ชานยอลนอนหลับใหลบนเตียงคนไข้นานกว่าหลายชั่วโมง กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ล่วงเข้าเวลาดึกแล้ว ห้องทั้งห้องมืดสลัว ไร้แสงจ้าจากหลอดไฟนีออน มีแต่ความสว่างเพียงเล็กน้อยจากโคมไฟเท่านั้น ไม่มีสุ่มเสียงใดๆเข้ามากระทบโสตนอกเสียจากเสียงลมหายใจเข้าออกของใครบางคนที่ไม่ใช่เขา ร่างโปร่งหันซ้ายแลขวามองหาร่างของเซฮุนและลู่ฮาน แล้วก็พบว่าพวกเขายังคงนั่งอยู่ที่โซฟาเหมือนเดิม เซฮุนหลับสนิทไปแล้ว ส่วนลู่ฮานกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ชานยอลขมวดคิ้วเล็กน้อยที่เห็นร่างเล็กนั่งอ่านหนังสือท่ามกลางแสงเล็กน้อยเท่านี้ได้ ด้วยเพราะจ้องจนนานเกินไป ลู่ฮานจึงเริ่มรู้สึกตัว เงยหน้า ละสายตาขึ้นมาจากตัวหนังสือ ก่อนจะหันไปสบตากลมโตที่มองมาทางเขา ร่างเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นความสงสัยเจือปนอยู่ในดวงตาคู่นั้น แต่ไม่นานก็เริ่มเข้าใจ เขายกแขนชูหนังสือในมือ เลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ร่างโปร่งพยักหน้าน้อยๆ ลู่ฮานหัวเราะให้กับความน่าเอ็นดูของร่างนี้ เพราะดูสดใส ร่าเริง และแสนซื่ออย่างนี้สินะ คริสถึงได้อยากได้นัก เขาคิดในใจ ก่อนจะเอ่ยตอบทำลายความแคลงใจของชานยอล ร่างเล็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ อธิบายว่าแวมไพร์ก็เหมือนสัตว์ตอนกลางคืน สายตาเราจะดีในเวลากลางคืน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะอ่านหนังสือท่ามกลางความมืดได้ ชานยอลพยักหน้าตอบ ดวงตากลมโตเริ่มเจือไปด้วยความสดชื่น มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง ลู่ฮานเอ่ยถามถึงอาการ ความรู้สึกตอนนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผู้ถูกถามเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเหมือนเดิม แต่ประโยคที่พูดก็เริ่มยาวขึ้น ไม่สั้นเพียงวลีเหมือนเมื่อบ่าย อาการชานยอลเริ่มดีขึ้น ไม่ปวดหัว อ่อนเพลียมากเท่าเมื่อบ่าย หากแต่ยังรู้สึกมีไข้ขึ้นอยู่ เขายิ้มเล็กน้อยเมื่อพูดจบ มาถึงตอนนี้ลู่ฮานก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงทำให้คริสเป็นมากถึงขนาดนั้น เพราะรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ นิสัยที่ใสซื่อ ไม่มีพิษมีภัยนี่สินะ ที่ส่งผลและมีอิทธิพลไปถึงจิตใจของลูกพี่ลูกน้องของเขา คริสต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของคนคนนี้ เป็นเจ้าของมันแต่เพียงผู้เดียว และร่างนั้นจะต้องจงรักภักดีต่อเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นด้วย ลู่ฮานสัมผัสได้ถึงอารมณ์ปั่นป่วนในตัวของคริส ราวกับพายุหลายลูกที่พัดโหม ปะทะเข้าใส่กัน มันยากที่จะแยกแยะ และชี้ขาดในแต่ละอารมณ์ออกจากกัน เขาตอบไม่ได้ว่าภายในจิตใจของคริสมีคำว่า ”รัก”ให้ชานยอลบ้างมั้ย มันเป็นเรื่องที่ยากจะหยั่งถึง จิตใจของคริสก็เหมือนกับห้องที่ถูกล็อกแน่นหนา ยากที่ใครจะเข้าไปได้
ลู่ฮานปล่อยให้ความคิดต่างๆไหลเข้ามาในหัวอยู่อย่างนั้น จนลืมไปว่าตัวเองกำลังพูดคุยอยู่กับชานยอล หันไปอีกทีร่างโปร่งก็ผล็อยหลับไปแล้ว มือเล็กยกหนังสือขึ้นมาอ่านอีกครั้ง จมอยู่กับโลกตัวหนังสือได้ไม่นานสติของเขาก็ถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริง ตากวางเหลือบไปยังมุมหนึ่งของห้อง แต่ไม่ได้คิดจะหันไปหามัน นิ้วเล็กยังคงไล่ตัวหนังสือไปตามแต่ละบรรทัด เขารอให้บางอย่างปรากฎกายจากมุมห้อง แต่รอไปได้ราวห้านาที เขาก็อดทนต่อไปไม่ไหว
“จะหลบอีกนานมั้ย ชานยอลหลับไปแล้ว” ร่างร่างหนึ่งค่อยๆปรากฎกายออกมา เขายกยิ้มที่มุมปากตามแบบฉบับของตัวเอง ย่างก้าวเดินช้าๆ อย่างระมัดระวัง กลัวว่าคนบนเตียงจะตื่นขึ้นมาพบเขาเข้าเสียก่อน ขายาวพาร่างตัวเองไปยังโซฟาข้างเตียง ทรุดตัวนั่งลง เหยียดขาตัวเองไปตามพื้น สองแขนยกขึ้นกดอก ก่อนจะหันไปมองยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง
“ไค หน้าไปโดนไรมา” ลู่ฮานเอ่ยถามเสียงเบา
“ จะอะไรซะอีกล่ะ โดนอาละวาด” ไคตอบน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้แฝงความเครียด หรือวิตกใดๆ
“หนักมั้ย”
“เคยมีครั้งไหนไม่หนักด้วยหรอพี่”
“เฮ้อ คิดแล้วก็สงสารชานยอล ต้องมาเจออะไรแบบนี้”
“มาถึงตอนนี้ก็แก้อะไรไม่ทันแล้วล่ะ แล้วพี่เค้าเป็นไงมั่ง”
“ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว เมื่อเย็นคริสมาหาด้วย”
“มาอาละวาดรึเปล่า”
“ไม่ แค่มาเล่นละคร แต่แวบหนึ่งฉันรู้สึกว่าคริสห่วงชานยอลขึ้นมาบ้าง นิดนึง”
“ก็ดี แต่อย่ารู้ตัวช้าเกินไปนักล่ะ” ไคเอ่ยออกมาลอยๆ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก ทั้งสองเพียงแค่นั่งเงียบๆในที่ของตัวเอง ลู่ฮานหันกลับไปสนใจตัวหนังสือต่อ ส่วนไคก็นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ทั้งสองปล่อยให้ความเงียบพัดผ่านพวกเขาออยู่อย่างนั้น โดยไม่มีท่าทีว่าจะใส่ใจ อึดอัด หรือแม้แต่จะฟันฝ่ามันออกไป พวกเขาเพียงแค่นั่งนิ่งๆอยู่กับตัวเองเท่านั้น ไคคิดทบทวนถึงเรื่องราวต่างๆที่ชานยอลพบเจอ ทีแรกเขาแค่กังวลว่าเซฮุนกับชานยอลอาจโชคร้ายพลัดหลงเข้าไปในบ้านของคริส แต่ก็ยังคิดหาคำพูดมาขจัดความคิดเหล่านั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเดินหลงเข้าไปในบ้านคริส เพราะพื้นป่าก็ตั้งกว้างใหญ่ มีทางที่เดินได้ตั้งมากมาย ซ้ำร้ายที่ทางแถวคฤหาสถ์ก็เป็นพื้นที่ห้ามเข้า สองคนนั้นคงไม่ทะเล่อทะล่าเข้าไปหรอก แต่ดูเหมือนว่าความกังวลของเขาจะกลายเป็นจริง เมื่อเขากลับไปที่คฤหาสถ์ ก็ได้ทราบข่าวของทั้งสองจากคยองซู อึ้งอยู่หรอกที่เรื่องทั้งหมดดำเนินเดินไปในทางที่ผิดเพี้ยน หากแต่เขาก็ไม่ได้มีอำนาจพอจะเข้าไปขัดขวาง หรือยับยั้งทั้งสอง เพราะเขามีศักดิ์น้อยกว่าคนทั้งคู่ ถ้าจะเรียงตามอายุแล้ว เขาก็เด็กที่สุดในกลุ่ม อีกอย่าง สังคมของแวมไพร์มักให้ความสำคัญกับผู้ที่แก่ที่สุด หรือผู้นำของกลุ่ม ซึ่งคริสมีคุณสมบัติครบทั้งสองประการ จะว่าไปพวกเขาก็อยู่รูปแบบที่มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากสังคมของสัตว์ ที่มักจะเชื่อฟัง และอยู่ในการควบคุมของจ่าฝูง เมื่อตัวไหนทำผิด หรือฝ่าฝืนกฎระเบียบ มารยาททางสังคม หรือต่อต้านผู้นำ ก็จะโดนทำร้าย บางครั้งก็ถึงขั้นเลือดตกยางออก แต่ในสังคมของแวมไพร์อาจจะดีหรือเลวร้ายกว่านั้น การลงโทษ หรือจัดระเบียบสังคมเป็นไปอย่างละมุนละม่อม ไม่ได้เอะอะก็ใช้กำลัง หากแต่เมื่อไรที่ฝ่าฝืนแม้เพียงครั้งแรกก็จะโดนลงโทษให้หลาบจำ หลังจากนั้นก็จบ ไม่ได้มาสานต่อความเครียดแค้นกัน (หรืออย่างน้อยเขาก็เชื่อว่าไม่มีกรณีแบบนั้น)
แวบความคิดต่อมาของไค เขากำลังจินตนาการถึงตอนที่ชานยอลรู้ว่าเขา รุ่นน้องกลุ่มเดียวกันที่คบกันมา3ปี ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เรื่อยมาจนเข้ามหาลัยฯ เป็นแวมไพร์ รุ่นพี่ของเขาจะว่าอย่างไร จะตกใจ จะโกรธ ผิดหวัง เสียใจ หรือความรู้สึกอื่น เขามิอาจคาดเดาได้ ถึงแม้ว่าชานยอลจะไม่ใช่คนเดายาก แต่สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไร มันไม่ใช่เรื่องปกติสามัญธรรมดาที่มนุษย์จะพบเจอ ไคปล่อยความคิดของตัวเองให้เลื่อนลอยออกไปอีกนิด เขาคิดถึงเหตุผลที่จะมาใช้บอกกับชานยอลถึงสาเหตุที่เขาไม่ยอมบอกความจริงกับชานยอลตั้งแต่แรก คิดไปคิดมาจนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามเช้ามืด ร่างเข้มหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ช่องว่างเล็กๆระหว่างผ้าม่านสองด้าน ทำให้มองเห็นภาพด้านนอกห้อง แม้ท้องฟ้ายังมืดสนิทไร้แสงสว่างจากพระอาทิตย์ แต่สำหรับแวมไพร์แล้วพวกเขารับรู้ถึงรุ่งอรุณได้ไวกว่ามนุษย์มากนัก ไคยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เขาก้าวเท้าไปหาลู่ฮานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เอ่ยลาเล็กๆน้อยๆพอเป็นพิธีก่อนจะค่อยๆเดินออกจากห้องไป ลู่ฮานนึกแปลกใจที่ไคไม่หายวับไปวับมา อย่างที่เขาชอบทำอยู่บ่อยครั้ง ร่างเล็กนึกทึกทักเอาเองว่าอาจเพราะรุ่นน้องของเขาเหนื่อยล้ามามากกับวันนี้จึงไม่มีแรงพอที่จะทำอย่างเดิม
แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณค่อยๆขจัดความมืดมิดให้มลายหายไป ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีออกส้ม เหล่าฝูงนกทยอยกันบินออกจากรัง เริ่มหากินในวันใหม่ แสงจากเสาไฟตามถนนเริ่มดับไปด้วยตัวของมันเอง พื้นท้องถนนเริ่มมีรถยนตร์ขับเคลื่อน มันแล่นชิ่วๆ ว่องไว หากมองจากตึกสูง ดูเหมือนเหล่ามดตัวจ้อยที่กำลังวิ่งกันอยู่ตามทางเดินที่ถูกใครสักคนทำทางเอาไว้ มนุษย์ทำงานจำนวนมากมายที่กลัวรถติด ต่างพากันออกไปทำงานในเวลาเช้ามืด บ้างกระตือรือร้น บ้างง่วงหนาวหาวนอน ทำตัวเอื่อยเฉื่อย ไร้ชีวิตชีวา แม้จะบกพร่อง แตกต่าง แต่ทุกอย่างก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ร่วมกับขับเคลื่อนให้กิจวัตรวันหนึ่งผ่านพ้นไปด้วยดี
ร่างโปร่งค่อยๆปรือตาตื่นขึ้นมา เขากระพริบตาถี่ๆ กลอกตามองหาเซฮุนและลู่ฮาน ลู่ฮานยิ้มบางๆให้เขา ก่อนจะเดินไปหาร่างข้างเตียง
“ตื่นแล้วหรอ เป็นไงบ้าง”
“น้ำ ผมหิวน้ำ” ชานยอลเอ่ย น้ำเสียงดูดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก ลู่ฮานยื่นแก้วน้ำให้ ก่อนจะช่วยพยุงร่างนั้นให้ดื่มได้สะดวก
หลังจากนั้นไม่นานพยาบาลก็เข้ามา เธอบอกว่าอาการชานยอลดีขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ แต่ก็ยังไม่น่าไว้ใจมากนัก ท่าทีดีควรจะรักษาให้หายขาดไปเลยจะดีกว่า ชานยอลดูมีสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อยเมื่อได้ฟังคำพูดนั้น ลู่ฮานยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู ผลของการแอบอ่านใจทำให้เขารู้ว่าชานยอลไม่ชอบการอยู่โรงพยาบาล และเรื่องน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งคือ ดูเหมือนว่าจิตใต้สำนึกลึกๆร่ำร้องว่าอยากกลับไปหาคริสด้วยซ้ำ ร่างเล็กนึกแปลกใจไม่น้อยที่จิตของชานยอลรู้สึกอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ตระหนักมากเสียจนทำอะไรไม่ถูก ลู่ฮานเรียกสติให้กลับคืนมา เขานั่งนิ่งฟังพยาบาลอธิบายต่อไป เธออธิบายถึงสภาพอาการชานยอลด้วยเสียงเนิบนาบที่ชวนให้ล้มตัวลงนอนฟัง ร่างโปร่งเบ้ปากนิดๆ เขาเบื่อที่จะต้องมานั่งฟังข้อมูลวิทยาศาสตร์ที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายนี่ ดูเหมือนว่าพยาบาลจะรู้ตัว เธอเว้นจังหวะพูดไปนิดนึง บังเกิดช่องว่างระหว่างเสียง ทำให้ลู่ฮานและชานยอลสังเกตุความผิดปกติ ทั้งสองหันหน้ากลับมาฟังดังเดิม แล้วเธอจึงร่ายต่อ เธอบอกว่าอาการชานยอลจะดีขึ้นภายในสามสี่วัน แล้วคงจะออกจากโรงพยาบาลได้ในวันอาทิตย์นี้ ลู่ฮานนึกรำคาญเล็กน้อยที่พยาบาลมาพูดถ้อยคำที่หมอควรจะพูด แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากมาย บางทีเธออาจเป็นพวกที่พลาดจากการสอบแพทย์เลยมาเป็นพยาบาลแทน แล้วพอได้เป็นอาชีพนี้ก็เริ่มเอาวิญญาณแพทย์มาเข้าสิงตัวเอง ดูไปดูมามนุษย์บนโลกก็น่าขันไม่น้อย
พยาบาลเดินไปดูที่ขวดน้ำเกลือ เคาะๆเล็กน้อย ซึ่งลู่ฮานกับชานยอลไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม เสร็จเธอก็เดินมาบอกว่าอีกสักพักอาหารจะมาเสิร์ฟ แล้วเธอก็เดินออกไป แล้วไม่นานอาหารก็ถูกยกขึ้นมา แค่ได้กลิ่นร่างเล็กก็ย่นจมูกแล้ว รู้เลยว่ามื้อนี้ชานยอลต้องไม่ชอบแน่ ข้าวต้มถูกวางมาข้างหน้าร่างโปร่ง ตามด้วยปลาแห้ง ชานยอลมองพินิจพิจารณามันอย่างชั่งใจ ทำได้เพียงไม่นานเขาก็ถูกพยาบาลตักป้อนเข้าปาก ร่างเล็กกรอกตาไปมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร ดูก็รู้ว่าพยาบาลคนนี้แอบคิดอะไรนอกเหนือจากหน้าที่
