอาวุธ ไฮยีน่าตัวนั้นหัวเราะด้วยเสียงที่ฟังดูก่ำกึ่งระหว่างคลุ่มคลั่งกับมีความสุข แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็ไม่น่าฟังเลย
“เจ้าคิดว่าไม้แค่นั้นจะทำอะไรข้าได้หรอ”
“ออกไป”ผมพยายามพูดด้วยเสียงมั่นใจและดูคุกคามมากที่สุด และถ้ามันขมขู่ไฮยีน่าตัวนั้นได้ มันก็แทบจะไม่แสดงความกลัวออกมาเลย
ผมเดินถอยหลังออกไปเรื่อยๆ พยายามมองหาตัวช่วย แต่ก็เปล่าประโยชน์ เมื่อไม่มีใครกล้าพอจะยื่นมือ และไร้เงาของไคและลู่หาน ผมเดินถอยหลังไปเรื่อยๆก่อนผมจะถึงทางตันเมื่อแผ่นหลังชนกับต้นไม้ ไฮยีน่าตัวนั้นส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก น้ำลายของมันไหลเยิ้มมากขึ้น ราวกับอดใจไม่ไหวที่จะฉีกกระชากเนื้อผมเป็นชิ้นๆ
“อยากจะรู้จริงๆว่าเนื้อของผู้พิทักษ์มันจะหวานหอมแค่ไหน”มันพูดอย่างหิวกระหายก่อนจะพยักพเยิดให้ลูกสมุนล้อมผมเอาไว้
“พวกแกจะกินผู้พิทักษ์ได้ยังไง พวกแกต้องเคารพไม่ใช่หรอ”ผมพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขามที่สุด แต่พวกมันกลับส่งเสียงหัวเราะเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในชีวิต
“เคารพผู้พิทักษ์ที่กลัวแม้กระทั่งสัตว์อย่างข้าน่ะหรอ ช่างน่าขัน!!!”พวกมันหัวเราะพร้อมกันจนเขย่าประสาทของผม
“ข้าจะเคารพต่อผู้พิทักษ์ที่น่าเคารพเท่านั้น ถ้าเจ้าพิสูจน์ตัวเองไม่ได้…..”จ่าฝูงเว้นช่วงก่อนจะพูดต่อพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ผม
“ค่าของเจ้าก็แค่เหยื่อตัวหนึ่งเท่านั้น!!!”ฟันคมกริบของมันกัดเข้าที่ขาของผม พร้อมกับกระชากให้ล้มลง ไฮยีน่าตัวอื่นเริ่มพุ่งเข้ามารุมกัดผม ความเจ็บจากบาดแผลรบกวนสมาธิของผม หมดทางที่จะคิดแก้ไขปัญหา สิ่งเดียวที่ผมคิดอยู่ตอนนี้คือผมไม่อยากตาย
“ปล่อยผม!”ผมร้องลั่น พร้อมกับดิ้นพล่านไปมา การฆ่าของไฮยีน่าไม่ใช่การกัดครั้งเดียวที่คอแล้วจบ แต่มันคือการกินทั้งเป็น แล้วผมก็มั่นใจว่าไม่อยากเป็นอาหารของใคร
ผมพยายามยืนยัดลุกขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เปล่าประโยชน์ สัญชาตญาณผลักดันให้ผมทำอะไรสักอย่าง ผมพยายามรวบรวมสมาธิที่มีอยู่น้อยนิด เรียกไฟขึ้นมา ดวงไฟดวงเล็กผลุดขึ้นที่ฝ่ามือ ผมปัดป่ายมือไล่พวกมันอย่างบ้าคลั่ง
“โอ้! ไฟแค่นี้เองเรอะ”จ่าฝูงพูดเยาะ ผมเงื้อมือขึ้นสูงขมขู่
“ถ้าเข้ามาฉันเผาแกแน่!”
