0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

Part 13 light in the darkness

5 posters

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

1Part 13  light in the darkness Empty Part 13 light in the darkness Fri Dec 14, 2012 9:28 am

0ctogus

0ctogus
Admin



ทาส คือ บุคคลที่ถูกทำเสมือนว่าเป็นสิ่งของ ไม่มีสิทธิในตัวเอง ขาดอิสระในการดำรงชีวิต และมีหน้าที่ก้มหน้าก้มตา คอยรับใช้ และสนองความต้องการนานับประการตามแต่ที่ผู้เป็นนายสั่ง แม้บางครั้งอาจจะไม่อยากทำตามคำสั่ง แต่ก็มิอาจจะปฏิเสธได้ มันคือโชคชะตา เวรกรรม หรือความโชคร้ายของชีวิตที่มิอาจจะก่นด่า หรือผลักไสให้พ้นตัว แต่มันคือสิ่งที่ต้องทนทำใจยอมรับ และต้องสำเนียกตัวเองว่าเราคือใคร.......





สำหรับชานยอล เขาก็คงไม่ต่างอะไรจากทาสเหล่านั้น หากแต่สถานะความเป็นอยู่อาจจะดีหรือเลวกว่า เขาอยู่ในคฤหาสถ์ที่ใหญ่ โอ่โถง และครบครันไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ คนที่นี่หากไม่นับเจ้านายของเขาแล้วก็ถือว่าดีทีเดียว ใจดีและอบอุ่น แต่น่าเสียดายที่เขามิอาจเอื้อมให้ได้รับโอกาสคุยกับคนเหล่านั้นมากนัก มีเพียงคนเดียวที่เขาพูดคุยได้มากที่สุดก็คงจะเป็นเจ้านายของเขาเอง แต่สิ่งที่เลวกว่าก็คงจะไม่พ้นการต้องอยู่เป็นที่รองรับอารมณ์ความโกรธเกรี้ยว เอาแต่ใจ และรุนแรง รวมไปถึงการสนองความต้องการที่สุดแสนจะวิปลาส สัปดน เกินกว่าที่มนุษย์มนาจะเป็น ชีวิตของเขาถูกดำเนินไปในท้วงทำนองที่ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวไปที่ละนิด ที่ละนิด แต่ละตัวโน๊ตล้วนค่อยๆกัดกร่อนหัวใจของเขาไปเรื่อยๆ ทำให้ใจดวงนี้บอบช้ำ พิกลพิการไป จนยากที่จะบอกได้ว่าครั้งหนึ่งใจดวงนี้มีรูปร่างเป็นยังไง.......





แสงแดดยามเที่ยงวันสาดส่องเข้ามาในห้อง ไอร้อนของมันปัดเป่าเอากลิ่นหอมรัญจวนของกุหลาบ และความรู้สึกอึดอัด หนักอึ้ง ต่างๆให้ลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศก่อนจะค่อยๆสลายตัวเลือนลางไปอย่างเงียบๆ แสงแดดช่วยฉายภาพภายในห้องให้เด่นชัดขึ้น ข้าวของทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิม ไม่มีร่องรอยของการเคลื่อนย้าย มันยังคงรักษาไว้ซึ่งความไร้ชีวิตชีวา ราบเรียบ และนิ่งเฉยตามแบบฉบับที่มันเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงแม้กระนั้นมันก็ยังคงดูใหม่เอี่ยม มิได้ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นหรือถูกปล่อยทิ้งไร้การดูแลแต่อย่างใด หากไม่ได้ใส่ใจในเอกลักษณ์เหล่านั้นของมัน การมาอยู่ห้องนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก





ร่างที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงแทบจะไม่รู้การมาเยือนของลำแสงนี้เลยแม้แต่น้อย เขายังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่ง เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ร่างนั้นก็ยังคงสภาพเช่นเดิมจนน่าหวั่นว่าเขาอาจเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ หากแต่หน้าอกที่ยังคงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ และยังคงมีเสียงลมหายใจเข้าออกทำให้ตระหนักได้ว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ แม้แสงแดดยามเที่ยงวันจะร้อนระอุสักเพียงใดแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชานยอลสะทกสะท้านสักนิด มือเรียวกระชับผ้าห่มให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายมากขึ้น ปฏิกิริยาที่ตรงข้ามกับสภาพที่เป็นอยู่เป็นรางบอกเหตุถึงความผิดปกติของร่างนี้ ร่างนั้นนอนคุดคู้ห่อตัวเองอยู่ในผ้าห่ม เร้นกายจากแสงแดดและอากาศภายนอก มีเพียงปอยผมสีอ่อนโผล่พ้นผ้าห่มออกมาเท่านั้น มันพริ้วไหวเล็กน้อยเมื่อถูกสายลมอ่อนจากภายนอกพัดผ่านเข้ามาทักทาย กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าหลากชนิดโรยตัวมาตามสายลมนั้น มันเข้าครอบคลุม อาบข้าวของที่ไร้ชีวิตชีวาให้กลับมีมีชีวิตและความสดชื่นอีกครั้ง แต่เหตุการณ์น้อยนิดนี้ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อร่างนี้เลย เขายังคงถูกโอบอ้อมด้วยสองแขนของห้วงนิทรา