“เดี๋ยวผมป้อนเองก็ได้ครับ” ลู่ฮานเอ่ยขัด
“แต่ว่าคนไข้”
“อ้อ แล้วก็ยาตัวไหนกินตอนไหนยังไงบ้างครับ” ร่างเล็กเอ่ยตัดบท พอพยาบาลเอ่ยจบเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง แสร้งขอช้อนเอาไปตักป้อนเอง หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก สีหน้าเธอดูผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็เก็บอาการไม่แสดงออกมามากนัก เธอเอ่ยบอกกำชับเรื่องกินยาตามแพทย์สั่ง เสร็จแล้วเธอก็จำยอมเดินออกไป ลู่ฮานสะบัดสายตามองไล่หลังส่ง -นี่ถ้าคริสมาเห็น คงเป็นเรื่อง- ลู่ฮานคิดในใจ
มื้อเช้าเป็นไปอย่างราบเรียบ ชานยอลไม่ได้พูดอะไร เช่นเดียวกับเขาที่ทำหน้าที่ป้อนไปเฉยๆไม่ได้ชวนคุย หรือจุดประเด็นเรื่องอื่น พอทานไปได้เกือบหมด เซฮุนจึงตื่นขึ้นมา เมื่อร่างขาวเห็นว่าพี่ชายตัวเองตื่นแล้ว เขาก็เดินกระหย่องกระแหย่ง ผิดท่าทางธรรมชาติ มาหาชานยอล ร่างโปร่งพยายามโบกไม้โบกมือห้าม แต่ก็ดูจะไร้ผล เซฮุนไม่คิดจะสนใจแผลที่ยังไม่หายสนิทของตัวเอง สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือรุ่นพี่ของเขา ถึงยามปกติจะชอบทะเลาะ กวนประสาทใส่กัน แต่ยังไงชานยอลก็คือรุ่นพี่ที่เขารักและห่วงใยคนหนึ่งอยู่ดี ร่างขาวพ่นคำถามออกมามากมาย ทุกคำถามล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับอาการของชานยอลทั้งสิ้น ร่างโปร่งจ้องรุ่นน้องนิ่ง ปากอิ่มเผยอออกน้อยๆ กำลังอึ้งอยู่กับคำถามมากมายที่เซฮุนถาม เมื่อร่างขาวไม่ได้คำตอบ คิ้วหนาก็ขมวดเข้าหากัน จ้องรุ่นพี่ตัวเองอย่างสงสัย ไม่นานนักเขาก็หันไปถามลู่ฮาน ว่าชานยอลได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองรึเปล่า ถึงได้ไม่ตอบคำถามเขาอย่างนี้ ทั้งสองถึงกับหัวเราะ ลู่ฮานระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ ส่วนชานยอลยิ้มน้อยๆเพราะยังอ่อนเพลียอยู่ นั่นยิ่งทำให้เซฮุนรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ร่างขาวบ่นกระปอดกระแปดว่าตัวเองถามอะไรผิด ก็เห็นชานยอลไม่ตอบอะไรเขาสักอย่าง ร่างเล็กจึงต้องเฉลยความจริงว่าร่างโปร่งคงกำลังอึ้งที่เจอคำถามมากเกินไป เซฮุนหันหน้าไปหาชานยอล เป็นเชิงถามว่าจริงมั้ย ร่างโปร่งพยักหน้าน้อยๆก่อนจะยิ้มตอบ ร่างขาวกลอกตาไปมา ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดว่าเขาแค่ถามมากไป ทำไมจะต้องหัวเราะกันด้วย ลู่ฮานนึกอยากจะหาอะไรมาเคาะหัวเด็กคนนี้จริงๆ ติดตรงที่ชานยอลอยู่ด้วยนี่สิ ความคิดนี้เลยเป็นอันต้องล้มเลิกไป
หลังจากร่างโปร่งทานอาหารเสร็จ ก็ทานยาต่อ ทีแรกก็ไม่ยอมกินอยู่หรอก แต่เพราะเซฮุนและลู่ฮานหว่านล้อม รบเร้าสารพัดจึงจำใจยอม ชานยอลเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อลิ้นรับรสขมของยา แต่ก็ยอมกลืนมันลงคอชานยอลเหมือนเด็กดื้อที่ต้องการเอาใจใส่ แต่บางทีก็เข้มแข็งเกินกว่าคนวัยเดียวกัน ลู่ฮานนึกนับถือคนตรงหน้า แม้จะโดนทำร้ายมากแค่ไหน แต่ร่างนี้ก็ยังอดทน รับอยู่กับสภาพที่น่าอดสูนั่น หากเป็นเขา เขาคงจะหนีหรือเสียสติไปแล้วแน่ๆ นับว่าชานยอลเข้มแข็งมากที่เดียว แต่ความเข้มแข็งนี้จะคงอยู่ได้อีกนานสักแค่ไหนกันเชียว ในเมื่อมันถูกการกระทำและถ้อยคำเข้าเสียดแทง กัดกร่อนอยู่ทุกวี่วัน ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเสื่อมสลายไป แล้ววันนั้นชานยอล ยังคงเป็นปาร์คชานยอลที่ร่าเริง สดใส อย่างนี้อยู่อีกหรือไม่ เขาไม่รู้เลย......
