0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

Part 12 sweet pain

4 posters

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

1Part 12  sweet pain Empty Part 12 sweet pain Fri Dec 14, 2012 9:27 am

0ctogus

0ctogus
Admin



ความฝัน.....ล้วนทำให้เรามีความสุขแต่ในขณะเดียวกันหากเราฝันร้าย มันก็ทำให้เราเป็นทุกข์เช่นกัน เพราะฉะนั้นบางครั้งเมื่อเราฝันดี เราก็ไม่อยากจะตื่นมาพบกับความจริงที่โหดร้าย ทางกลับกันหากเราฝันร้ายเราก็อยากจะตื่นขึ้นเพื่อหลีกหนีความฝันเหล่านั้น









ชายคู่หนึ่งกำลังนั่งหยอกล้อกันอยู่กลางสนามหญ้าที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่กำลังแข่งกันอวดความงาม ผีเสื้อหลากสีตัวน้อยต่างพากันดูดน้ำหวาน เช่นเดียวกับเหล่าผึ้งน้อยใหญ่ที่กำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ผีเสื้อน้อยตัวหนึ่งค่อยๆบินหลงออกมาจากเพื่อนผองของมัน ปีกน้อยๆพาร่างของมันมาเกาะที่นิ้วเรียวของใครคนหนึ่ง



“คุณคริส ดูนี่สิ” ชายคนนั้นเอ่ยเสียงเบาราวกับกลัวว่าเจ้าผีเสื้อน้อยจะตกใจบินหนีไป ทั้งๆที่ความจริงมันอาจจะไม่ได้ยินเสียงเขาเลยก็ได้ ดวงหน้าติดหวานหันไปพยักเพยิดหน้าให้คนที่ถูกเอ่ยชื่อหันมามองเจ้าผีเสื้อ



“สวย”



“เนอะ ดูปีกของมันสิ ผมไม่เคยเห็นผีเสื้อที่ไหนสวยขนาดนี้มาก่อนเลย ดูสิมันน่ารักมากๆเลยนะ” ตากลมโตจับจ้องไปยังเจ้าผีเสื้อ คิ้วเรียวขมวดน้อยๆยามที่กำลังเพ่งพินิจดูความสวยงามของมัน ปีกสีน้ำเงินของมันถูกล้อมกรอบไว้ด้วยสีขาว ปลายปีกทั้งบนและล่างถูกระบายด้วยสีม่วงอ่อนๆ



“ไม่ใช่ผีเสื้อ”



“หือ มันไม่สวยหรอคุณคริส ผมว่ามันสวยออก” เอียงคอมองอย่างสงสัย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ



“ฉันหมายถึงนาย.....ที่สวย” คนถูกชมหน้าซับสีเลือดทันที แกล้งเบนความสนใจกลับมาที่เจ้าผีเสื้ออีกครั้ง แต่โชคร้ายหน่อยที่ตอนนี้มันได้กระพือปีกแสนสวยของมันหนีเขาไปเสียแล้ว



“ผมสวยตรงไหน......ตาก็โปน ฟันก็เยอะ ทำไรก็ป้ำๆเป๋อๆ ตัวก็ใหญ่ แถมสูงมากอีกต่างหาก” เขาพูดเสียงอ่อย ตากลมหลุบต่ำลง เอาแต่มองปลายเท้าของตัวเอง



“ตานายสวยมากต่างหาก แล้วรู้มั้ยเวลานายยิ้มเห็นฟันมันสดใสแค่ไหน เวลานายทำอะไรบ๊องๆมันก็ดูน่ารักดี ตัวใหญ่หรอ อย่างน้อยตัวนายก็เล็กกว่าฉัน ตัวสูงหรอ แล้วมันไม่ดีรึไง เวลาที่ฉันมองนาย มันก็จะอยู่ในระดับสายตาฉันพอดี....เหมือนตอนนี้” คริสค่อยๆโน้มหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ตาคมจับจ้องไปที่ดวงตากลมคู่นั้น ปากหนาทามทับลงบนกลีบปากอิ่ม ดูดเม้มเบาๆเชิงขออนุญาติ ชานยอลเผยอปากออกยอมให้ลิ้นร้อนสอดเข้ามาหาความหวาน ลิ้นร้อนหยอกล้อเข้ากับลิ้นเรียว ร่างโปร่งตอบสนองกลับไปอย่างเขอะเขิน ปากหนาดูดเม้มกลีบปากอีกฝ่ายเบาๆ แสดงออกถึงความอ่อนโยน ทั้งคู่แลกรสจูบที่หอมหวานอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนร่างสูงจะละออกมา เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังขาดอากาศหายใจ ชานยอลยกยิ้มสดใสให้กับคริส ร่างสูงจูบซับที่ปากอิ่มสองสามครั้ง นิ้วแกร่งปัดปอยผมที่ปกหน้าอีกคนอย่างเบามือ ปากหนาคลี่ยิ้มอบอุ่นเมื่อตาสบเข้ากับดวงตากลมซุกซนนั่น



“คุณคริส......”



“บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกเรียกคุณ” คริสบีบจมูกคนดื้อรั้นด้วยความเอ็นดู



“คริส คริส คริส คริส คริส คริส ผมเรียกแล้ว” ชานยอลหัวเราะชอบใจที่ได้กวนประสาทคนหน้าดุ



“ดื้อจริงๆ เรียกฉันทำไม”



“...........ผมรัก...คุณ.....เอ้ย คริสนะ” ดวงหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย



“รักคริส งั้นลองKiss ให้Krisดูหน่อยสิ่” ชานยอลยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก นิ่งเงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้ายื่นหน้าไปจูบปากอีกคน





สำหรับเขาชานยอลเปรียบเหมือนดอกไม้แรกแย้ม ทั้งขาวสะอาดบริสุทธิ์ หากแต่ก็แทรกแซมไปด้วยความความหวานพอให้ติดเป็นสีสันแก่ชีวิตไม่ให้จืดชืดจนเกินไป ตัวเขาเองก็เหมือนกับหมู่มวลผีเสื้อที่รักในการเชยชมดอกไม้ และแน่นอนผีเสื้ออย่างเขาจะไม่มีวันให้ผีเสื้อตัวอื่นได้ลิ้มลองน้ำหวานจากดอกไม้ดอกนี้แน่นอน คริสจับตัวชานยอลให้พลิกขึ้นมาคร่อมร่างตัวเอง ใช้มือหนาโอบรอบเอวต่างพันธนาการไม่ให้ชานยอลหนีไปไหนได้



“คุณคริส ไม่เอาตรงนี้นะ” ชานยอลเอ่ยปราม พยายามหนีออกจากการเกาะกุม



“นี่บ้านฉัน ใครสนล่ะ” แล้วดอกไม้ทั้งสวนก็ค่อยๆบานสะพรั่งร่วมยินดีไปกับความรักของคนทั้งคู่.......