ความเงียบสงบถูกปัดให้ฟุ้งกระจายด้วยเสียงเปิดประตู แต่เพียงไม่นานมันก็เข้าเกาะกลุ่มโรยตัวครอบงำห้องนี้ดังเดิม คุณยายแม่บ้านเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชายหนุ่มผู้มีดวงตากลมโตเงียบๆ พยายามไม่ทำเสียงหรือการกระทำใดให้รบกวนการพักผ่อนของคนใต้ผ้าห่ม เธอวางกะละมังใส่น้ำไว้ที่โต๊ะเล็กข้างเตียง ฉับพลับนั้นก็สบเข้ากับสร้อยเส้นหนึ่ง จี้เล็กๆสะท้อนแสงแดดเสียจนแสบตา ประกายของมันพริ้วไหวอยู่อย่างนั้น ราวกับร้องขอให้เธอใส่มันให้กับชานยอล มือเหี่ยวค่อยๆหยิบสร้อยขึ้นมาใส่ให้ร่างบนเตียง เมื่อเสร็จเธอก็หันไปสั่งให้ชายอีกคนวางถาดอาหารที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะหันมาดึงผ้าห่มออก เผยให้เห็นร่างที่กำลังสั่นเทา นอนคุดคู้ราวกับอยู่ในที่อากาศหนาวทั้งๆที่อากาศตอนนี้กำลังอบอุ่นติดจะอ้าวนิดๆด้วยซ้ำ หญิงชราใช้มืออังหน้าผากชานยอล เธอแทบชักมือกลับไม่ทัน ตัวชานยอลร้อนจี๋สุ่มเสี่ยงต่อการช็อกเต็มที่ แม่บ้านสูงวัยกุลีกุจอเข้ามาเช็ดตัวให้ร่างโปร่ง ทันทีที่ร่างกายสัมผัสความเย็น ชานยอลก็รู้สึกตัว ปรือตามองเธอเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็สลบหลับใหลอีก ซ้ำร้ายตลอดเวลาที่เช็ดตัวไปก็มีอาการเพ้อตลอด ส่วนใหญ่มักพูดถึงคริส บางครั้งก็ฟังพอรู้เรื่อง แต่บางครั้งก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องการจะพูดถึงอะไร หยาดน้ำใสคลอหน่วงที่เบ้าตาคนดูแลทั้งสอง พวกเขารู้สึกสงสารร่างนี้จับใจหากแต่มันเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมมือไปช่วยได้ จริงอยู่ว่าพวกเขารักชานยอลและเอ็นดูเด็กคนนี้เสมือนลูกหรือพี่น้องคนหนึ่ง แต่ทุกคนที่นี้ก็รู้ดีว่าอย่าได้คิดเข้าไปยุ่ง หรือสอดรู้เรื่องของอู๋อี้ฟานเด็ดขาด ไม่งั้นชีวิตตัวเองคงต้องเจอกับเรื่องที่เลวร้าย สุดแสนจะคาดเดาได้ว่ามันจะเป็น สิ่งที่พอจะทำได้ก็แค่พอช่วยเหลือนิดๆนห่อยๆ และประคับประคองให้เด็กคนนี้ไม่แตกสลายไปเสียก่อนก็เท่านั้น







เมื่อเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย หญิงชราก็ปลุกชานยอล ค่อยๆพยุงร่างที่อ่อนแรงนั้นขึ้นมา เธอจัดแจงใช้หมอนดันหลังให้ชานยอลนั่งได้สะดวกขึ้น หากแต่ตอนนี้ร่างโปร่งอ่อนแรงเหลือเกิน พอนั่งได้สักพักก็ทำท่าจะกลับไปนอนอีกเสียให้ได้ เป็นเวลาอยู่นานกว่าจะให้ชานยอลทานข้าวได้ พอเริ่มทานไปได้ไม่กี่คำจู่ๆร่างโปร่งก็หมดสติไป



“คุณชานยอล คุณชานยอล คุณชานยอลคะ” เธอร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความตกใจ หากแต่ก็ไร้เสียงขานรับกลับมา



“คยองซูไปตามคนมาช่วยเร็ว” ชายหนุ่มตาโตรีบวิ่งออกจากห้องทันที คยองซูตะโกนโวกเหวกไปทั่วคฤหาสถ์ ลู่ฮานที่ได้ยินเสียงเปิดประตูออกมาด้วยความใคร่รู้ปนตกใจ



“เกิดอะไรขึ้น คยองซู”



“คุณชานยอลครับ คุณชานยอลช็อก”



“คริสล่ะ คริสอยู่ไหน ”



“ไม่มีใครเห็นครับ”



“ตามไคสิ ตามไคขึ้นมา เร็ว คยองซู” ร่างเล็กตะโกนสั่งพร้อมกับรีบวิ่งไปที่ห้องชานยอล ทิ้งให้เซฮุนที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่ที่ห้อง อย่างน้อยตอนนี้เซฮุนก็ไม่น่าห่วงเท่า เพราะเขาให้ยาบำรุงไปบ้างแล้ว ต่างจากชานยอลที่คงไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง





ร่างเล็กถลาตัวเข้ามาดูชานยอลที่นอนอยู่บนเตียง หญิงชรารีบเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ฟังคร่าวๆ ลู่ฮานเม้มปากแน่น ขมวดคิ้วจนติดกัน จากอาการของชานยอลเป็นไปอย่างที่เขาคาดการณ์ คริสแทบจะไม่สนใจแม้แต่จะทำแผล หรือให้คนมาดูแลเลย นึกอยากจะก่นด่าแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่ต้องช่วยรักษาชานยอลไปอย่างนี้ ลู่ฮานเดินกลับออกมาที่หน้าห้อง ตะโกนเรียกหาไคให้รีบขึ้นมาบนห้อง พาชานยอลไปโรงพยาบาล เพียงชั่วอึดใจ หนุ่มผิวเข้มก็ปรากฎตัวหน้าร่างเล็ก ไม่ต้องรอให้ใครอธิบายเหตุการณ์นี้เขาก็พอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไคช้อนตัวชานยอล ก่อนจะรีบพาไปโรงพยาบาลทันที



----------------------------------------------







ทันทีไคพาร่างไร้สติของชานยอลมาถึงโรงพยาบาล เหล่าบุรษและนางพยาบาลก็รีบเข้ามา พวกเขาให้ชานยอลนอนราบลงกับเตียงผู้ป่วย ก่อนจะส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน ไคบอกอาการคร่าวๆกับแพทย์หรือนางพยาบาลสักคนที่อยู่ที่นั้นด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ การพาร่างชานยอลมาทีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลยสักนิด มันต้องใช้พลังงานสูงมาก อีกทั้งระยะทางที่เดินทางมาก็ไม่ใช่น้อยๆ เมื่อฟังอาการเสร็จเธอคนนั้นก็รีบเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แล้วประตูบานนั้นก็ค่อยๆปิดลง ตัดชานยอลออกจากโลกภายนอก





ไคเลือกที่จะนั่งรอในที่นั่งที่ทางโรงพยาบาลจัดสรรให้ เขานั่งรออย่างใจเย็นและภาวนาให้พี่ชายของเขาคนนี้ปลอดภัย ไม่นานนักลู่ฮานกับเซฮุนก็ตามมาสมทบ เซฮุนดูตกใจไม่น้อยที่เห็นไคมาอยู่ที่นี้ได้





“ไอ้ไค!!!”