มื้อเช้าผ่านไปด้วยดี อาจจะมีตะกุกตะกักบ้างเล็กน้อย ตอนชานยอลไม่ยอมทานยา แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรมากมาย พอได้ยาไปสักพัก ร่างโปร่งก็นอนหลับต่อ เซฮุนมองร่างนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งห่วง ทั้งสงสาร บางครั้งเขาก็มีความคิดอยากจะพาชานยอลหนีไปจากปีศาจนั่นให้พ้นๆ แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงจินตนการเพ้อฝัน เขาจึงล้มเลิกไป หลังจากนั้นเซฮุนก็ปล่อยให้ความคิดต่างนานาไหลเข้ามาในหัวของเขา แวบความคิดเรื่องไคเข้ามาทักทายเซลล์สมองของเขา ยอมรับว่าทีแรกเขานึกโกรธ โมโหไอ้เจ้าเพื่อนคนนี้อยู่เหมือนกัน แต่พอไคพูดเรียกสติครั้งนั้นมันก็ทำให้เขาเย็นลง เบี่ยงเบนความสนใจไปที่ชานยอลแทน ส่วนเรื่องไคเขาก็ไม่ได้หายโกรธสักทีเดียว เพียงแค่ขอพักยกสักนิด ได้โอกาสเมื่อไรก็ค่อยตะบันหน้าไคไปสักสองสามที ร่างขาวยกยิ้ม ชูกำปั้นขึ้นมา นึกจินตนาการตอนที่ได้ต่อยหน้าไอ้เพื่อนตัวแสบ แต่เขาก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงลู่ฮานดังปลุกออกจากโลกส่วนตัว
“คิดไรพิเรนนะเซฮุน”
“เฮ้ ใครใช้ให้อ่านใจผม หยุดเลย”
“ก็บอกแล้วว่าอย่าจิตอ่อน แล้วนี่ยังไม่เลิกโกรธไคหรอ”
“ไม่มีทางเลิก เพื่อนกันทำไมมีไรไม่บอกกัน ทำงี้ทำเหมือนเราไม่ใช่เพื่อนกัน” ลู่ฮานเอาหนังสือตีหัวเซฮุนไปหนึ่งที ส่งผลให้ร่างนั้นร้องอวดครวญทันที
“ตีไมเนี่ย”
“ใครเขาจะกล้าบอกว่าตัวเองเป็น ห๊ะ เลิกโกรธไคเถอะ หมอนั่นก็คงไม่อยากปิดหรอก” เซฮุนเบ้ปาก ทำปากขมุบขมิบล้อเลียนลู่ฮาน ร่างเล็กชี้นิ้วคาดโทษ
“เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย”
“ชอบขู่อยู่เรื่อย แล้วนี่ไอ้ไคไม่มาเยี่ยมพี่เอ๋อรึไง”
“มา เฉพาะแค่กลางคืน กลัวมาตอนกลางวันแล้วชานยอลมาเจอ เดี๋ยวต้องมาเครียดกับเรื่องมันอีก”
“คนดีเหมือนกันนะเนี่ย” เซฮุนพยักหน้าหงึกหงัก
“ไม่เหมือนนายหรอก จ้องแต่จะหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว เตือนไรอย่างนะเซฮุน ถ้าคริสเกิดหาเรื่องนายขึ้นมา ใช่ว่าฉันเองจะช่วยได้นะ พูดไรระวังๆหน่อย” ร่างขาวกลอกตาไปมา เบ้ปาก อย่างไม่สบอารมณ์ ลู่ฮานส่ายหัวไปมาอย่างระอาในความดื้อด้านของเด็กหนุ่ม ร่างเล็กเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ บางทีการเงียบก็เป็นเครื่องมือในการสอนคนที่ดีอยู่เหมือนกัน แล้วคราวนี้มันก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว เมื่อลู่ฮานนิ่งเงียบไปสักพัก เซฮุนก็ใจเย็นลง เอ่ยบอกว่าจะไม่ใจร้อน ทำอะไรไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆแต่ก็แฝงความรั้นๆไว้นิดหน่อย ร่างเล็กยกยิ้มให้กับท่าทางนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจจะชมเชย
“เออ แล้วรอยที่มือผมหายไปไหน” เซฮุนร้องถาม เมื่อเขาไม่เห็นรอยสัญลักษณ์ที่มือ
“มันจะเด่นชัดต่อเมื่อฉันสัมผัสตัวนายเท่านั้น ไม่สังเกตุรึไง ของชานยอลนายก็ไม่เห็น จะเห็นก็ต่อเมื่อคริสมาแตะนั่นแหละ” ร่างขาวพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ ลู่ฮานไม่ตอบอะไรต่อ หยิบมือถือขึ้นมานั่งเล่นแทนการกลับไปอ่านหนังสือ เซฮุนมองด้วยความสงสัย......มือถือเนี่ยนะ
ร่างขาวฉวยเอามือถือไปไว้ในมือ หันไปมองลู่ฮานเป็นเชิงถามว่าทำไมถึงมีได้ เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขาก็ไม่เคยเห็นร่างเล็กมีมันเลย แล้วเขาก็ไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะจำเป็นสำหรับลู่ฮาน คนที่อาศัยอยู่กลางป่าตัดขาดจากโลกภายนอกแบบนั้น
“เฮ้ออออ ถ้าบอกแล้วห้ามบอกชานยอลนะ ไม่งั้นคริสอาจอาละวาด พวกเรามีมือถือ มีทุกๆอย่างที่มนุษย์มี นายไม่สังเกตุบ้างหรอ ว่าทำไมกลางป่าแบบนั้นถึงมีไฟฟ้าได้ แล้วพวกเราจะอยู่โดยตัดขาดจากโลกภายนอกจริงๆน่ะหรอ ทำไม่ได้หรอก โลกมันเปลี่ยนไป แล้วพวกเราก็ไม่อยากจะนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ เราก้าวทันตามโลก ปรับตัวให้หมุนไปตามโลก แต่ก็ไม่ให้เสียความเป็นตัวตนของเรา แล้วที่ฉันไม่ได้บอกนายเพราะ........คริสสั่งห้ามทุกคนในบ้านว่าห้ามบอกพวกนาย คริสกลัวว่าชานยอลจะแอบใช้แล้วโทรขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก โกรธรึเปล่า” เซฮุนนิ่งเงียบไป เขาไม่ได้รู้สึกโกรธลู่ฮานแต่เขากำลังโกรธคริสและสงสารชานยอลขึ้นมาจับใจ ร่างขาวพ่นลมหายใจออกมา จับจ้องอากาศเขม็ง ในหัวก็นึกหน้าคริส
“ไอ้เลว พี่ชานยอลจะเลิกรักแกเข้าสักวัน!!!”