เมื่อก้มลงมองจิตใต้สำนึกที่ยั่งรากลึกในจิตใจของชานยอล ก็คงจะได้เห็นถึงสิ่งครอบงำใจดวงนี้ นั่นคือแรงปรารถนาอันแรงกล้าที่เฝ้าใฝ่ฝันหาความรักที่หอมหวาน สดชื่น สดใสเฉกเช่นดั่งดอกไม้ที่ผลิกลีบเบ่งบานของเขากับคริส แม้จะถูกทำร้ายจิตใจ ดูถูกสารพัดสารเพ เจ็บปวดรวดร้าวสักเพียงไหน แต่เขาก็ยังคงรัก และซื่อตรงต่อความรู้สึกอันบริสุทธิ์นี้ ขอแค่เพียงพื้นที่ว่างสักนิดที่จะพอให้ได้วาดฝันถึงความรักที่ตัวเองต้องการ และหลงระเริงอยู่ในโลกที่สวยงามนั่น ราวกับเด็กน้อย ราวกับคนเขลา หลอกตัวเองด้วยภาพจินตนาการที่ตัวเองวาดขึ้นมา หวังแค่เพียงใช้มันล่อเลี้ยงหัวใจ หรืออาจจะเยียวแผลในใจ แต่มันจะช่วยได้อีกนานแค่ไหนกัน ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตื่นขึ้นมารับความจริงอยู่ดี แล้วครั้นพอถึงเวลาต้องตื่นขึ้นมาพานพบประสบความจริงที่ไม่ได้สวยงามดั่งที่หวัง ซ้ำร้ายมันอาจโหดร้ายทรมานยิ่งกว่า เขาจะทนได้หรือ หัวใจที่บอบช้ำดวงนี้จะทนรับสภาพที่น่าอดสูนี่ได้อีกนานแค่ไหนกัน





ร่างโปร่งตื่นขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของรันติกาล โลกของความฝันเมื่อครู่แตกกระจายเหลือทิ้งไว้แต่เศษซากความทรงจำในสมอง





“แค่ฝันหรอกหรอ” ชานยอลปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้ม โดยไม่คิดจะหน่วงรั้งมันไว้ ร่างโปร่งยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ตากลมหันไปมองที่ที่ควรจะมีร่างสูงอยู่ แต่กลับปรากฎเพียงแค่ที่นอนว่างๆเท่านั้น ชานยอลไล่สายตามองไปที่สะโพกของตัวเอง ปรากฎให้เห็นสัญลักษณ์มังกร ลักษณะของมันเป็นสีน้ำตาลอ่อนคล้ายรอยไหม้ ตากลมเหลียวไปมองพื้นที่นอน รอยเลือดรูปมังกรปรากฎให้เห็นจางๆแต่ก็ชัดพอที่จะตอกย้ำความน่าอัปยศอดสูนี้ น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้ม หันไปมองที่ว่างข้างตัวด้วยแววตาตัดพ้อ มือเรียวลูบที่ว่างนั่นช้าๆ แต่ก็ต้องชักมือกลับเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บที่มือ ชานยอลหงายมือออกช้าๆ เผยให้หยดเลือดไหลออกจากปากแผล



“แค่ทำแผล......ก็ไม่ได้หรอ” ยิ้มเศร้าให้กับตัวเอง ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองช้าๆ เขาร้องไห้มามากเกินไปแล้ว ร้องจนแทบไม่มีน้ำตาให้ไหลแล้ว



“ร้องทำไมชานยอล ร้องเยอะเกินไปแล้วนะ” ร่างโปร่งหัวเราะสมเพชตัวเองทั้งน้ำตา



ชานยอลนายหยุดร้องได้แล้วนะ ร้องจนตาบวมแล้วเห็นมั้ย อยากตาโปนไปมากกว่านี้หรอ เลิกเศร้าสักทีสิ พอแล้ว พอแล้วนะ เศร้าไปไม่ได้อะไรหรอก พอแล้ว ได้ยินมั้ย หยุดเศร้าสักที บอกให้หยุดไง......

“บอกให้หยุดไง เลิกร้องสิ ฮึก “ ยิ่งห้ามตัวเองเท่าไรน้ำตาก็ยิ่งพรั่งพรูออกมามากขึ้น



อย่าเอาแต่คิดถึงเขาได้มั้ย นายจะคิดถึงคนใจร้ายคนนั้นไปทำไม ได้อะไรขึ้นมา หื้ม ชานยอล คิดถึงไปแล้วได้อะไร เห็นมั้ยเขาไม่อยู่แม้แต่.....จะดูแลนายด้วยซ้ำ ได้ยินมั้ยชานยอล นายเลิกคิดถึงเขาสักทีสิ



มือบางยกขึ้นปิดหน้าตัวเองก่อนจะปล่อยโฮออกมา ร้องไห้จนน้ำตาแทบจะหลั่งออกมาเป็นเลือด ดวงตาแดงก่ำช้ำไปหมด



ร้องอีกแล้วหรอชานยอล นายมันน่าสมเพชตัวจริงๆ พอเถอะ เห็นมั้ย ดึกแล้วนะ นายควรนอนได้แล้วนะ เลิกร้องซะ นะ ฮึก เลิกร้อง หลับเถอะนะ นอนเถอะ ฮึก จากนี้ไม่มีแล้วนะชานยอล คุณคริสที่ใจดีของนาย จากนี้ไม่มีแล้วนะ นอนเถอะนะ เลิกทำตัวอย่างนี้สักที ไม่สมเป็นนายเลยนะ นายเข้มแข็งกว่านี้นี่ ยิ้มเก่งกว่านี้ ไม่ขี้แงแบบนี้นี่ เขาคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ ชานยอล พอแล้ว เลิกร้องนะ พอแล้ว



“ไม่มีแล้วชานยอล มันผ่านไปแล้ว พอแล้วนะ นอนเถอะ” ปลอบตัวเองด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด ยิ้มเยาะเย้ยในโชคชะตา ร่างโปร่งพยายามบังคับไม่ให้ร้องไห้ไปมากกว่านี้ แต่ก็ไร้ผล ชานยอลนั่งชันเข่า ซบหน้าตัวเองลงกับฝ่ามือ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา หวังเพียงนิดว่ามันจะช่วยล้างใจที่บอบช้ำของเขา หากแต่มันยิ่งตอกย้ำรอยแผลให้บาดลึกลงไปกว่าเก่า

ร่างโปร่งสะอื้นไห้จนตัวโยน เขาปล่อยให้หยาดน้ำตาทำหน้าที่ระบายความอดสูในใจและชำละล้างจิตใจที่ขุ่นมัวอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานจนผล็อยหลับไป







---------------------------------------------







แสงไฟจากโคมไฟที่วางอยู่กลางโต๊ะสอดส่องไปทั่วห้องเผยให้เห็นกลุ่มชายสามคน โดยสองคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ อีกหนึ่งยืนหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง



“เสร็จแล้วล่ะสิคริส”



“อืม” ชานหนุ่มที่ดูอ้อนแอ้นที่สุดเอ่ยขึ้น ร่างสูงตอบโดยไม่หันมามองหน้าคู่สนทนา



“นาย.....บังคับชานยอลรึเปล่า” คริสเหลือบมองก่อนจะเอ่ยตอบ



“เปล่า”



“ห๊ะ ชานยอล ยอมเองเนี่ยนะ”



“พี่เอ๋อนั่นเนี่ยนะ”



“เลิกตกใจสักที ลู่ฮาน ไค ใช่ เขายอมฉันเอง ” คริสพลิกตัวหันกลับมามองคู่สนทนา ในมือถือแก้วที่มีของเหลวสีแดงสดอยู่ เขาออกแรงแกว่งมันเบาๆก่อนจะยกขึ้นจิบ



“แล้ว…..นายทำเขา เจ็บมั้ย” ลู่ฮานเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ เขารู้ดีว่าคริสไม่ชอบให้ใครยุ่งเรื่องส่วนตัวมากนัก แต่เขาก็อดเป็นห่วงชานยอลไม่ได้อยู่ดี

“เจ็บหรือไม่เจ็บ มันก็ไม่ใช่เรื่องของนายไม่ใช่หรอ ลู่ฮาน” ตาคมจับจ้องใบหน้าอีกฝ่าย ร่างเล็กหลบสายตา หันมองไปทางอื่นทันที



“พี่คริส ในเมื่อทำพันธะเสร็จแล้ว ก็จะปล่อยเพื่อนผมแล้วใช่มั้ย”



“ฉันเคยพูดอย่างนั้นด้วยหรอไค” ร่างสูงยกยิ้มมุมปาก ไคหน้าถอดสี มันไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะปล่อยให้คนอย่างชานยอลอยู่กับคริส แม้ว่ารุ่นพี่ของเขาคนนี้จะเป็นคนสดใส ร่าเริง มองโลกในแง่บวก แทบจะไม่มีปัญหาอะไรมาทำให้เขาเศร้าเสียใจ อย่างมากก็แค่ทำให้ท้อบ้างเครียดบ้าง แต่สุดท้ายก็กลับมาหัวเราะร่าเหมือนเดิม แต่คริสร้ายแรงกว่านั้นเยอะ เขาไม่ได้ฆ่าให้ตายอย่างฉับพลันแต่จะทรมานให้ตายอย่างช้าๆ ค่อยๆทรมานจิตใจไปเรื่อยๆ



“เอ่อ….พี่ชานยอลเป็นของพี่แล้ว ปล่อยไปก็...”