“เอาสิ!”จ่าฝูงตัวนั้นพูดก่อนจะพุ่งเข้าใส่ผม ผมเตรียมจะอัดไฟใส่มัน ขณะนั้นเองที่ลูกไฟกำลังจะพวยพุ่งใส่เจ้าสัตว์น่าขนนั้น จู่ๆมือหนึ่งก็จับข้อมือของผมเอาไว้
“จะฆ่าจิตวิญญาณแห่งการล่านี่ไม่ฉลาดเลยนะ”ผมหันขวับไปตามเสียง ผู้ชายที่เจอกันคืนก่อนยืนอยู่ตรงหน้าผม เขายังคงพูดด้วยท่าทางกวนประสาท และรอยยิ้มยียวนเหมือนเดิม
“นาย..มาที่นี่ได้ไง!!”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่ช่วยดับไฟก่อนได้มั้ย ฉันยังไม่อยากให้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าๆนี่ไหม้ทั้งทุ่ง”ผู้ชายคนนั้นบอก ผมเลยดับไฟ ก่อนจะแก้ต่างที่เขากล่าวหาผม
“ฉันไม่ได้จะฆ่าพวกเขา ฉันแค่จะไล่”
“ไล่จิตวิญญาณเนี่ยนะ”เขาทำเหมือนผมกำลังทำเรื่องที่บ้าบอที่สุดในโลก
“พวกเขาไม่ใช่จิตวิญญาณ เขาเป็นสัตว์ มีตัวตน เห็นมั้ย ทั่วทั้ง...”ผมชะงักเมื่อหันไปเห็นทุ่งหญ้าโล่งๆที่ไร้สิ่งมีชีวิต พื้นที่ขนาดใหญ่มีเพียงผมกับผู้ชายคนนั้น
“หะ หะ หายไปไหนแล้ว....”
“พวกเขาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งป่า พวกเขาไม่มีตัวตน”
“มะ มะ หมายความว่าไง”
“ลองนึกถึงป่าดูสิ ป่าเต็มไปด้วยสัตว์ ทั้งนักล่า และเหยื่อ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณแห่งป่า คือเป็นจิตวิญญาณของนักล่า และเหยื่อ พูดง่ายๆพวกเขาเป็นแค่ผีที่อยู่ในป่า ถ้าเขาอยากจะปรากฏตัวเขาก็จะออกมาเอง และที่สำคัญพวกเขาฆ่าใครไม่ได้ เขาสูงส่งเกินไปที่จะทำอย่างนั้น”
“โอ้ คริส….ดีใจที่ได้เจอ”จ่าฝูงไฮยีน่าพูดขึ้นพร้อมกับปรากฏกาย ผมยืนมองเขาสลับกันไปมา บทสนทนาที่ไคกับลู่หานคุยกันย้อนกลับเข้ามาใน แม้แต่คริสก็ไม่อาจควบคุมได้….ผู้ชายคนนี้ชื่อคริสงั้นหรอ แล้วเขาเป็นใครกัน
“ดีใจที่ได้เจอเหมือนกันครับ”
“เล่นกับเจ้าแล้วสนุกกว่าเจ้าหงส์งี่เง่าตั้งเยอะ!!!””ไฮยีน่าตอบอย่างหงุดหงิด
“ผมไม่ใช่หงส์”ผมเถียงกลับเบาๆ ยังกลัวว่าจะถูกจู่โจม
“ใช่แน่ เธอใช่แน่ ว่าแต่คริส เจ้ามาทำอะไร มาประชุมกับท่านลาลิออนงั้นหรอ”ผมหันขวับไปมองหน้าเขา เขาต้องเกี่ยวข้องกับไคและลู่หานแน่ ไม่งั้นคงไม่มาประชุมหรอก
“ครับ แต่ก่อนอื่นผมคงต้องส่งแขกไม่ได้รับเชิญกลับบ้านซะก่อน”เขาพูดพร้อมกับเหลือบตามามองผม โดยเน้นคำว่าไม่ได้รับเชิญใส่หน้า ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็เป็นคนไม่มีมารยาทเอาเสียเลย
“ฉันขอไปด้วย ฉันก็เป็นผู้พิทักษ์นะ”เขาหันมามองหน้าผม เหมือนผมกำลังพูดอะไรที่เป็นตลกสุดๆออกมา
“ฉันว่านายกลับไปฝึกตัวเองเพิ่มขึ้นก่อนจะเข้ามาที่นี่ก่อนจะดีกว่ามั้ย”
“แต่…”
“เอาเวลากลับไปคิดข้อแก้ตัวเรื่องที่นายแอบตามไคเข้ามาที่นี้จะดีกว่ามั้ย หงส์ปีกหัก”เขาพูดพร้อมกับหัวเราะเยาะก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสอากาศที่ว่างเปล่า เฉียบพลันนั้นประตูก็ปรากฏขึ้น
“ไม่กลับนะ!”