“อย่าโมโหเลยเซฮุน” ลู่ฮานกอดอีกฝ่าย เซฮุนจึงค่อยๆเย็นลงจนความโกรธสลายตัวหายไป มือใหญ่ลูบศีรษะเล็กเบาๆอย่างถนุถนอม อยู่ในท่าทางนั้นอยู่นาน จนลู่ฮานที่เริ่มง่วงเอ่ยขอพักหลับเสียก่อน ร่างขาวทำท่าตบเบาๆที่ตัก เป็นเชิงบอกให้ลู่ฮานนอนหนุนตักเขา ร่างเล็กหัวเราะเบาๆก่อนจะล้มตัวลงนอน ไม่นานนักทั้งเขาทั้งเซฮุนก็เข้าสู่ห้วงนิทรา
เวลาผ่านไปนานเนิ่น กินเวลาได้ราวๆสักสองสามชั่วโมง แสงแดดยามสายค่อยๆอาบไล้กรุงโซลให้ดูร้อนแรง เมืองทั้งเมืองดูราวกับกระหายความรู้สึกสดชื่น เร่าร้อน กระตือรือร้นที่จะขับเคลื่อนกิจวัตรต่างๆต่อไปเรื่อยๆให้ผ่านพ้นหนึ่งวัน ท้องถนนแม้ไม่ได้คราคร่ำไปด้วยรถยนตร์ แต่ก็พอมีให้ได้เห็นบ้าง ผู้คนตามท้องถนนดูบางตาลงไปหากเทียบกับเวลาเร่งด่วนยามเช้าหรือเวลาสร้างสรรค์ยามค่ำคืน เพราะคนส่วนใหญ่มักเป็นมนุษย์ทำงาน หรือเด็กนักเรียนที่กำลังทำหน้าที่ตัวเองอย่างเต็มกำลัง(ในกรณีหลังอาจจะไม่ค่อยเต็มกำลังเท่าไรนัก)ในตึกออฟฟิส ในโรงเรียน ส่วนอาชีพอื่นๆก็ต่างทำหน้าที่ตามแต่ที่ตนต้องรับผิดชอบ บ้างตั้งใจทำมันด้วยความรัก บ้างแค่ขอทำให้จบๆสิ้นไปให้พ้นๆหนึ่งวัน อย่างไรก็ตาม เหล่ามนุษย์ทำงาน นักเรียน พ่อค้าแม่ค้า หรืออาชีพอื่นๆที่สุจริตตามแต่ที่สังคมจะมี พวกเขาล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนทั้งสังคม แม้แต่ละคนอาจจะมีหน้าที่เพียงเล็กน้อย ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร หรือมีอิทธิพลทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่พวกเขาก็คือส่วนประกอบขององค์ประกอบใหญ่ เมื่อรวมกันพวกเขาก็อาจจะมีอำนาจมากกว่ารัฐมนตรีบางคน หรืออาจจะนักธุรกิจบ้าเลือดคนหนึ่งก็เป็นได้ เราคงเห็นตัวอย่างนี้ได้ไม่ยาก จากข่าวการประท้วงรัฐมนตรี หรือนายจ้าง (หรืออาชีพอื่นๆอีกที่เราสามารถประท้วงได้) บ้างก็หาสาระได้ บ้างก็ไม่รู้ว่าจะประท้วงไปทำไม ในเมื่อผลก็ไม่ได้ดีไปจากเดิมสักเท่าไร ข่าวทำนองนี้ก็มีให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้งตามสื่อ ไม่ว่าจะทีวี หนังสือพิมพ์ หรืออื่นๆอีกจิปาถะ จะอย่างไรก็ตามเรื่องทั้งหมดก็คือส่วนหนึ่งของสังคม มันก็ล้วนแล้วแต่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ความสมดุลทั้งนั้น
แม้บรรยากาศภายนอกจะกระตือรือร้นสักเพียงไหน แต่มันก็ไม่ได้แทรกซึมเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยของชานยอล อาจจะเพราะเกราะแห่งห้วงนิทราของทั้งสามช่วยปกป้องพวกเขาอยู่ก็เป็นได้ ทั้งสามกรีดกันตัวเองออกจากโลกของความเป็นจริง เขาซุกอิงแอบจิตใต้สำนึกและความรู้ตัวอยู่ในมุมหลืบไหนสักแห่งในห้วงนิทรา แม้ตอนนี้จะมีเสียงและกลิ่นไอขอใครบางคนเข้ามาในห้องแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ตัว ร่างนั้นค่อยๆนั่งลงที่โซฟาข้างเตียง มองร่างชานยอลด้วยแววตานิ่งสงบ เขากวาดสายตามองตั้งแต่ใบหน้า แขน ไล่ต่ำไปจรดเท้าที่โผล่พ้นผ้าห่มมาเล็กน้อย ลมพิษที่เคยทำให้ผิวเนียนด่างพร้อยค่อยๆเลือนลางหายไปแล้ว เหลือไว้แต่ผิวเนียนที่เขาชอบสัมผัส ชานยอลค่อยๆพลิกตัว นอนตะแคงหันหลังให้เขา ร่างนั้นลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ขาวยาวเดินเข้าใกล้เตียงผู้ป่วยอย่างไม่รีบร้อนอะไร เขาค่อยๆแตะสัมผัสแผ่นหลังชานยอลอย่างเบามือ ฉับพลันนั้นหลังเนียนที่เคยขาวใส ค่อยๆปรากฎรอยสัญลักษณ์มังกรขึ้นมา เช่นเดียวกับบริเวณสะโพก ที่โผล่พ้นชายเสื้อที่เลิกขึ้นมาเล็กน้อย ลวดลายมังกรค่อยๆเด่นชัดขึ้นเรื่อย ไม่นานนักมันก็สยายปีกเต็มแผ่นหลัง และสะโพก หากแต่ความเจ็บปวดไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ทำพันธสัญญา ชานยอลยังคงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ร่างนั้นมองดูสัญลักษณ์ที่ปรากฎ ก่อนจะยิ้มมุมปาก จากนั้นค่อยๆไล้นิ้วไปตามรอยบนสะโพก กลีบปากหนาจูบเบาที่รอยนั้นก่อนจะละออกมาอย่างอ่อยอิ่ง เขาเลื่อนใบหน้าขึ้นไปจูบหัวไหล่มนที่มีลวดลายเพียงบางส่วน หลังจากนั้นเขาก็ยืนมองดูชานยอลอยู่นิ่งๆ แววตายากที่จะอ่านอารมณ์ ยืนอยู่เพียงไม่นานนัก เขาก็ค่อยๆหายลับไป
หลังจากที่คริสออกไปได้สักพักลู่ฮานก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอจางๆของกุหลาบ ตากวางหันไปมองรอบๆห้อง แจกันข้างเตียงมีเพียงดอกเดซี่สีขาวสะอาด ไร้ร่องรอยของดอกกุหลาบ แล้วกลิ่นนี่มาจากไหนกัน.....