“ฉันจะให้เขาอยู่ที่นี้กับฉัน” ร่างสูงตัดบท



“แต่ว่า ครอบครัวของพี่ชานยอลเขาเป็นห่วงนะครับ”



“แล้วยังไง หึ นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉันนี่” กระดกแก้วดื่มเลือดด้วยท่าทางสบายๆไม่ยี่หระต่อคำพูดของหนุ่มรุ่นน้องสักนิด



“พี่ลู่ฮาน” ไคเริ่มหันมาหาตัวช่วยอย่างลู่ฮาน ทั้งๆที่ตัวเขาก็รู้ดีว่าไม่มีใครจะฉุดรั้งคริสได้หากเจ้าตัวตัดสินใจอะไรไปแล้ว



“นายก็รู้ดีว่าฉันทำอะไรไม่ได้”



“เหอะ! ให้มันได้อย่างงี้สิ” ไคกรอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ ร่างสูงแค่หัวเราะในลำคอ มองปฎิกริยาของไคเป็นเพียงแค่เรื่องน่าขบขัน ใช่ เขาไม่คิดจะสนใจประเด็นที่ใครพูดขึ้นมาหรอก มันไม่ใช่ปัญหาของเขา



“ทำไมไค ดูนายจะห่วงชานยอลจังเลยนะ” ตาคมมองหยดเลือดที่เกาะอยู่ตามขอบแก้วก่อนจะหันไปสบตากับหนุ่มผิวเข้ม



“ก็เพื่อนกัน ผมก็ต้องห่วงสิ อีกอย่างผมมีคยองซูแล้วนะ”



“หรอ แต่ฉันก็เห็นนายยังคั่วมั่วไม่เลิกไม่ใช่หรอ คิมจงอิน” ร่างสูงยกยิ้มร้าย หัวเราะเย้ยหยันให้อีกคนดูน่าสมเพชยิ่งขึ้นไปอีก



“….......ก็แค่สนุก” ไคพูดเสียงอ่อน



“ลู่ฮาน แล้วนายล่ะ ทำพันธะกับเซฮุนไปแล้วใช่มั้ย” ร่างเล็กพยักหน้า หน้าซับสีเลือดขึ้นมาทันที



“อื้อ ทำแล้ว ไม่คิดว่าเซฮุนจะยอมทำเลยนะ” ร่างเล็กยิ้มเขินอาย ในหัวก็คิดถึงเรื่องเมื่อค่ำ









เมื่อค่ำร่างเล็กเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องทำพันธสัญญา ใจหนึ่งเขาก็อยากทำ แต่อีกใจก็ไม่อยากหากเซฮุนไม่ยินยอม เขาไม่อยากจะบังคับให้เซฮุนต้องเสียน้ำใจ หรือทำอะไรก็ตามแต่ที่จำทำให้เด็กคนนั้นรู้สึกไม่ดี ลำพังแค่รู้ว่าเขาเป็นแวมไพร์มันก็ยากที่เซฮุนจะทำใจให้ยอมรับได้โดยเห็นว่าเขาก็แค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆที่ใช้เลือดล่อเลี้ยงชีวิต แม้เซฮุนจะไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือหวาดกลัวอะไรเขา แต่ลู่ฮานรู้ดี จิตใจของมนุษย์บอบบางอ่อนไหวง่าย มันมักจะดำเนินและเชื่อในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อ ซื่อตรงอย่างแน่วแน่ในสิ่งที่ไม่ผิดแผกจากคนธรรมดา ยอมรับแต่ในสิ่งที่สวยงาม แต่ในโลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างนั้น มันมืดมนสุดแสนจะสัปดนและวิปริต และเมื่อมีเรื่องอะไรที่มาทำร้ายจิตใจเขาหน่อย หรือทำลายภาพที่แสนดีในใจ มันก็มักจะแตกสลายได้ง่ายๆ จิตใจมนุษย์มันก็เป็นเสียอย่างนี้ มันยากที่จะยอมรับว่าแวมไพร์มีตัวตน และยากที่จะมองว่าเขาก็แค่สิ่งมีชีวิตร่วมโลก เขาไม่อยากจะโยนเรื่องที่แสนจะละเอียดอ่อนนี่ให้กับจิตใจดวงนั้น มันหนักหนาเกินไป และเสี่ยงต่อการสับสน ไขว่เขว้ บางทีอาจถึงขั้นแหลกละเอียด





ลู่ฮานขมวดคิ้วยุ่ง ในหัวก็เอาแต่คิดทบทวนเรื่องพันธสัญญาซ้ำไปซ้ำมา เดินคิดอยู่หลายตลบจนมาถึงห้องเซฮุนเข้าพอดี ตากวางมองประตูนั่นอย่างชั่งใจ มือเล็กค้างอยู่ที่กอนประตูไม่อยมเปิดเข้าไป



“เฮ้อ จะทำไงดีเนี่ย” ลู่ฮานเอ่ยออกมาเบาๆ นิ่งครุ่นคิดไปชั่วอึดใจ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆแล้วจึงเอ่ยให้กำลังใจตัวเอง



“เอาวะ แค่ถาม ไม่ทำก็ไม่ทำวะ”ร่างเล็กตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป







เซฮุนกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยใบหน้าที่......หมดอาลัยตายอยาก ลู่ฮานหัวเราะเบาๆเมื่อเห้นท่าทางอย่างนั้น จะอะไรซะอีกล่ะ ก็เซฮุนอ่านหนังสือเล่มนี้มา2รอบแล้ว สาเหตที่ทำให้ร่างขาวต้องมานั่งอ่านหนังสืออีกรอบก็ไม่ใช่ใครที่ไหน จากตัวเขานี่ล่ะ เพราะเขาดันลืมไปเอาหนังสือจากห้องสมุดมาให้เซฮุนอ่านฆ่าเวลาระหว่างที่เขาไม่อยู่ แล้วถ้าเกิดคำถามว่าทำไมเซฮุนไม่เดินไปเอาเองล่ะ ขาก็เริ่มดีขึ้นแล้วนี้ จะให้ออกไปได้ยังไง ในเมื่อลู่ฮานเล่นล็อคประตูจากด้านนอก วันๆเซฮุนเลยมีเพื่อนเป็นแค่หนังสือเล่มเดิมที่อ่านจบไปแล้วรอบหนึ่ง แล้วคนอย่างเซฮุนจะมานั่งหน้าระรื่นหรือ ไม่มีทางซะหรอก ร่างขาวเหลือบมองผู้มาใหม่ด้วยดวงตาไร้อารมณ์ ปากแดงเบะนิดๆราวกับเด็กน้อยขี้หงุดหงิด ลู่ฮานทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง



“นี่ ทำไมต้องทำหน้างั้นตอนเห็นฉันด้วย”



“มาช้า”



“ว่าไงนะ”



“มาช้า” ลู่ฮานขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อไม่เข้าใจความหมายที่เซฮุนจะสื่อ ร่างเล็กนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา



“นี่ มาช้าไปแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะ”



“ก็ช้า”



“แล้วนี่กินข้าว กินยารึยัง”