“ไว้ฉันจะกลับไปฟังคำแก้ตัวของนายก็แล้วกัน เชิญครับ ผู้พิทักษ์จอมจุ้น”เขาพูดยียวนก่อนจะผลักผมเข้าไปในประตูนั้น
“ไม่! ฉันมีสิทธิจะได้รู้นะ ฉันมี.....ฮึ่ย ไอ้บ้าเอ๊ย!!!”ผมได้แต่สบถไปมาพร้อมกับเตะกำแพงที่เคยมีประตูปรากฏอยู่ตรงนั้นอย่างอารมณ์เสียก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง พวกเขาไปประชุมกันเรื่องผม กับใครสักคนที่ดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าผู้พิทักษ์ แต่ผมไม่มีโอกาสได้เขาไปรับรู้ ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของตัวผมเอง...มันไม่ยุติธรรมเลย มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด ผมมีสิทธิที่จะรู้ และควรจะได้รู้ตั้งแต่วันแรกแล้วด้วยซ้ำ ทำไมพวกเขาต้องปิดผม!!!
ผมเงื้อมือขึ้นกลางอากาศ สาดลูกไฟใส่กำแพงนั้นจนไฟลุกท่วม น่าแปลกที่ผมอารมณ์ร้อนและรุนแรงขึ้นกว่าที่เคย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ ตอนนี้ผมต้องการรู้เรื่องของผม และอยากจะเข้าไปถามเขาเดี๋ยวนี้เลยด้วย ลูกไฟอีกลูกถูกสาดใส่กำแพง เปลวไฟเริ่มแผ่ออกห่อหุ้มร่างกายของผม พลังงานประหลาดไหลเข้ามาในตัวผมอย่างล้นทะลัก ความร้อน ทรงพลัง และเก่าแก่ไหลเข้าตัวผม ผมรู้สึกฉุนเฉียว อยากทำลาย และหมดความอดทนราวกับพวกเปลวไฟพวกนี้เป็นตัวเร่งทางอารมณ์ที่สำคัญของผม
ลูกไฟดวงโตพุ่งเข้าใส่กำแพงอีกครั้ง เปลวเพลิงรุมรามไปตามกำแพง และเริ่มรามไปที่คาน สิ่งก่อสร้างจากไม้ถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็ว เพราะมันเป็นเชื้อเพลิงที่เปลวไฟโปรดปราณ น่าแปลกที่ผมถึงขั้นหัวเราะเมื่อเห็นความเสียหาย และเริ่มลิงโลดเมื่อได้ยินเสียงทหารตะโกนโวกเวกโวยวายพร้อมกับวิ่งมาทางนี่ราวกับผมอยากให้พวกเขามาดูความสำเร็จของผมในการทำลายข้าวของ
“ท่านชานยอล!!!”ทหารนายหนึ่งเรียกผมอย่างตกใจ พร้อมกับคนอื่นๆที่กรูกันเข้ามาหาผม พร้อมกับเสกเถาวัลย์ยักษ์รัดแขนขาผม แต่เปลวไฟที่ลุกท่วมตัวผมเผาผลาญมันอย่างรวดเร็วๆพอๆกับที่มันเกิดขึ้นมา