“อย่าเพิ่งถาม” ไคเอ่ยตอบกลับไปสั้นๆ หากแต่มันก็ไม่ได้หยุดยั้งความอยากรู้ของเซฮุนลงได้ ร่างขาวหันไปหาลู่ฮานเป็นเชิงขอคำอธิบาย



“ไคเป็นเหมือนพวกฉัน” ลู่ฮานพูดเสียงเบา กลัวว่าเซฮุนอาจจะอาละวาดได้ที่รู้ความจริง



“ว่าไงนะ! ไอ้ไค แล้วที่ผ่านมานายรู้ใช่มั้ยว่าพวกฉันไปอยุ่ที่ไหน แล้วทำไมถึงไม่ช่วยพวกฉันเลย!!! ” เซฮุนตวาดลั่น มุ่งเข้ากระชากคอเสื้อไค เขาทั้งโกรธทั้งผิดหวังที่รู้ความจริง หนุ่มผิวเข้มเพียงแค่แกะมือนั้นออก เงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ยืนค้ำหัวตัวเอง



“เลิกหาเรื่อง แล้วมาสนใจเรื่องพี่ชานยอลดีกว่ามั้ยไอ้เซฮุน”



“แล้วที่พี่เขาต้องมาเจอไรงี้ก็พวกนายไม่ใช่หรอวะ ทำไมไม่ช่วย ไม่งั้นปานนี้พวกเราก็ได้กลับบ้าน ไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้แล้ว ทำไมวะไอ้ไค”



“พูดอะไรดูคนข้างๆหน่อยดิ สนใจความรู้สึกพี่ลู่ฮานบ้างไอ้เซฮุน พูดเหมือนอยากจะไปจากที่นี้ให้พ้นๆ อย่าทำตัวเหมือนเด็กพอโมโหแล้วก็พาลไปทั่วงี้ดิวะ แล้วที่ฉันไม่ช่วย เพราะฉันช่วยไม่ได้ ถ้าช่วยได้ปานนี้นายคิดว่าลู่ฮานจะอยู่เฉยๆหรอ ทำไมเขาไม่ช่วยชานยอลออกไปแต่แรกเล่า นายอยู่ที่นั่น นายน่าจะพอรู้ถึงความโหดร้ายของพี่คริสแล้วไม่ใช่รึไง” เซฮุนนิ่งเงียบไป หันกลับไปมองลู่ฮานที่เอาแต่นั่งนิ่งๆ ดวงตากวางฉายแววเศร้าเล็กน้อย เด็กหนุ่มเลื่อนมือไปกุมมือเล็ก บีบมันเบาๆก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างสำนึกผิด



“ขอโทษ”



“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”ลู่ฮานยิ้มบางๆ เขาเลิกสนใจเซฮุนแล้วหันไปถามความคืบหน้าของชานยอลแทน



“ชานยอลเป็นยังไงบ้าง”



“ไม่รู้สิ เพิ่งเข้าไปเมื่อไม่นานนี่เอง ถ้าให้เดาก็คงโดนให้เลือด แต่ดูจากอาการแล้วผมว่าคงต้องโดนแอดมิทอยู่ที่นี่ยาวด้วย” ทันทีที่ฟังจบลู่ฮานก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เซฮุนมองเหม่อไปยังประตูห้องฉุกเฉิน ส่วนไคเอาแต่ก้มมองพื้นราวกับว่ามันน่าพิสมัยนัก







พวกเขานั่งรออยู่ไม่นานนักก็มีแพทย์เดินออกมาหา เธอบอกเล่าถึงอาการคร่าวๆของชานยอลให้ทุกคนฟัง ชานยอลช็อกเพราะเสียเลือดและจากการเป็นไข้ แม้เขาจะเสียเลือดไปประมาณ13เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับอัตราส่วนทั้งหมดภายในร่างกาย ดูเหมือนจะเป็นเลขจำนวนไม่มาก แต่หากบวกกับภาวะอาการไข้หวัดที่เจ้าตัวเป็นอยู่แล้ว ทำให้ตัวเลขจำนวนเท่านี้มีผลต่อชีวิตชานยอลมากเลยทีเดียว ทางแพทย์จึงจำเป็นต้องให้เลือดในการรักษา และขอให้ผู้ป่วยนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล





เตียงผู้ป่วยค่อยๆถูกเข็นออกมาจากห้องฉุกเฉิน ร่างของชานยอลยังคงนอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง บุรุษพยาบาลเอ่ยบอกพวกเขาถึงเรื่องห้องพักของชานยอล ทั้งหมดเดินขึ้นไปจนถึงห้อง ลู่ฮานทอดสายตามองร่างบนเตียงด้วยความรู้สึกสงสารและห่วงใย เช่นเดียวกับไคและเซฮุน ตั้งแต่พวกเขารู้จักกันมา ชานยอลก็ไม่เคยถึงขั้นต้องมาล้มหมอน นอนเสื่ออย่างนี้ การนอนโรงพยาบาลครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ เพราะปกติแล้วชานยอลเป็นคนสุขภาพแข็งแรง เจ็บป่วยอย่างมากก็แค่ไข้หวัด นอนพักนิดๆหน่อยๆก็หาย แต่ดูท่าครั้งนี้จะทั้งป่วยใจและร่างกาย ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะฟื้นตัว ทั้งสามนั่งเฝ้าอาการอยู่สักพัก ไคก็เอ่ยขอตัวกลับ เพราะกลัวว่าถ้าคนป่วยตื่นขึ้นมาเจอเขาเข้าจะเกิดเรื่องตามมาอีก ลำพังแค่ถูกรุมเร้าเพราะพิษไข้ก็หนักหนาสาหัสสำหรับร่างนี้มากพอแล้ว เขาไม่อยากจะให้พี่ชายของเขาต้องมาเจอเรื่องหนักๆอีก หลังจากไคออกไปความเงียบก็เขาปกคลุมเซฮุนกับลู่ฮาน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกเท่านั้นที่บ่งบอกการมีอยู่ของอีกคน ดวงตาทั้งสองคู่เอาแต่จับจ้องไปยังร่างที่นอนหลับใหลบนเตียง ภาวนาให้ร่างนี้ตื่นขึ้นมาไวๆ