“แล้ว คุณลุงยกมาให้ ใครจะมานั่งรอ” ลู่ฮานรอบยิ้มกับท่าทางของอีกฝ่าย

น่ารักอย่างนี้ไงถึงได้ทำร้ายไม่ลง



“ดีแล้ว” ลู่ฮานพูดเสียงอ่อน ตากวางมองสำรวจไปตามร่างกายอีกคนว่าแผลดีขึ้นแค่ไหนแล้ว มือเล็กค่อยๆลูบผ้าพันแผลเบาๆราวกับว่ามันจะทำให้อีกร่างรู้สึกเจ็บได้หากสัมผัสแรง เซฮุนนั่งนิ่งๆให้อีกฝ่ายสำรวจร่างอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขัดขืนหรือพูดจาให้ระคายหู เขาสัมผัสได้ถึงความวิตกกังวลที่ปรากฎในดวงตาของร่างเล็ก



“เป็นอะไร” ลู่ฮานสะดุ้งเมื่อถูกเรียกชื่อ ร่างเล็กหันมายิ้มเศร้า ดวงตามองเหม่อออกไปที่นอกหน้าต่าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไร เซฮุนจึงเบนสายตามองตามออกไปบ้าง จันทร์เต็มดวงที่เริ่มถูกบดบังด้วยเงาของโลกปรากฎสู่สายตาคนทั้งคู่ ร่างขาวพอจะเข้าใจในความกังวลของอีกฝ่ายอยู่บ้าง ตัวเขาเองก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำ แต่เขากลัววิธีการและผลที่จะตามมาของมันมากกว่า เขาไม่ได้อยากถูกผูกติดไว้กับที่นี้ตลอดไป เขามีหน้าที่และภาระที่จะต้องทำในโลกด้านนอกที่ถูกปิดกั้นจากขอบรั้วคฤหาสถ์นี้ แต่เขาก็ไม่อยากจะทิ้งลู่ฮานเอาไว้ที่นี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตผลอะไรก็ตาม เซฮุนไม่อยากทิ้งให้ลู่ฮานต้องนั่งเหงาคนเดียวในบ้านที่กว้างหากแต่ไร้ความอบอุ่นนี้ แต่ทุกอย่างที่สร้างความว้าวุ่นในใจของเซฮุนมันล้วนเกิดจากความไม่รู้ทั้งสิ้น เขาจินตนาการเกี่ยวกับพันธะไปต่างๆนานา โดยที่ไม่กล้าจะถามความจริงจากลู่ฮาน





ผมนั่งมองพระจันทร์ที่กำลังถูกบดบังด้วยเงาของโลกไปพร้อมกับครุ่นคิดเรื่องพันธสัญญาในหัว เฮ้อ.....ทำไมคนเราต้องมีความรู้สึกลังเลด้วยล่ะ มันน่าเบื่อจริงๆที่เราต้องทนอยู่กับมัน มันคืออุปสรรคชิ้นโตที่ขัดขวางให้เราทำหรือไม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วผลสุดท้ายเราอาจจะทำมันไม่ทันเวลาก็ได้ ถึงผมจะบอกว่าไม่ชอบมันแต่ผมกลับสลัดมันออกไปไม่หลุดเสียที ทีแรกผมแค่คิดว่าแวบความคิดเรื่องพันธะมันก็คงเป็นเพียงแค่ความสงสัย ความลังเลเพียงชั่ววูบ แต่มันยิ่งแจ่มแจ้งชัดเจนขึ้นเมื่อแวบความคิดนั้นเข้าหลอกหลอนผมทั้งวี่ทั้งวัน ถ้าผมคุยกับมันได้ผมคงจะอัญเชิญหรือไม่ก็ฉุดกระชากลากถูให้มันออกไปจากหัวผมแล้ว แต่แน่ล่ะมันเป็นไปไม่ได้ ผมเลยต้องยอมรับมันเข้ามาในสมองอย่างช่วยไม่ได้



สาเหตที่ทำให้ผมต้องมานั่งขบคิดเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่อะไรนอกจาก “ความไม่รู้” ใช่ครับ ความไม่รู้ เพราะผมไม่รู้ว่าพันธสัญญาทำยังไง ทำเพื่ออะไร แล้วผลที่จะตามมามันคืออะไร ทำให้ผมวาดระแวง และคิดมากไปต่างนานาๆ มันไม่ใช่นิสัยผมเลยที่จะต้องมานั่งทนอยู่กับความไม่รู้ ผมเป็นพวกกล้าคิด กล้าสงสัย กล้าที่จะอยากรู้ และแน่นอนเวลาที่ผมคลืบแคลงใจหรือสงสัยอะไร ผมก็มักจะจัดการขับไล่มันออกไปจากสมองของผม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ผมกล้าคิด กล้าสงสัย กล้าที่จะอยากรู้เหมือนเดิม แต่ผมไม่กล้าที่จะถาม เพราะกลัวความจริงที่จะได้รู้ เฮ้อ แต่ในเมื่อเรื่องมันเดินมาถึงจุดนี้แล้ว จะให้ทนอยู่กับความไม่รู้แล้วให้ผมตัดสินใจผิดๆ ผมคงไม่ทำ ผมนั่งนิ่งไปนาน รวบรวมความกล้า สั่งสมจนมันสุกงอมก่อนจะเอ่ยถามลู่ฮานออกไป



“ลู่ฮาน”



“เรื่องพันธะหรอ”



“แอบอ่านใจนี่หว่า “



“มัน.....ทรมาน” ลู่ฮานตอบ ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ดวงจันทร์



“เล่าให้ฟังหน่อย ทำเพื่ออะไร แล้วทำยังไง แล้วผลล่ะ เป็นไง” เซฮุนรัวคำถาม ลู่ฮานยิ้มน้อยๆให้กับความน่ารักของอีกฝ่าย เซฮุนเหมือนโอเอซิสที่อยู่กลางทะเลทราย ทำให้จิตใจที่ไร้ชีวิตชีวาของเขาสดชื่นขึ้นมา



“ทำยังไงน่ะหรอ ก็แค่…...ดื่มเลือด แต่ว่าไม่ถึงตายนะ!” ลู่ฮานรีบขยายเมื่อเห็นเซฮุนทำท่าตกใจ



“อ๋อ แล้วไงต่อ”



“หลักๆมันก็ดื่มเลือด แล้วพอนายกินมัน นายจะถูกตีตรา ตราของฉัน แต่มันจะเจ็บปวดมาก ซึ่งฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น” ลู่ฮานเอ่ยเสียงอ่อน แววตาเจือไปด้วยความเศร้าและวิตกกังวล เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายต่อ



“พันธะมันทำเพื่อผูกมัดวิญญาณให้อยู่ด้วยกัน ถ้าเราทำกับมนุษย์คนไหน มนุษย์คนนั้นก็จะหยุดอายุไว้แค่นั้น จะไม่มีวันตาย ก็ไม่เชิงเป็นอมตะหรอกนะ ก็เหมือนอย่างแวมไพร์ เราก็ไม่ใช่อมตะซะทีเดียวหรอก เราจะตายเมื่อถูกฆ่า แต่ถ้าไม่เราก็จงคงอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนผลของการทำพันธะ เราก็จะอยู่ด้วยกันไปอย่างนั้นนั่นแหละ ไม่มีใครตายจากกันไป จะว่าไปมันก็คือความเห็นแก่ตัวของเรานั่นแหละ พวกเราทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นคนสำคัญของเราตาย มันน่าเจ็บปวดนะที่ชีวิตต่อจากนั้นของเราจะต้องอยู่โดยไม่มีเขา ล่อเลี้ยงหัวใจด้วยภาพความทรงจำ มันทรมาน.....” ลู่ฮานเงยหน้าขึ้น กั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เมื่อเขาคิดถึงวันเวลาที่เขาไม่มีเซฮุน