“หยุดเถอะครับ ท่านชานยอล น้ำ! น้ำ ท่านลู่หานอยู่ไหน ตามท่านลู่หานมา!!”ทหารที่น่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยสั่งการ
“บอกมาว่าจะเปิดประตูได้ยังไง”ผมตะวาด ถึงจะแปลกใจอยู่ลึกๆที่ตัวเองทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่คิดที่จะหยุดมัน ผมกำลังมีความสุขที่เห็นพวกเขาเกรงกลัว
“ผมไม่เข้าใจที่ท่านถาม”
“ประตูเข้าป่าศักดิ์สิทธิไง!!!”พวกทหารลนลานและเริ่มมองหน้ากัน
“ผมไม่รู้ หยุดเถอะครับ”
“ไม่!”ผมตะวาดลั่น เปลวไฟที่ห่อหุ้มร่างลุกโชนขึ้นมา
“ถ้างั้นฉันก็คงต้องบังคับให้นายหยุด!!!”เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง ยังไม่ทันที่ผมจะหันไปมองน้ำหลายแกลลอนก็พุ่งเข้าใส่ร่างของผม พร้อมกับบางส่วนที่ดับไฟบนกำแพง ก่อนที่พวกมันจะม้วนตัวเองแล้วกระชากผมเข้าหาเจ้านายของมัน....ลู่หานยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับไค คริส และผู้ชายแปลกหน้าอีกคน
“พี่ชานยอล...”ไคพูดด้วยน้ำเสียงตกใจระคนผิดหวัง
“ไม่รอดแน่”คริสยักคิ้วให้ผมด้วยท่าทางกวนๆ แต่ถึงจะอย่างนั้นผมก็ยังมองออกว่าแววตาของเขาฉายแววจริงจังอยู่
“ทำบ้าอะไรของนายห๊ะ!!!”ลู่หานตะคอกใส่หน้าของผม ดวงตาหวานโกรธเกรี้ยวราวกับจะฆ่าคนได้ ทันทีที่น้ำสาดใส่ผม ความโกรธของผมก็ดูจะลงฮวบลงอย่างรวดเร็วแต่ถึงจะอย่างนั้น มันก็ไม่ได้หายไปซะทั้งหมด
“พวกคุณปิดบังผม พวกคุณไม่ยอมบอกความจริงกับผม”
“นายพูดอะไร”ลู่หานถามเสียงกระชาก เห็นชัดว่าเขาพยายามอย่างหนักที่จะไม่เผลอฆ่าผม
“ผมได้ยินที่คุณคุยกับไค คุณบอกว่าพลังของผมใกล้จะตื่นขึ้นมา พวกคุณต้องรีบ รีบทำไม แล้วเมื่อคืนพวกคุณก็บอกว่าผมเป็นคนในตำนาน ตำนานอะไร ทำไมไม่มีใครบอกผมเรื่องนี้”ผมพูดอย่างอัดอั้น
“พี่แอบตามผมไปเมื่อคืน!?”ไคถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ ผมพยักหน้ารับอย่างรู้สึกผิด
“ไม่อยากจะเชื่อ...”
“พี่ขอโทษ...แต่พี่มีเหตุผล...”