ชานยอลนอนหลับใหลไม่ได้สติไปนานกว่าหลายชั่วโมง กว่าเขาจะตื่นก็ล่วงเข้าเวลาโพล้เพล้แล้ว แพขนตายาวกระพริบถี่ๆเพื่อปรับสายตาให้เข้ากับสภาพที่เปลี่ยนไป เขาค่อยๆปรือตาขึ้นมองสำรวจไปทั่วห้อง โสตประสาตตื่นเต็มที่ พยายามเงี่ยฟังเสียงรอบๆตัว มีเพียงความเงียบตอบเข้ามาเท่านั้น ความตกใจ และความสับสนเข้าเขย่าจิตใจของเขาให้สั่นคลอน สัญชาตญาณสั่งให้มองหาร่างสูง หวังเป็นที่พึ่งในยามคับขัน แปลกใจอยู่ที่คริสกลายเป็นคนแรกที่แวบเข้ามาในห้วงคิดคำนึงของเขา ร่างโปร่งยอมให้ความแคลงใจเข้าเกาะกุมเพียงชั่วครู่ สุดท้ายก็สลัดมันออกไป ตากลมหันไปเห็นขวดน้ำเกลือที่ห้อยอยู่เหนือหัว ไล่สายตาตามสายที่ระโยงจากขวดมาที่มือ ถัดขึ้นมาบริเวณข้อพับมีพลาสเตอร์แปะเอาไว้ ในสมองเริ่มประมวลผลประเมิณสถาณการณ์ทันที เขาคงจะอยู่โรงพยาบาลไหนสักแห่งในเกาหลี อย่างน้อยก็ขอภาวนาให้อยู่ในโซล เขาจะได้ใช้ช่วงเวลานี้ลอบหนีไปได้ แต่มันก็เป็นเพียงความคิดที่แวบเข้ามา จากนั้นมันก็ค่อยๆถูกขจัดออกไปจากสมองด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน





ชานยอลเลิกสนใจในความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง ร่างโปร่งเหลือบสายตาไปเห็นสองร่างที่กำลังนอนพิงกันอยู่ที่โซฟาข้างตัว ลู่ฮานและเซฮุนนั่นเอง เขาลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยเขาก็อยู่กับคนที่ไว้ใจได้สินะ ตากลมหันกลับไปมองพวกเขาอีกครั้ง รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นที่กลีบปากอิ่ม ภาพที่ลู่ฮานซบไหล่เซฮุน ในขณะที่รุ่นน้องของเขาก็พิงศรีษะลู่ฮานต่างหมอน กลิ่นไอความรัก ความอบอุ่น แผ่ซ่านมาถึงหัวใจดวงน้อยๆของเขา หากแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาซาบซึ้ง ซาบซ่านหัวใจเสียเท่าไร เพราะกลิ่นไอเหล่านี้มิใช่ของเขา เขาเพียงแต่ขอเอื้อมมือไปแตะสัมผัสมันเบาๆแล้วค่อยๆปล่อยกลับคืนสู่เจ้าของเท่านั้น ดูเหมือนเขาจะจ้องทั้งคู่นานไปหน่อย ทั้งสองค่อยๆขยับตัว ปรือตาให้คุ้นชินกับแสงสองสามที ก่อนจะเบิกโพล่งเมื่อเห็นว่าเขาตื่นแล้ว ลู่ฮานรีบถลาเข้ามาหาเขา ตามด้วยเซฮุนที่ยังเดินไม่ค่อยสะดวกนัก



“เป็นยังไงบ้างชานยอล” ร่างโปร่งเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆกลับไป ไม่มีแรงพอจะตอบอะไร



“พี่ รู้สึกยังไงบ้าง เมื่อกี้เขาเพิ่งให้เลือดพี่เสร็จ พี่โอเคมั้ย” เซฮุนพูดระรัว ชานยอลส่ายหน้าไปมาช้าๆ



“อย่าเพิ่งซักเลยเซฮุน ชานยอลคงยังไม่มีแรง ” เซฮุนพยักหน้าตอบ แต่ก็ยังไม่วายพูดต่ออีก



“ถ้าพี่ไม่โอเค พี่เรียกผมนะ” ชานยอลยิ้มบางๆ ทั้งคู่จึงเดินกลับไปนั่งยังโซฟาดังเดิม แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรมากกว่านั้นชานยอลก็เอ่ยขึ้นขัดเสียงก่อน น้ำเสียงของเขาแหบพร่า เบา หากไม่ตั้งใจฟังก็จะฟังไม่รู้เรื่อง



“คุณ คริสล่ะ” ลู่ฮานเอิกอั่ก ไม่รู้จะตอบยังไง ขนาดตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาหายไปไหน เซฮุนที่ยืนอยู่ข้างๆกลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอาแต่คิดถึงคนคนนั้นทั้งๆที่โดนทำร้ายมาซะขนาดนั้น ถึงเขาจะไม่ได้รู้ว่าโดนร้ายแรงมาขนาดไหน แต่ลำพังแค่ทำให้ชานยอลถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลได้ สำหรับเขามันก็มากพอจนไม่ต้องสรรหาคำไหนมาอธิบายความโหดร้ายของคริสแล้ว



“พี่จะถามทำไม ถ้าเขาห่วงพี่นะ ป่านนี้ก็มาแล้วล่ะ” ชานยอลมีแววตาสลดลงทันที นั่นสินะ ถ้าห่วงปานนี้ก็คงมาแล้ว ไม่ปล่อยให้เขาหลับไปค่อนวันอย่างนี้หรอก ลู่ฮานที่เห็นท่าไม่ดีฟาดมือลงโทษเด็กหนุ่มไปหนึ่งที โทษฐานที่ปากไม่ดี พูดให้คนป่วยอาการทรุดหนัก



“เดี๋ยวก็คงมาล่ะ เห็นบอกว่าจะไปทำธุระอะไรสักอย่าง ฉันก็ไม่ได้สนใจเท่าไรหรอก” ร่างเล็กโกหกไปคำโต เซฮุนหันมามองหน้าอย่างไม่เข้าใจ ทั้งวันมานี่เขาก็ไม่เห็นลู่ฮานจะออกไปไหน แล้วจะเอาเวลาไหนไปคุยกับคริสได้กัน



“เถอะน่า เซฮุน” ร่างเล็กพูดรอดไรฟัน เด็กหนุ่มกลอกตาไปมาอีกครั้ง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องโกหกพี่ชายของเขาด้วย บอกความจริงไปก็สิ้นเรื่องว่าไม่รู้ว่าคุณคริสไรนั้นไปไหน