“มันน่ากลัวนะ ถ้าหากวันหนึ่ง.......ที่เราต้องตื่นขึ้นมาแล้ว.........ไม่เจอเขา ไม่ได้เห็นหน้า เห็นรอยยิ้มที่มันเคยเป็นของเรา ไม่ได้ยินเสียงเขา ไม่ได้ทะเลาะ........เราต้องทนอยู่อย่างว้าเหว่ ทนให้ความเหงากัดกินหัวใจเราไปเรื่อยๆ สำหรับมนุษย์น่ะ.....เวลาที่เขาสูญเสีย เมื่อเขาตายความรู้สึกนั้นก็จะจบสิ้นไปด้วย แต่เรา.....มันไม่ใช่ เราต้องทนอยู่กับมันไปตราบนานเท่านาน ต่อให้เราจะเกลียดชีวิตที่ไม่มีเขาคนนั้นแค่ไหน เราก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องอยู่บนโลกที่ไม่มีเขาคนนั้น ความทรงจำคือสิ่งเดียวที่จะล่อเลี้ยงแต่มันก็ทำร้ายเราไปเรื่อยๆ” ทั้งห้องตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้นที่ทำให้รับรู้ถึงการมีตัวตนของอีกฝ่าย เซฮุนลอบมองใบหน้าลู่ฮาน ตากวางที่เคยสดใสกลับเจือไปด้วยความเศร้า ต่อให้เขาอ่านใจคนไม่ได้แต่เขาก็พอจะรู้ว่าลู่ฮานกำลังคิดอะไรอยู่ ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าถ้าสักวันหนึ่งไม่มีลู่ฮานจะทำยังไง เพราะเขาคิดมาตลอดว่ายังไงลู่ฮานก็จะไม่มีวันจากเขาไปไหน เขาลืมที่จะคิดไปว่าแล้วถ้าวันหนึ่งเขาต้องจากโลกนี้ไป ร่างเล็กตรงหน้านี้จะทำยังไง จะอยู่ได้มั้ย เขาไม่ทันคิดถึงมันเลย การที่เราต้องมีชีวิตอยู่โดยใช้ความทรงจำล่อเลี้ยงหัวใจมันสุดแสนจะทรมาน เราได้แต่เฝ้าคิดถึงคนที่ไม่มีวันกลับ ได้แต่ติดอยู่ในห้วงความรู้สึกที่หลงเหลือ วันเวลาไม่ได้ช่วยเยียวยาความเศร้านั้นจางหาย แต่กลับยิ่งตอกย้ำความเหงาและความอ้างว้างให้เด่นชัด กัดกินหัวใจไปเรื่อยๆ บางทีการทำพันธสัญญาอาจเป็นวัคซีนชนิดดีเพียงอย่างเดียวที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดโรคร้ายกับหัวใจ โดยการให้คนหนึ่งยอมเจ็บปางตายเพื่อไม่ให้อีกคนต้องอยู่อย่างทรมานหัวใจ



“เราไม่ได้เข้มแข็งหรอก เราทั้งอ่อนแอและอ้างว้าง” ลู่ฮานเอ่ยเสียงเศร้า น้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มใส



“ผมจะทำ” เซฮุนดึงอีกคนมากอดแน่น



“นายแน่ใจแล้วหรอเซฮุน” ลู่ฮานถามย้ำความแน่ใจ ดีใจอยู่หรอก ดีใจมากด้วยที่เซฮุนยอมทำแบบนั้น แต่เขาอยากจะย้ำให้แน่ใจว่าเซฮุนอยากจะทำมันจริงๆ ร่างขาวพยักหน้าตอบ ดวงตาฉายแววจริงจัง ลู่ฮานถึงกับน้ำตาไหลเมื่อได้เห็นปฎิกริยา นิ้วแกร่งค่อยๆเกลี่ยหยาดน้ำตา พร้อมกับกดจูบเบาๆที่ผิวแก้มใส ลู่ฮานหลับตาลงช้าๆ ดื่มด่ำกับสัมผัสอ่อนโยนที่เซฮุนมอบให้ ปากหนาเลื่อนกลับมาประกบกลีบปากแดง ดูดเม้มเบาๆซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ล่วงเกินเข้าไปตักตวงความหวานภายใน เซฮุนมอบความอ่อนโยนสักพักก่อนจะเลื่อนใบหน้าขึ้นไปจูบหน้าผากลู่ฮาน ร่างเล็กยกมือขึ้นโอบรอบคอคนตรงหน้า ทั้งคู่สบตากัน ดวงตาเต็มไปด้วยความสุข ความรัก ความอ่อนโยน ทุกความรู้สึกถูกถ่ายทอดให้กันและกัน มือใหญ่ลูบไล้ใบหน้าอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม ลู่ฮานส่งยิ้มหวานละมุน ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนจมูกแตะกัน ปากเล็กเม้มปากหนาเบาๆ มือใหญ่อีกข้างยกขึ้นลูบไล้สะโพกมนก่อนจะค่อยๆจับอีกคนนอนลงกับเตียง สอดมือเข้าไปสำรวจเรือนร่างอีกฝ่ายช้าๆ ไม่เร่งรีบอะไร ร่างสูงก้มลงซุกไซร้ซอกคอขาว ดูดเม้มจนเกิดรอยแดง ร่างเล็กเอียงคอให้อีกฝ่ายทำได้ถนัดขึ้น ในขณะที่มือก็ช่วยถอดเสื้ออีกฝ่ายออกไปให้พ้นๆทาง ปากหนาพรมจูบไล่ตามลงมาถึงอกเล็กที่หอบกระเพื่อมเพราะแรงอารมณ์ที่เริ่มปะทุขึ้นมา ลู่ฮานปล่อยให้เซฮุนได้ทำตามอำเภอใจ กว่าจะรู้ตัวอีกทีท่อนบนก็เปลือยเปล่าเสียแล้ว ตากวางเบิกกว้างตกใจเมื่อรับรู้สัมผัสมือที่ซุกซนลูบไล้เรือนร่างของเขา



“เซฮุน ไม่เอา” มือเล็กจับมืออีกฝ่าย เชิงห้ามไม่ให้ลุกล้ำไปมากกว่านี้



“ทำไม”



“ไม่เอา ไม่ทำ เดี๋ยวแผลนายเปิด” เซฮุนกรอกตาไปมา เบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ ร่างเล็กยกมือขึ้นแนบแก้มเซฮุนให้หันหน้ามามองตน



“เดี๋ยวแผลเปิด เข้าใจมั้ย” ลู่ฮานจ้องตาอีกฝ่าย



“ไม่เข้าใจ” เซฮุนจ้องกลับอย่างไม่ลดละ



“ก็ต้องเข้าใจ! พอแล้ว รีบทำพันธะสิ มันจะได้เวลาแล้วนะ” ลู่ฮานเอ่ยเมื่อเห็นดวงจันทร์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนๆ เซฮุนได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดในคอ ร่างขาวลุดขึ้นนั่งก่อนจะดึงลู่ฮานให้มานั่งบนตักตัวเอง