“นี่ไม่ใช่เขา!”ผู้ชายปริศนาพูดโพล่งขึ้นมา ทำทุกคนตกตะลึง
“หมายความว่าไง”ไคถาม
“เดี๋ยวนะ.....ตอนนายเข้าไปในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นนายได้ไปแตะต้องไฟศักดิ์สิทธิ์รึเปล่า”คริสถามขึ้น สีหน้ากวนประสาทของเขาถูกแทนที่ด้วยความจริงจัง
“ถ้าหมายถึงไฟที่อยู่ในพานทองนั้นก็คงใช่”ทุกคนชะงักงันไปเมื่อผมตอบ ก่อนที่ลู่หานจะเป็นคนแรกที่ได้สติอย่างรวดเร็ว
“นี่นายเข้าไปในนั้นหรอ!!!”ลู่หานพูดอย่างเดือดดาลจนเผลอรัดตัวผมแรงขึ้น ก่อนที่จะคลายออกเมื่อผู้ชายปริศนาเปรยตามองเขา
“ทำไม....มันร้ายแรงหรอ แค่จับเองนะ”คริสพยักหน้าก่อนจะตอบ
“มันยิ่งกว่าร้ายแรง”ความสับสนจู่โจมร่างกายของผมอย่างไม่ปล่อยให้ผมได้ตั้งหลัก ผมมองสีหน้าของพวกเขาที่ดูเคร่งเครียดมากราวกับว่าสิ่งที่ผมทำไปมันร้ายแรงมาก แล้วในตอนนั้นเอง ลู่หานก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด
“เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้ว……เรื่องสำคัญมากด้วย”
-------------------------------------------------------
พวกเขาทั้งสี่พาผมมายังห้องประชุมขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะกลมสร้างจากไม้ตั้งอยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยเก้าอี้ห้าตัวที่ทำมาจากวัสดุต่างกัน มีทั้งจากไม้ โลหะเงินแวววาว และบางอย่างที่ดูคล้าย ดิน น้ำ และไฟ ผมไม่คิดว่าพวกมันจะใช้นั่งได้จริง จนกระทั่งลู่หานและชายแปลกหน้านั้นทรุดนั่งตรงเก้าอี้ที่ทำมาจากน้ำ และดิน
ทุกคนนั่งประจำที่กันหมด เหลือเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ทำมาจากไฟที่ว่างอยู่ ถ้าเป็นตอนปกติผมคงลังเลที่จะนั่งมัน แต่ไม่ใช่สำหรับตอนนี้แน่นอน
“เรื่องที่ว่านั่นคืออะไรหรอ”ผมถามทันทีที่ทรุดนั่งลง ใจเต้นระรัวกับความจริงที่ตัวเองจะได้รู้
“มาถึงตอนนี้แล้ว ฉันว่าพวกเราควรบอกความจริงกับเขาทั้งหมด”คริสพูดขึ้นท่ามกลางวงสนทนา ก่อนที่ลู่หานจะแย้งขึ้นมาทันควัน
“ฉันแน่ใจว่าฉันบอกแค่ให้เขารู้เรื่องไฟศักดิ์สิทธิไม่ใช่เรื่องทั้งหมดนะ คริส”ร่างสูงเปรยตาหันไปตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นกว่าตอนปกติมาก
“ฉันก็แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าเราปิดเป็นความลับต่อไปไม่ได้แล้ว”
“แต่…”
“ผมเห็นด้วย”ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นเห็นด้วย
“เซฮุน!!!”ลู่หานตะหวาด ก่อนที่คริสจะยกมือขึ้นห้าม แล้วหันมามองหน้าผม
“ความจริงที่นายจะได้รู้อาจเปลี่ยนทั้งความคิดและทั้งชีวิตของนาย”
“ผมพร้อมจะฟัง”
“งั้นฉันก็จะเล่าให้ฟัง”เฉียบพลันนั้นโต๊ะที่ผมเคยคิดว่าทำจากไม้แต่จริงๆแล้วมันทำมาจากวัตถุโปร่งแสงก็สว่างวาบขึ้นพร้อมกับการปรากฏของแผนที่จำลองเมืองสามมิติเมืองหนึ่ง ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยภูเขาไฟ และลาวาเดือดผ่าน ทหารและฝูงชนกำลังสู้รบฆ่าฟันกับข้าศึกในชุดดำทั่วทุกหัวละแห้ง ผมมองภาพเบื้องหน้า พร้อมคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ…
ภาพพวกนี้เกี่ยวอะไรกับภูมิหลังของผมกันนะ…