“ชานยอลนอนพักต่อเถอะ เดี๋ยวคริสก็มาล่ะ” ลู่ฮานยิ้มหวาน พยายามปั้นแต่งให้มันจริงใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชานยอลไม่ได้คิดเอะใจหรือถามอะไรอีก ร่างโปร่งแค่ปิดเปลือกตาลง ก่อนจะเข้าสู่ห้องนิทราไปในที่สุด



“ทำไมต้องโกหก บอกไปก็สิ้นเรื่องว่าไม่รู้”



“เงียบไปเลยเซฮุน!!!” ร่างเล็กว่าเสียงเข้ม เซฮุนเอนหลังพิงโซฟาเต็มแรงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ ลู่ฮานหันหน้ามาค้อนขวับแต่ก็ไม่ได้ดุว่าอะไรต่ออีก ร่างขาวหันมาจุดประเด็นใหม่ที่ยิ่งสร้างความหนักอึ้งให้กับอีกฝ่ายมากขึ้น



“แล้วถ้าคุณคริสไม่เห็นพี่ชานยอลอยู่บ้าน เขาจะทำยังไง” ร่างเล็กกลืนน้ำลาย สีหน้ากระอักกระอ่วนเต็มที



“อาละวาด” ลู่ฮานหันมาตอบด้วยสีหน้าหวั่นวิตก ไม่รู้ว่าปานนี้ร่างสูงกลับมาถึงบ้านรึยัง ถ้าถึงแล้วไม่เจอชานยอลล่ะก็........





--------------------------------------------







ร่างของคนใช้ในบ้านสามคนต่างยืนก้มหน้านิ่ง มองมือที่ประสานกันอยู่กลางตัว ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไร เพราะกลัวว่าหากพูดผิดไปสักคำอาจจะโดนลงโทษได้ คริสที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำ กำลังนั่งมองพวกเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว แววตาเจือปนไปด้วยความเกรี้ยวกราด แต่ไม่ได้แสดงออกมามากมายนัก เขาอยู่ในอาการที่นิ่งสงบเสียมากกว่าจะอาละวาดพังข้าวของ ราวกับเป็นคลื่นนิ่งในมหาสมุทร แต่ใครจะรู้เล่า คลื่นสงบนี้อาจกำลังบ่มความโกรธเกรี้ยวในตัวรอเวลาระเบิดเป็นคลื่นยักษ์พังทลายทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ก็เป็นได้



“ปาร์คชานยอลไปไหน” เอ่ยถามเสียงเย็น ตาคมมองไล่ไปที่คนใช้ทีละคน



“โรง โรงพยาบาลครับ” คยองซูละล่ำละลักพูด คริสปาดตากลับมามองที่เขา คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเป็นเชิงไม่เข้าใจ



“เป็นอะไร”



“ช็อก ช็อกค่ะ” คริสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขายาวก้าวฉับมาหาคุณยาย ตาคมจับจ้องไม่วางตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ คุณยายตัวสั่นน้อยๆ เธอเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเงยหน้าสบตาผู้เป็นนาย



“ดูแลยังไงถึงช็อก!!!” ไม่มีการแตะตัวให้สั่นสะท้านความรู้สึก มีเพียงน้ำเสียงเย็นเยียบที่ทรงพลัง ความเย็นชา โหดร้ายที่กำลังเขย่าขวัญให้สั่นไหว



“คุณชานยอลคง เป็นหวัด แล้วเสีย เสียเลือดมาก”



“แล้วใครพาไปส่งโรงพยาบาล” ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา พวกเขารู้ดีว่าคริสไม่ชอบให้ใครยุ่งกับของของตัวเอง แล้วยิ่งเป็นไคด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แม้พวกเขาจะไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางมากนักว่าเพราะอะไร แต่ก็พอรู้คร่าวๆว่าคริสกำลังไม่ไว้ใจไค เพราะไคมีนิสัยพื้นฐานเป็นคนเจ้าชู้ ต่อให้มีคยองซูแล้วก็ใช่ว่าจะพอ ก็ยังเห็นรุ่นน้องคนนี้มั่วกับคนอื่นไปทั่ว ยิ่งพักนี้ไคดูจะเป็นห่วงเป็นใยชานยอลมากเป็นพิเศษ ทุกคนในที่นี้รู้ว่ามันเป็นความห่วงใยแบบพี่น้อง ไม่มีอะไรแอบแฝง แต่คริสไม่เคยสนใจเรื่องนั้น ซ้ำยังยิ่งแรง ไม่พอใจเข้าไปอีก





ร่างสูงเดินกลับมานั่งที่โซฟาหรูดังเดิม รังสีความโหดร้าย อมหิต กำลังแผ่ซ่าน เข้าควบคุมจิตใจคนทั้งสาม กลิ่นไอที่น่าอึดอัด ชวนให้ปวดหนึบที่หัวใจ มันโรยตัวไปทั่วทุกอณูพื้นห้อง ค่อยๆคืบคลาน ครอบงำจิตใจคนทั้งสามให้ยิ่งสั่นเทา ยิ่งภายในห้องเงียบงันเท่าไร ความน่าอึดอัดนี่ก็ยิ่งทวีอนุภาพรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศที่แสนกะอักกะอวนชวนให้เวียนหัวยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยมไปสักพักก็ถูกน้ำเสียงทรงพลังเอ่ยทำลาย



“ฉันถามว่าใครพาไป” มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบเข้ามา คริสข่มตาหลับลงอย่างใจเย็น ก่อนจะลืมตาขึ้นกวาดตามองไปยังคนทั้งสาม ร่างสูงอดทนอยู่กับความเงียบได้ไม่นานก็เอ่ยออกมา


“อย่าให้ฉันต้องถามอีกเป็นครั้งที่สาม”



“ผมเป็นคนพาไปเอง” เสียงแขกไม่ได้รับเชิญเอ่ยขึ้น ไคที่เพิ่งเข้ามาใหม่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ



ความเงียบอันแสนน่ารังเกียจผสมคลุกเคล้าด้วยความโกรธเกรี้ยวอันแสนร้ายกาจเข้าควบคุมไปทั่วทุกอณู คริสหลับตานิ่ง ไม่มีถ้อยคำใดๆเอ่ยออกมาจากปากร่างสูง ฉับพลับนั้นแก้วไวน์ที่ถูกวางอยู่ตรงโต๊ะข้างโซฟาถูกปาใส่พื้นบริเวณที่ไคยืนอยู่อย่างแรง คนใช้ทั้งสามต่างสะดุ้งโหย่งด้วยความตกใจ ผิดกับไคเขาเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ก้มลงมองดูเศษแก้วที่แตกกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ของเหลวสีแดงสดไหลแพร่ซึมจนพื้นพรมเลอะเปรอะเปื้อน เศษแก้วบางส่วนกระเด็นบาดแก้ม ร่างผิวเข้มไม่ได้ใส่ใจจะปาดมันออก คริสพุ่งตัวเข้าหาด้วยความเร็วสูง ยากที่ ”เหยื่อ” จะรู้ตัว ร่างของไคถูกกระชากอย่างแรง มือหนาออกแรงบีบคออีกฝ่ายจนใบหน้าของเหยื่อบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด ร่างสูงผลักอีกคนจนร่างติดชิดกับกำแพง



“อยากจะลองดีรึไง คิมจงอิน!”



“แค่ก แค่ก .......ผมแค่...แค่ก ปล่อยผม”



“กล้าดียังไงมาแตะต้องของของฉัน”



“แค่ก.....ผมไม่ได้.....แค่ก.....” ไคพูดติดขัด พยายามแกะมือร่างสูงออก แต่ด้วยพลังกำลังที่เป็นรองอยู่มาก ทำให้ไม่สามารถหลุดรอดพ้นจากเงื้อมือคริสไปได้



“ตอบฉัน!!!” ร่างสูงผลักร่างไคลงกับพื้นห้อง ไคอ้าปากพงาบๆ พยายามสูดอากาศเข้าไปเต็มปอดให้ได้มากที่สุด คยองซูที่ทนไม่ได้ รีบถลาร่างเข้ามาหา โอบประคองให้ร่างผิวเข้มลุกขึ้นยืนอีกครั้ง



“ออกไปคยองซู ทุกคน ออกไปให้หมด” แผดเสียงตะวาดก้อง แม้คยองซูอยากจะช่วยมากเท่าไร แต่สุดท้ายก็จำใจต้องเดินออกจากห้องไป ภายในห้องเหลือเพียงแค่คริสและไคเท่านั้น ร่างผิวเข้มเงยหน้าขึ้นมา หมายจะตอบคำถามของร่างสูง



“ผมไม่ได้จะ.......ยุ่ง แต่พี่ชาน......ยอลช็อก” ร่างสูงปาดตามอง แววตาฉายแววโมโหอย่างปิดไม่มิด


“แล้วคนที่.....พาไปได้เร็ว....ที่สุด ก็คือ....” ร่างผิวเข้มหยุดพูด สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ



“ก็คือผม ไม่งั้น พี่เขา ตายแน่” ไม่มีคำตอบรับอะไรจากร่างสูง เขาเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ไม่เอ่ยตอบอะไร เป็นเวลาสักพักที่ความเงียบเข้าปกคลุมคนทั้งสอง





ผืนฟ้าที่มืดดำสนิท มีเพียงดวงจันทร์ที่ส่องสว่างแต่งแต้มให้ผืนฟ้านั้นมีสีสันขึ้นมาบ้าง เสียงลมพัดพริ้วไหวจากด้านนอก ดูเอื่อยเฉื่อย และเงียบสงบ ต้นไม้ใบหญ้าลู่ไปตามสายลมเล็กน้อย เมื่อสายลมพัดผ่านไป พวกมันก็กลับมายืนลำต้นตั้งตรงอีกครั้ง เสียงสัตว์หากินกลางคืนดังแว่วกระทบโสตเข้ามาให้ได้ยินเป็นระลอกๆ ค่ำคืนนี้ช่างเป็นคืนที่ปลอดโปร่ง และเงียบสงบมากกว่าคืนไหนๆ หากแต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ซึมซาบเข้ามาถึงภายในห้องเลยสักนิด ทั่วทุกอณูของของห้องนี้ถูกกระแสพายุอันเกรี้ยวกราดของคริส พัดโหม กดทับทุกสิ่งทุกอย่างให้รู้สึกหนักอึ้ง มันเข้าเกาะกุมจิตใจของไคให้รู้สึกกระอักกระอ่วน ชวนให้อยากหนีออกไปจากห้องนี้ให้พ้นๆ แต่นั่นก็คงเป็นได้แค่จินตนาการอันฝันเฟื่อง ร่างเข้มนึกสบถด่าตัวเองในใจที่คิดกลับมาที่นี้ ทั้งๆที่เขาเองก็รู้ดีว่าคริสต้องอาละวาด และเหยื่อความโกรธเกรี้ยวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาเองนี่ล่ะ แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า หากไม่กลับมาเลย คนที่จะซวยต่อไปก็คือเหล่าคนใช้ และนั่นก็รวมไปถึงคยองซูด้วย มนุษย์พวกนั้นจะทานทนพายุอันร้ายกาจนี่ได้อย่างไรกัน เขาซึ่งเป็นแวมไพร์ยังดูมีทางรอดเสียมากกว่า อีกอย่าง หากคริสไม่โผล่หน้าไปเยี่ยมชานยอลเลย พี่ชายตัวสูงของเขาคนนี้ก็จะเศร้าโศกเสียใจอีก และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการสักเท่าไร แม้คริสจะเป็นปีศาจร้าย แต่สำหรับใครบางคน อาจจะต้องการความรัก และความห่วงใยจากปีศาจตัวนี้สักนิดก็เป็นได้ ไคที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ถูกน้ำเสียงของคริสฉุดกระชากออกมา ให้กลับสู่โลกความเป็นจริง



“อยู่โรงพยาลอะไร”



“โซล อย่าเพิ่งไปเลย พี่เขา ต้องพัก”



“หึ ฉันจะไป” สิ้นเสียงคริส ร่างนั้นก็หายวับไป ทิ้งไว้แต่กลิ่นอายความโกรธเกรี้ยวที่ซึมซับไปทั่วทั้งห้อง ไคหน้าถอดสีเมื่อนึกถึงเรื่องที่คริสจะไปหาชานยอลที่โรงพยาบาล การไปครั้งนี้มันยากที่จะคาดเดาได้



“พี่จะเป็นอะไรมั้ย พี่ชานยอล” ไคเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง นึกภาวนาไม่ให้คริสไปโหมพัดพายุความโกรธเกรี้ยวใส่พี่ชายของเขา