“มัวแต่เล่น เห็นมั้ยเวลาเหลือน้อยแล้วเนี่ย” ร่างเล็กว่าเสียงดุ มือเล็กค่อยๆจรดเล็บกรีดข้อมือตัวเอง เลือดสีสดไหลปรากฎสู่สายตา เซฮุนนิ่งเงียบไป ย้ำคำถามกับตัวเองว่าแน่ใจแล้วใช่มั้ยที่จะทำมันลงไป ร่างตรงหน้านี่จะไว้ใจได้แน่จริงหรือ แล้วถ้าทำมันไปหลังจากนี้ชีวิตเขาจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง จะดีขึ้น หรือเลวร้ายลง เขาไม่อาจคาดเดาได้เลย เขานิ่งไปนานจนลู่ฮานหน้าเจื่อน ร่างเล็กก้มหน้าลง พยายามกั้นก้อนสะอื้นที่เริ่มจุกอยู่ที่คอ กำมือเข้าหากันแน่น ตากวางมองดูเลือดที่กำลังหลั่นรินด้วยความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ และกังวล ยิ่งบรรยากาศในห้องเงียบมากเท่าไร ความรู้สึกเหล่านั้นก็ยิ่งถาโถมกัดกร่อนหัวใจของลู่ฮานมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีการสะอื้นไห้ หรือคำพูดตัดพ้อใดๆ มีเพียงความผิดหวังและเสียใจเท่านั้นที่กำลังร่ำร้องอยู่ในใจ ลู่ฮานปล่อยให้ความเงียบและความอึดอัดเข้าปกคลุมพื้นที่ห้องอยู่อย่างนั้น หันหน้ามองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง สีพระจันทร์เริ่มเข้มขึ้น เข้มขึ้นเรื่อยๆ เวลาเดินไปเร็วเกินกว่าที่เขาจะหยุดรั้งไว้ได้ ต้นไม้ด้านนอกโอนเอียงไปตามแรงลมที่ทวีความรุนแรงขึ้น กลีบกุหลาบจำนวนมากปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ แต่งแต้มพื้นฟ้าที่มืดมนด้วยกลีบสีแดงของพวกมัน แต่เมื่อสายลมอ่อนลง พวกมันก็ค่อยๆตกลงสู่พื้นหญ้าอย่างเชื่องช้า อ้อยอิ่ง ราวกับอยากจะประวิงเวลาเอาไว้ ขอเริงร่าอยู่กลางอากาศให้นานที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ มือเล็กเลื่อนมือไปเปิดหน้าต่าง รับสายลมและกลิ่นหอมของกุหลาบให้เข้ามาในห้อง หวังจะใช้มันชะโลมหัวใจและชำระล้างความอึดอัด ความผิดหวัง ความเสียใจให้ออกไปจากหัวใจให้หมดสิ้น ลู่ฮานสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด รับเอาความหอมของกุหลาบเข้าไปในร่างกาย เขาชอบกลิ่นกุหลาบมากที่สุด มันทั้งหอมหวานหากแต่ซ่อนเร้นไปด้วยความขมขื่น เหมือนกับเขาตอนนี้





เซฮุนหันกลับไปมองทางหน้าต่างเมื่อรับรู้ถึงสายลมเอื่อยๆที่ลามเลียแขนของเขาก่อนจะหันหลับมามองเสี้ยวหน้าของลู่ฮาน ดวงหน้าที่เคยฉาบไปด้วยรอยยิ้มกลับถูกแทนที่ด้วยความเศร้า เซฮุนมองภายนั้นด้วยความรู้สึกผิด ความลังเลเริ่มโหมกระหน่ำใส่ความรู้สึกของเขา เขากลัวว่าลู่ฮานอาจทรยศหักหลังเขา ระแวงว่าร่างนี้ไม่น่าไว้ใจ แต่พอได้เห็นดวงหน้านั้นเศร้ามองจิตใจอีกด้านกับกู่ร้องให้รีบทำพันธสัญญาเสีย จังหวะที่เขานั่งชั่งใจอยู่นั่น ลู่ฮานก็เป็นฝ่ายเอ่ยทำลายคำเงียบที่น่ารังเกียจขึ้นมา



“ไม่อยากทำ ก็ไม่เป็นไร” ลู่ฮานยิ้ม หากแต่ดวงตากลับร้องไห้ หยาดน้ำตาค่อยๆไหลออกมาเป็นสายอาบแก้มใส มือเล็กปล่อยทิ้งลงข้างตัว ความลังเลทุกอย่างถูกขจัดทิ้งเพียงเพราะหยาดน้ำตาของลู่ฮาน เขายื่นแขนให้ลู่ฮาน เชิงถามว่า ต้องทำยังไงต่อ ร่างเล็กคลี่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ หากแต่ไม่นานก็ต้องหุบยิ้มลง เขาจับข้อมือเซฮุนขึ้นมาอย่างชั่งใจ ไม่กล้าที่จะกรีด หรือทำให้ร่างนี้ต้องเจ็บปวด



“ทำสิ ไหนบอกว่าเวลาเหลือน้อยไง” เซฮุนเอ่ยเร่ง ลู่ฮานตอนนี้แทบจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ ไม่กล้าทำแม้แต่จะขีดข่วนให้ร่างนี้บอบช้ำ แต่นี่เขาต้องกรีดข้อมือนี้ด้วยตัวของตัวเอง มันจึงเป้นเรื่องที่ยากยิ่งสำหรับลู่ฮาน เซฮุนที่พอจะเข้าใจจิตใจของร่างเล็กดีจึงใช้สายตามองลู่ฮานเป็นเชิงเร่งแกมสั่งให้รีบๆทำ ร่างเล็กจึงจำใจยอมกรีดข้อมือใหญ่ ร่างขาวไม่ได้แสดงท่าทีว่าเจ็บปวดอะไร แค่เบ้ปากเล็กน้อยเมื่อเห็นเลือดตัวเอง



“แล้วไงต่อ ถ้าไม่อยากให้ผมเจ็บนานๆ ก็รีบสิ มาขี้กลัวอะไรตอนนี้คุณแวมไพร์เอาแต่ใจ” ลู่ฮานเริ่มร้องไห้ คลาบแวมไพร์เอาแต่ใจถูกสลัดออกหลงเหลือแต่เพียงแวมไพร์เจ้าน้ำตา ร่างเล็กค่อยๆวางข้อมือทาบลงบนข้อมืออีกฝ่าย ให้เลือดตัวเองไหลรินลงไปผสมกับเลือดเซฮุน ทันทีที่เลือดเข้าสู่ร่างกายเซฮุนก็นิ้วหน้าด้วยความเจ็บปวด ความปวดแสบปวดร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง ราวกับถูกไฟครอก เขาพยายามที่จะไม่แสดงอาการมากนัก เพราะลู่ฮาจจะห่วงเขาและหยุดทำพันธะกลางคัน





ตากวางมองหลังมือซ้ายเซฮุนที่เริ่มปรากฎตราสัญลักษณ์ตัวเองสลับกับใบหน้าเซฮุน ทั้งห่วงทั้งสงสารร่างๆนี้ ถ้าทำได้เขาก็อยากจะรับเอาความเจ็บปวดทั้งหมดมาไว้เสียเองด้วยซ้ำ มือเล็กกำแน่นขึ้น หวังให้เลือดไหลออกมาเร็วๆ พันธะนี่จะได้จบสิ้นสักที ไม่อยากให้คนรักต้องทรมานไปมากกว่านี้ ไม่นานนักรอยนั่นก็ค่อยๆชัดเจนยิ่งขึ้น ตราสัญลักษณ์ที่ประกอบไปด้วยวงกลมเจ็ดวง หนึ่งวงคือศูนย์กลางมีเส้นโค้งวาดล้อม ส่วนอีกหกวงที่เหลือถูกจัดเรียงให้อยู่นอกสุด โดยสามวงแรกอยู่ด้านบนจุดศูนย์กลาง อีกสามอยู่ด้านล่าง ลัษณะของมันคล้ายกับดาวเคราะห์ที่มีดวงจันทร์โคจรล้อมรอบเป็นบริวารอยู่อีกหกดวง ลู่ฮานนั่งนับวงกลมอยู่อย่างนั้น ภาวนาให้มันครบเจ็ดวงเร็วๆ



“เจ็บมั้ย”



“ไม่เป็นไร” เซฮุนยกยิ้ม ลู่ฮานเลื่อนมือไปลูบไล้ใบหน้าอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ นิ้วเล็กปาดเอาเหงื่อที่ผุดตามหน้าผากอีกคนออก หยาดน้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้ม เมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เซฮุนแสดงออกมาทางสีหน้า ลู่ฮานนั่งชาไปทั้งตัว เขาไม่อยากให้เซฮุนเจ็บ ไม่อยากให้ต้องทรมานกับความเจ็บปวดนี้ ภาพเหตการณ์ที่เซฮุนถูกหมากัดไหลย้อนเข้ามาในหัวของลู่ฮาน แผลที่เหวอะหวะ เลือดที่ไหลอาบบาดแผล ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดของเซฮุน เสียงร้องโวยวายยามที่ทำแผล เขาไม่อยากจะให้เซฮุนต้องเจ็บปวด ไม่อยากเห็นใบหน้าที่แสนทรมานนั่น ไม่อยากให้เลือดของคนคนนี้ต้องหลั่งรินออกมาอีกแล้ว พอแล้ว ไม่เอาแล้ว เขาไม่อยากให้ร่างนี้ต้องเจ็บตัวอีก ไม่เอาแล้ว





แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Fri Dec 14, 2012 1:34 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง

http://0ctogus.forumth.com

2Part 12  sweet pain Empty Re: Part 12 sweet pain Fri Dec 14, 2012 1:33 pm

0ctogus

0ctogus
Admin


“ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว” ร่างเล็กเอ่ยทั้งน้ำตา ยกมือขึ้นจับใบหน้าอีกฝ่าย พรมจูบไปทั่วอย่างรักใคร่ เซฮุนดูดเม้มปากเล็กเบาๆซ้ำไปซ้ำมา



“อย่าขี้แงสิ ผมไม่.....เป็นไร” เขาฝืนยิ้มให้ ทั้งๆที่ภายในมันทรมานเจียนตาย ลู่ฮานอ้าปากตั้งท่าจะเถียงอีกแต่ก็ถูกเซฮุนดึงเข้ามากอด ร่างขาวซบไหล่อีกคนต่างหมอน ยกมือข้างที่ว่างลูบผมปลอบประโลมร่างเล็กที่กำลังร้องไห้



“ไม่.....ผมไม่เป็นไร” ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดพยักหน้ารัวตั้งแต่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบประโยค ปากก็พรมจูบหน้าไรผมอีกฝ่าย ตากวางที่ถูกเคลือบไปด้วยหยาดน้ำตาหันไปมองพระจันทร์ สีของมันกลายเป็นสีส้มอิฐ อีกไม่นานก็จะใกล้เวลาแล้ว ใจหนึ่งเขาก็ภาวนาให้มันมาถึงเร็วๆ เซฮุนจะได้อยู่เคียงข้างเขาไปตลอดกาล อีกใจก็ไม่อยากให้มันมาถึง เพราะการทำพันธะขั้นต่อไปจะทรมานรวดร้าวยิ่งกว่านี้หลายเท่า





เซฮุน อดทนนะ อดทนนะ





ตากวางเหลือบมองไปที่หลังมือเซฮุน รอยสัญลักษณ์เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะครบสมบูรณ์ ขาดวงกลมอีกแค่วงเดียวเท่านั้น ถ้าลู่ฮานสามารถเร่งเวลาได้ เขาก็คงจะกระโจนไปหมุนเข็มนาฬิกา หรือไม่ก็เร่งให้พระจันทร์โคจรเร็วๆแล้ว ลู่ฮานหันกลับมามองเซฮุนที่เอาแต่นั่งนิ่งซบไหล่เขาอยู่อย่างนั้น ไม่มีถอยคำอวดครวญ เจ็บปวด หรือทุกข์ทรมานใดๆทั้งสิ้น มีเพียงความเงียบเท่านั้น เงียบเสียจนน่าแปลกใจ เงียบเสียจนลู่ฮานกลัว ร่างเล็กค่อยๆผละออกจากอ้อมกอด พยายามจะหันไปสบตาอีกคน ยังไม่ทันที่ลู่ฮานจะได้เห็นใบหน้าอีกฝ่าย ก็ถูกเซฮุนรั้งเข้ามาในอ้อมกอด พิงศรีษะกับไหล่บางดังเดิม



“......อยู่นิ่งๆ” เสียงของเซฮุนเบา และอิดโรย ลู่ฮานอยากจะขัดคำสั่งนั้นเสียเหลือเกิน แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั่งนิ่งๆตามคำพูดของเซฮุน





สายลมแรงด้านนอกหอบเอากลิ่นหอมรัญจวนและกลีบกุหลาบเข้ามาในห้อง บางกลีบร่วงหล่นบนศรีษะของเซฮุน ลู่ฮานหยิบมันออกอย่างเบามือ ตากวางหันกลับไปมองดูหลังมืออีกครั้ง ตอนนี้แค่รอเวลาให้มันชัดเจนเด่นขึ้นมาเท่านั้น ลู่ฮานจดจ้องมันอยู่อย่างนั้นภาวนาให้มันเสร็จสมบูรณ์เร็วๆ ทันทีที่วงกลมวงสุดท้ายเด่นชัดลู่ฮานก็ผละออกจากอ้อมกอด ประคองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยสองมือเล็ก ฉับพลันนั้นเมื่อตากวางเห็นหยดเลือดที่ไหลออกมาจากกลีบปากหนา ร่างเล็กก็แทบทรุด มือไม้สั่นไปหมด น้ำตามันพาลไหลออกมาเสียดื้อๆ นิ้วเล็กค่อยๆบรรจงปาดหยดเลือดออก ทามทับริมฝีปากลงบนกลีบปากหนา จูบซับเลือดซ้ำๆ ลิ้นเล็กเลียทำความสะอาดปากแผลอย่างทะนุถนอม ปากของเซฮุนแดงช้ำไปหมด บางจุดห่อเลือดเสียจนน่ากลัว ร่างขาวคงกัดปากพยายามอดทนต่อความเจ็บปวดที่โหมกระหน่ำเข้ามา มันสุดแสนจะทรมาน ปวดแสบปวดร้อนดั่งถูกเปลวเพลิงแผดเผาไปทั่วทั้งร่าง ความรุนแรงของมันดับไม่ได้ด้วยน้ำหยุดยั้งไม่ได้ด้วยสิ่งใดๆทั้งปวง มีเพียงทางเดียวที่จะหยุดมันคือการยอมให้มันแผดเผาทำลายจนมันสาแก่ใจแล้วจึงจะทุเลาผ่านพ้นไปได้





เซฮุนปล่อยให้ลู่ฮานพรมจูบอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานพอสมควรก่อนจะค่อยๆผละออกมาอย่างอ่อยอิ่ง ยกยิ้มให้กับร่างเล็กที่เอาแต่มองเขาด้วยความห่วงใย





“ต่อสิ เดี๋ยวไม่.....ทัน” เซฮุนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ลู่ฮานพยักหน้ารับตอบคำพูดของอีกฝ่าย แม้ตอนนี้ความต้องการในการทำพันธะของเขามลายสูญสิ้นไปแล้ว เขาคงทนดูคนที่รักทรมานเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาไม่ได้





ลู่ฮานนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามรวบรวมสมาธิและความกล้าหาญที่หลงเหลืออยู่ในตัวเพียงน้อยนิดกลับมาก่อนจะยื่นข้อมือให้คนตรงหน้ากลืนกินเลือดตัวเอง เซฮุนค่อยๆดึงมือลู่ฮานเข้ามาใกล้ ลิ้นหนาเลียรับรสขมปร่าของเลือดเข้าไปในปาก ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดระลอกใหม่ที่รุนแรง ร้อนลุ่ม ทุรนทุรายกว่าเดิม มันเริ่มแผดเผาภายในร่างของเขาอย่างช้าๆไม่รีบร้อนอะไร หากแต่แฝงไปด้วยพิษสงที่ร้ายแรงยิ่งนัก แม้จะทรมานแค่ไหน แต่เซฮุนก็ไม่หยุดเลียเลือดลู่ฮาน เขายังคงกลืนกินหยดเลือดลงไปทุกหยาดหยด มืออีกแขนก็กระชับร่างเล็กให้แนบชิดกับตนมากยิ่งขึ้น