-------------------------------------







คริสก้าวย่างเดินไปตามทางเดินในโรงพยาบาลช้าๆ เขาไม่ได้แสดงท่าทีว่ารีบร้อนอะไร หากแต่ก็ไม่ได้เอื่อยเฉื่อยเสียจนไร้ชีวิต ผู้คนไม่ว่าจะเป็นญาติผู้ป่วย นางพยาบาล หรือแม้กระทั่งแพทย์ ต่างพุ่งความสนใจมาที่เขา อาจจะด้วยเพราะรูปร่างหน้าต่างดูดีแบบเอเชียที่กระเดียดไปทางยุโรปเล็กน้อย ส่วนสูงที่เกินกว่ามาตราฐาน หรืออาจจะด้วยเครื่องแต่งกายที่เรียบหรู เขาไม่ได้คิดจะใส่ใจในสายตาหลายคู่เหล่านั้น ขายาวยังคงก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบานหนึ่ง ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆบิดลูกบิดเปิดเข้าไปในห้อง ร่างของใครบางคนที่เขาต้องการพบกำลังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียง โซฟาข้างเตียงถูกลู่ฮานและเซฮุนจับจอง ร่างเล็กลุกขึ้นยืน รีบเดินมาหาเขา ตาคมเหลือบมองเสี้ยวหน้านั้นเพียงแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาเลือกที่จะทรุดตัวนั่งลงยังโซฟาข้างเตียงอีกฝั่ง ประสานมือยื่นออกมาข้างหน้าเล็กน้อย มองสำรวจร่างบนเตียงอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะค่อยๆหลับตานิ่ง



“คริส” ลู่ฮานเอ่ยเรียกชื่อลูกพี่ลูกน้อง มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับเข้ามาเท่านั้น



“จะมาทำไม” เซฮุนพูดออกมาลอยๆ ร่างสูงลืมตาขึ้นมา ตาคมจับจ้องไปยังร่างขาวที่พูดไม่คิด เขายกยิ้มน้อยๆก่อนจะเอ่ยตอบ



“แค่มาดูผลงานตัวเอง”



“ไอ้เลว”



“หึหึ ระวังจะเจ็บหนักกว่าเดิมนะ โอเซฮุน”



“คุณใช่มั้ย ที่วางแผนไว้” เซฮุนถามอย่างเดือดดาล เตรียมจะพุ่งเข้าหาร่างสูง ดีที่ลู่ฮานฉุดรั้งไว้เสียก่อน



“รู้ตัวช้าจริงๆ”



“ไอ้เลว ทำแบบนี้ต้องการอะไร”



“เซฮุน พอ พอ หยุดนะ” ลู่ฮานพยายามหยุดเซฮุน ในขณะที่เซฮุนกำลังเดือดดาล ว้าวุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง กระเสือกกระสนที่จะเข้าประทุษร้ายร่างสูง คริสเพียงแค่นั่งนิ่งๆ สงบเยือกเย็น ไม่ได้อยู่ในอารามตกใจเลยสักนิดที่มีคนจ้องจะทำร้าย



“เด็กจริงๆ”



“แล้วนี่จะมาทำไมอีก”



“มาดูผลงาน ก็บอกไปแล้วไง”



“แก!!”



“เซฮุนพอ!! บอกให้พอ อยากให้ชานยอลตื่นขึ้นมารึยังไง” เซฮุนสงบลงแม้จะไม่มากแต่ก็พอที่จะคุมสติตัวเองได้ ร่างสูงหัวเราะในลำคอน้อยๆ มองอาการอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เรื่องน่าขบขัน





เสียงเอะอะโวยวายของเซฮุนเมื่อครู่เข้ารบกวนการพักผ่อนของชานยอล ร่างโปร่งกระพริบตาถี่ๆสองสามที ก่อนจะกลอกตามองไปรอบๆห้อง เขาเบิกตาโพล่งทันทีเมื่อเห็นร่างสูงที่นั่งอยู่ที่โซฟาข้างเตียง คริสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเข้ามาใกล้เตียงคนไข้ ข้อนิ้วแกร่งไล้ไปตามผิวแก้มเนียน ชานยอลจับจ้องใบหน้านั้นค้าง ทั้งตกใจปนดีใจกับสัมผัสที่ได้รับ



“เป็นยังไงบ้าง”



“คุณคริส......”



“ฉันเอง คิดว่ากำลังฝันอยู่รึไงเด็กน้อย”ตากลมกระพริบถี่ๆ อึ้งกับสิ่งที่พบเจอ



“ผม ปวดหัว”



“งั้นก็พักซะ”



“เล่นละคร” เซฮุนพูดขึ้นมาเบาๆ เกรงใจชานยอล แต่มันก็ดังพอที่คริสจะได้ยิน เขาแค่เหลือบตาไปมองแต่ไม่ได้สนใจอะไรนัก ลู่ฮานบีบมือเซฮุนไม่ให้พูดอะไรมากกว่านี้ กลัวว่าหากคริสทนไม่ได้ร่างขาวนี่จะต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้าย





นิ้วแกร่งเกลี่ยปอยผมที่ปิดดวงหน้าชานยอล ก่อนจะค่อยๆไล้ไปตามผิวแก้มเนียนซ้ำไปซ้ำมา ร่างโปร่งค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ปากหนาจูบเบาๆที่จมูกรั้น และกลีบปากอิ่ม มือใหญ่อีกข้างลูบไล้ไปตามเรียวแขนอีกฝ่าย ตาคมกวาดตามองเรือนร่างชานยอล คิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นพ่นแดงๆขึ้นตามตัวร่างโปร่ง





“ทำไมแดงทั้งตัว” ชานยอลเพียงแค่ส่ายหน้าไปมา คริสดูจะหัวเสียเล็กน้อย แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขาก็กลับมาเป็นคุณคริสใจดีของชานยอลดังเดิม



“นอนพักซะ “ คริสเอ่ย ปากหนายังคงคลอเคลียอยู่ที่กลีบปากอิ่ม ไม่นานนักคนป่วยก็ค่อยๆเข้าสู่นิทรา คริสละออกมา ยืนดูชานยอลสักพัก เซฮุนที่เฝ้ามองทุกการกระทำของร่างสูงเอ่ยขัดขึ้น ดึงความสนใจจากคริส