ร่างเล็กที่ลอบสังเกตเซฮุนอยู่ ค่อยๆเลื่อนมือไปลูบไล้ใบหน้าอีกฝ่าย ยื่นหน้าไปพรมจูบเสี้ยวหน้าอีกฝ่าย หวังให้เซฮุนคลายความเจ็บปวดลงได้บ้างไม่มากก็น้อย ไล่พรมจูบต่ำลงมาเรื่อยๆถึงซอกคอ ดูดเม้มเบาๆพอให้เกิดรอยแดงจางๆ มือเล็กยกขึ้นแตะสัมผัสแผ่นหลังอีกฝ่ายเบาๆ ลู่ฮานเหลือบมองดูหยดเลือดบนมือด้วยความเศร้าใจ เขาอย่างเร่งให้มันเสร็จเร็วๆเหลือเกิน ลายเส้นจำนวนมากมายค่อยๆผุดขึ้นที่หลังเซฮุนช้าๆ จากเส้นสีจางเริ่มเข้มขึ้นเมื่อเซฮุนกลืนกินเลือดของลู่ฮานเข้าไปมากขึ้น ทางกลับกันมันกลับยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างขาว แม้ความทรมานจะเข้าเล่นงานเซฮุนมากเท่าไร แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าเจ็บปวดทรมาน มีเพียงฝ่ามือซ้ายที่ถูกกำแน่นจนเลือดไหลซิบออกมา ลู่ฮานค่อยๆแกะมือนั่นออกก่อนจะสอดมือเข้าประสานกับมืออีกคน ยอมใช้มือตัวเองเป็นที่ระบายความเจ็บปวดของเซฮุน มืออีกข้างร่างเล็กก็ออกแรงบีบให้เลือดไหลมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างจะได้เสร็จสิ้นเร็วๆ





เวลาผ่านไปสักพักแต่ก็นานมากพอให้ลู่ฮานคลั่งตายได้ ตอนนี้แผ่นหลังของเซฮุนเต็มไปด้วยตราสัญลักษณ์ของเขา เหลือเพียงอีกไม่กี่เส้นเท่านั้นก็เสร็จสมบูรณ์ ลู่ฮานเหลือบตาไปมองพระจันทร์ สีของมันเริ่มกลายเป็นสีแดงอ่อนแล้ว อีกไม่นานเซฮุนก็พ้นจากความเจ็บปวดนี่เสียที ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงบีบที่มือ เด็กหนุ่มกำลังบีบมือเขาแน่น แม้ลู่ฮานจะเจ็บแค่ไหนแต่เขาก็ยินดียอมให้เซฮุนระบายความเจ็บปวด และทรมานใส่มือของเขา



“อดทนนะเซฮุน อีกนิดเดียว” ลู่ฮานจูบไรผมอีกคนอย่างรักใคร่ เซฮุนเพียงแค่บีบมือตอบกลับมา เขาไม่มีแรงพอจะพูดอะไรออกไป





สายลมจากภายนอกพัดโหมเข้ามาภายในห้อง ลู่ฮานดึงอีกคนเข้ามาใกล้มากขึ้น กลัวว่าร่างนี้จะหนาว ในใจก็นึกโทษตัวเองที่เปิดหน้าต่างเป็นเหตให้ลมเข้ามาได้ กลีบกุหลาบตกลงบนแผ่นหลังเซฮุน มันค่อยๆเปลี่ยนสีกลายไปสีดำ นิ้วเล็กหยิบมันออกอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าถ้าออกแรงกว่านี้เซฮุนจะเจ็บปวดมากขึ้น หลังจากนั้นลู่ฮานก็นั่งนิ่งใจจดจ่ออยู่กับเวลาให้เคลื่อนผ่านพ้นไปเร็วๆ และในที่สุดเวลาที่เขารอก็มาถึงเมื่อลายเส้นลายสุดท้ายเชื่อมติดกันจนเสร็จสมบูรณ์





“เสร็จแล้ว เซฮุน เสร็จแล้ว” เซฮุนเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ ก่อนจะพิงศรีษะกับไหล่บางอย่างอ่อนระโหยโรยแรง



“ขอโทษนะ ขอโทษ” ร่างเล็กร่ำไห้ มือเล็กยกแขนเซฮุนขึ้นมา กดปากจูบซับเลือดที่ไหลซึมออกมาจากข้อมือ ลิ้นเล็กตระหวัดเลียเลือดเข้าปากซ้ำๆ เมื่อเห็นว่าเลือดหยุดไหลแล้ว ลู่ฮานก็เบี่ยงตัวมานั่งข้างหลังเซฮุน ทันทีที่เห็นตราสัญลักษณ์อาบเลือด เขาก็แนบใบหน้าลงกับแผ่นหลังเซฮุนก่อนจะจูบซับเลือดไปทั้งน้ำตา นิ้วเล็กยกขึ้นลูบรอยแผลนั่นอย่างเบามือที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เมื่อจูบซับเลือดจนหมดลู่ฮานก็เลื่อนใบหน้าไปจูบแก้มกร้านซ้ำๆ ก่อนจะพลิกตัวไปนั่งตักอีกคน ทามทับริมฝีปากลงบนกลีบปากหนา มอบความรู้สึกที่ตัวเองมีทั้งหมดให้ผ่านจูบนั้น ถ่ายทอดมันไปจนหมดแล้วจึงผละออกมา เขาค่อยๆจับเซฮุนเอนตัวนอนลงกับเตียงช้าๆ จูบราตรีสวัสดิ์ที่หน้าผากเด็กหนุ่มเนิ่นนานจนร่างนั้นเข้าสู่ห้วงนิทรา





ร่างเล็กค่อยๆยันกายลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ตากวางมองไปยังพระจันทร์ที่บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานดั่งโลหิตเรียบร้อยแล้วด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย จากนี้จะไม่มีอะไรแยกเขาออกจากเซฮุนได้





“เราจะเป็นทาสรักของกันและกันตลอดไปเซฮุน” ลู่ฮานหันมาพูดกับเซฮุนที่ผล็อยหลับไปแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อน









--------------------------------------------------------------------

http://0ctogus.forumth.com

3Part 12  sweet pain Empty Re: Part 12 sweet pain Tue Dec 18, 2012 11:41 pm

plengklui



เสี่ยวลู่น่ารักมากกกกกกกก

ไม่อยากทำพันธะเพราะกลัวเน่เจ็บ ทั้งๆที่ตัวเองก็อยาก T^T
เป็นคนที่ ><!! อยากให้อิพี่คริสได้สักครึ่งของเสี่ยวลู่บ้าง =3=

ปรบมือให้เซฮุนหน่อย *แปะ แปะ* เด็กตัวขาวอดทนได้เยี่ยมมาก
คือทำพันธะมันทรมาณก็จริง แต่ถ้าได้อยู่กับคนที่เรารักตลอดถือว่าคุ้มนะ *เพ้อฝัน*

4Part 12  sweet pain Empty Re: Part 12 sweet pain Wed Apr 10, 2013 2:11 am

rquniqa



อิพี่คริสค่ะ
แกหัดดูลู่ไว้เป็นตัวอย่างบ้างนะ

5Part 12  sweet pain Empty Re: Part 12 sweet pain Wed Jun 26, 2013 10:47 pm

panaddaj



“เราจะเป็นทาสรักของกันและกันตลอดไปเซฮุน”
ยินดีด้วยนะลูห่าน
ถ้าคุณคริสคิดได้แบบนี้ก็ดีดิ
จะทรมานชานยอลไปถึงไหน Crying or Very sad

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