“เมื่อกี้คุณทำอะไร จะเล่นละครทำไม” ร่างสูงเหยียดยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบ



“ก็แค่ทำให้ตายใจ จะให้โหดอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่ใช่เรื่อง มนุษย์ชอบนักไม่ใช่หรอที่จะอยู่ในฝันที่หอมหวาน ฉันก็ทำให้แล้วนี่ไง หึหึ” ไม่ทันที่เซฮุนจะทำอะไรได้มากกว่านั้น ร่างของคริสก็หายวับไป



“ลู่ฮาน! ทนอยู่กับคนแบบนี้ไปได้ยังไง” เซฮุนทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟาอย่างแรง



“เบาๆสิ เดี๋ยวชานยอลตื่น คริสก็เป็นแบบนี้ล่ะ ปล่อยไปเถอะ ” ร่างเล็กว่า ทั้งคู่ทะเลาะกันไปได้สักพัก ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตู แพทย์เจ้าของไข้เดินเข้ามาในห้อง เขาเป็นชายวัยกลางคน ท่าทางใจดี และเป็นมิตร คุณหมอหันมายิ้มและกล่าวทักทายเซฮุนกับลู่ฮานเล็กน้อยก่อนจะเดินไปตรวจอาการของชานยอล



“เป็นยังไงบ้างครับ” เซฮุนเอ่ยถาม



“ไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ อ้อ ลมพิษนี่ไม่ต้องตกใจนะครับ เป็นแค่อาการแพ้โปรตีนในเลือดที่ให้เท่านั้น หมอทำการรักษาให้ไปเมื่อเย็นแล้ว แต่ที่เห็นเป็นรอยอยู่ ไม่ต้องตกใจนะครับ อีกสั

http://0ctogus.forumth.com

2Part 13  light in the darkness Empty Re: Part 13 light in the darkness Fri Dec 14, 2012 1:36 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

“เบาๆสิ เดี๋ยวชานยอลตื่น คริสก็เป็นแบบนี้ล่ะ ปล่อยไปเถอะ ” ร่างเล็กว่า ทั้งคู่ทะเลาะกันไปได้สักพัก ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเปิดประตู แพทย์เจ้าของไข้เดินเข้ามาในห้อง เขาเป็นชายวัยกลางคน ท่าทางใจดี และเป็นมิตร คุณหมอหันมายิ้มและกล่าวทักทายเซฮุนกับลู่ฮานเล็กน้อยก่อนจะเดินไปตรวจอาการของชานยอล



“เป็นยังไงบ้างครับ” เซฮุนเอ่ยถาม



“ไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ อ้อ ลมพิษนี่ไม่ต้องตกใจนะครับ เป็นแค่อาการแพ้โปรตีนในเลือดที่ให้เท่านั้น หมอทำการรักษาให้ไปเมื่อเย็นแล้ว แต่ที่เห็นเป็นรอยอยู่ ไม่ต้องตกใจนะครับ อีกสักพักลมพิษก็จะหายไป” คุณหมอยิ้มให้อย่างใจดีก่อนจะเดินออกจากห้องไป



“แปลกเนอะ หมอมาพูดเรื่องลมพิษทั้งๆที่เรายังไม่ได้ถาม” เซฮุนหันมาพูดกับลู่ฮานที่เอาแต่นั่งนิ่ง



“เขาก็คงกลัวว่าเราจะตกใจมั้ง” ลู่ฮานเอ่ยตอบไปส่งๆไม่ได้ใส่ใจอะไร ในหัวของเขากำลังขบคิดเรื่องอื่นอยู่





ไม่ใช่การเล่นละครแน่นอน ตอนที่คริสหัวเสียเพราะเห็นลมพิษพวกนั้นไม่ใช่การเล่นละครแน่ ถึงแม้ก่อนหน้าหรือหลังจากนั้นจะเป็นแค่การเล่นละคร เอาใจชานยอลให้เขาหลงกล ตายใจไปกับความใจดีของคริส แต่ยกเว้นตอนพูดถึงลมพิษ ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอะไรบางอย่างในดวงตาคมนั่น แม้จะเป็นเพียงแวบเดียวเท่านั้นที่แสดงออกมา แต่ผมก็จับความรู้สึกนั่นได้ มนุษย์เรียกมันว่าอะไรนะ ความห่วงใยหรอ.....ใช่!!!......ผมสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่แวบเข้ามาในดวงตาของคริส


---------------------------------------------------------------------------

http://0ctogus.forumth.com

3Part 13  light in the darkness Empty Re: Part 13 light in the darkness Tue Dec 18, 2012 11:53 pm

plengklui



ถึงจะห่วงใยแต่ก็เกลียดมันอยู่ดีว่ะ อิพี่คริส ==^^^
พี่คริสเวอร์ชั่นนี้ไม่เวิร์กเลย ):
เอาแต่ใจ ไม่ชอบอะไรนิดหน่อยก็พาล *เพลีย*

ยอลโลกสวยไปป้ะ สงสารมันจริงจังนะเนี่ย T^T
ให้เทามาเป็นแวมไพร์ฝั่งโวลตูรี(ไปไกล ==) จัดการใช้กังฟูเตะพี่คริสเลย
คริสจับแต่อาเทาถีบ เอาไงๆ =3=++ *สนุกกับมโนที่สร้างขึ้น*

4Part 13  light in the darkness Empty Re: Part 13 light in the darkness Tue Mar 26, 2013 8:47 pm

pachaam_

pachaam_

ห่วงใยแค่นี้เองหรอ T _ T
เทียบกับที่ลดาเจ็บไม่ได้เลยสักนิด
ไคก็แหม่ มีคยองซูแล้วก็พอเหอะ
สงสารโด้มั่ง ; _ ;

https://twitter.com/_5Qwc

5Part 13  light in the darkness Empty Re: Part 13 light in the darkness Wed Apr 10, 2013 2:35 am

rquniqa



พี่คริสช่วยห่วงน้องยอลมากกว่านี้ได้ไหมค่ะ
พี่ไม่รู้เหรอว่าชานยอลเจ็บขนาดไหน
นี่ตรอมใจตายได้คงไม่รอดแล้ววว

6Part 13  light in the darkness Empty Re: Part 13 light in the darkness Wed Jun 26, 2013 10:55 pm

panaddaj



นี้เค้าห่วงใยแล้วเหรอ
มันดูน้อยนิดดีแท้

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