ร่างเล็กไม่ปล่อยให้ความแคลงใจเกาะกุมความอยากรู้ เขาขบคิดหาที่มาของกลิ่น สมองประมวลผลไปเรื่อยๆจนสะดุดกึกที่คริส แม้คริสจะไม่ได้ใช้น้ำหอม แต่ที่คฤหาสถ์มีกลิ่นกุหลาบแบบนี้อบอวลไปทั่ว ไม่แปลกที่ร่างสูงจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆของกุหลาบติดตัวมาด้วย ฉับพลันนั้นลู่ฮานก็เกิดคำถามในใจทันที คริสมาที่นี้หรอ คนอย่างคริสมาที่นี้.....ทำไมล่ะ
ร่างเล็กลุกขึ้นเดินไปหาร่างบนเตียง ชานยอลยังคงอยู่หลับอยู่ในห้วงนิทรา ไม่มีความผิดปกติใดๆ เขายืนมองสำรวจนิ่งก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
“คริสมา.....งั้นหรอ” เขาเอ่ยถามออกมาลอยๆ ไม่เจาะจงว่าต้องการคำตอบ ในใจลู่ฮานตอนนี้ทั้งแปลกใจและสงสัยว่าคริสมาทำไม.....
จะว่าห่วงหรอ อันนี้เขาก็ยังไม่มั่นใจสักเท่าไร แต่ที่แน่ๆคริสมาที่นี้จริง.......
นั่นเป็นครั้งล่าสุดที่ลู่ฮานรับรู้ถึงการมาของคริส หลังจากนั้นเขาก็สัมผัสอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเพราะตัวเขาสัมผัสไม่ได้เองหรือเพราะร่างสูงไม่ได้มาที่นี้จริงๆ
วันเวลาผ่านไป ล่วงเลยเข้าสู่วันที่สี่ที่ชานยอลพักอยู่ที่โรงพยาบาล อาการของร่างโปร่งดีขึ้นตามลำดับ เขาสามารถลุกขึ้นนั่ง เดินได้บ้าง ทานอาหารเองได้ แต่ลแพทย์ก็ยังไม่ไว้ใจ อยากจะให้หายสนิทเสียก่อนแล้วจึงจะให้กลับ ทีแรกชานยอลก็โวยวาย ขอร้องว่าอยากจะกลับบ้านแล้ว แต่ไม่ว่าเขาจะพูดหรือออดอ้อนเสียเท่าไร หมอก็ยังคงยืนยันคำเดิมอยู่ดี กลายเป็นว่าร่างโปร่งจำต้องใจทนอยู่ที่นี้ไปอีกสักพัก แม้กลางวันจะมีลู่อานและเซฮุนมาอยู่เป็นเพื่อน แต่เขาก็ยังรู้สึกเหงาอยู่ดี ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทราบต้นเหตุเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเป็นอย่างนั้น และทุกครั้งที่เขารู้สึกเหงา อึดอัดในใจ ภาพแรกที่ลอยเข้ามาในหัวก็คือร่างสูง......
เขาตอบไม่ได้ว่าทำไมความคิดของเขาถึงได้ไปหยุดกึกที่คนคนนี้แทบจะทุกครั้งไป มันน่าแปลกที่เขายังเอาแต่เฝ้าคิดถึงคริส ทั้งๆที่ไม่เจอหน้ากันมาสองวันแล้ว เขาควรจะดีใจไม่ใช่หรอ ที่ไม่มีคนมาทำร้ายจิตใจ ไม่มีคนมาพูดจาดูถูกถากถาง หรือทำอะไรให้ร่างกายเขาต้องบอบช้ำ เขาควรจะยิ้ม หัวเราะ ร่าเริง กลับมาสดใสอีกครั้ง แต่เปล่าเลย ทุกรอยยิ้ม ทุกคำพูด ทุกการกระทำ ของเขามันกลับแฝงไปด้วยความเหงา และความหวังว่าประตูนั่นจะถูกเปิดออกโดย......คริส
ตอนแรกผมก็แอบดีใจเล็กๆนะครับที่ผมไม่ได้เจอคุณคริส อย่างน้อยก็ไม่มีใครมาคอยทำร้ายจิตใจผมให้เจ็บซ้ำซาก เมื่อไม่เจอผมก็เริ่มมีอิสระในตัวเองมากขึ้น ผมกลับมายิ้มแย้ม ร่าเริง หัวเราะเฮฮา เป็นชานยอลคนบ้าเหมือนแต่ก่อน แต่ทุกรอยยิ้ม ทุกเสียงหัวเราะของผม มันกลับไม่บริสุทธิ์ เพราะมันถูกเจือปนไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง ซึ่งตอนแรกผมก็ยังไม่เข้าใจมัน ผมพยายามจะไม่ใส่ใจมัน ใช้ชีวิตทำตัวให้มีความสุขเหมือนเดิม อย่างน้อยก็ขอตักตวงอิสระที่มีในช่วงนี้สักหน่อย แต่พอนานวันเข้าความรู้สึกปริศนานั้นก็เริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ จนผมไม่สามารถละเลยมันได้อีก......
ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเป็นโรคเหงา เพราะเมื่อหลายวันมานี่ผมเอาแต่จดจ้องไปที่ประตู และแอบหวังลึกๆว่าขอให้เป็นคุณคริส แต่ผมก็ต้องผิดหวังทุกครั้งไปเพราะประตูนั้นไม่เคยถูกเปิดออกโดยใครคนนั้นเลย........
ราวกับลูกหมาตัวน้อยที่เอาแต่เฝ้ารอการมาเยือนของเจ้าของ
กี่วันแล้วนะที่เจ้าของคนนั้นไม่มาสนใจลูกหมาอย่างผมเลย
กี่วันแล้วนะที่ผมเอาแต่ชะเง้อมองหาเขา
กี่วันแล้วนะที่ต้องผิดหวังเมื่อเจ้าของไม่เคยกลับมา
ลู่ฮานกำลังนั่งมองชานยอลที่เอาแต่มองเหม่อ เขาจับจ้องดอกเดซี่สีขาวในแจกันมาเป็นเวลานานแล้ว นานจนควรจะหยุดแล้วกลับมาสนใจโลกปัจจุบัน ร่างเล็กร้องเรียกอีกฝ่าย ชานยอลหันมาหา ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างให้ ลู่ฮานมองเด็กคนนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย บางครั้งก็อยากจะพาร่างนี้หนีออกไป แต่บางครั้งก็อยากให้ร่างนี้ช่วยละลายน้ำแข็งในหัวใจของคริส ลูกพี่ลูกน้องของเขา ......เขาควรจะเลือกอย่างไหนดีนะ.....
ตลอดวันชานยอลก็ดูกระตือรือร้นดี มีบ้างที่เขาจะเหม่อลอยนึกถึงใครบางคน คนที่ลู่ฮานและเซฮุนก็รู้จักดี ทั้งคู่ไม่คิดจะร้องทักหรือเอ่ยห้ามอะไรชานยอล เผลอๆอาจคิดว่าการแตะต้องคริสถือเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ควรทำ เพราะมันอาจกระทบต่อจิตใจของชานยอล ลู่ฮานและเซฮุนอยากให้ร่างโปร่งได้มีความสุขบ้าง ได้อยู่อย่างอิสระเสรีบ้าง แม้ความรู้สึกเหล่านั้นจะผสมปนเปไปด้วยความเหงา แต่เขาก็ยังไม่อยากให้คริสมาหาชานยอล เพราะทั้งสองไม่ไว้ใจคนคนนี้ ไม่รู้ว่าถ้ามาแล้วจะมาดีหรือมาร้าย พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้ ดังนั้นทางที่ดีก็อย่าเจอเลยจะดีกว่า
ลู่ฮานค่อยๆดึงผ้าห่มคลุมตัวชานยอลที่กำลังนอนหลับปุ๋ยบนเตียง เซฮุนมองใบหน้ายามหลับของรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสงสารทั้งเป็นห่วง คนสดใสอย่างชานยอลไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้เลยจริงๆ
“ลู่ฮาน”
“หือ”
“ผมสงสารพี่ชานยอล”
“….......เราช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก”
“พาพี่เขาหนีไม่ได้หรอ ในเมื่อทำพันธะแล้วนี่ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้รึไง”
“อย่าแม้แต่จะคิดเซฮุน คริสไม่มีวันยอมให้ทำอย่างนั้นแน่”
“งี่เง่าชะมัด คนบ้าอะไรเผด็จการจริงๆ คนอย่างพี่ชานยอลไม่มีทางรักคนแบบนั้นจริงหรอก เชื่อผมมั้ย เดี๋ยวพี่เขาก็ต้องเลิกรักสักวัน”
“ปากเสียเสมอต้นเสมอปลายนะไอ้ฮุน อย่าคิดอะไรแทนพี่เขาดิวะ” เสียงบุคคลที่สามดังขึ้นด้านหลังเซฮุน เขาหันขวับหันไปมองยังแหล่งกำเนิดเสียง ขมวดคิ้วหมุ่น สงสัยว่าไอ้เจ้าเพื่อนเขาคนนี้จู่ๆก็โผล่มาได้ไงหนุ่มผิวเข้มค่อยๆทรุดตัวนั่งลงข้างๆเขาโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยอธิบายว่าตัวเองมาได้ยังไง
“มาได้ไงวะ”
“เฮ้อ นี่พี่ยังไม่บอกเซฮุนอีกหรอว่าพวกเราทำไรแบบนี้ได้”ไคหันไปถามลู่ฮาน
“แวมไพร์เคลื่อนไหวได้เร็วน่ะ เวลาจะไปไหนก็เลยว่องไวกว่าพวกมนุษย์เยอะ แต่ว่าจะทำมันก็ต้องใช้พลังงานเยอะหน่อยน่ะนะ”
“อ๋อ อ่าห่ะ” เซฮุนพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ ในหัวก็นั่งประมวลผลตามคำพูดร่างเล็ก
“พี่ชานยอลเป็นไงบ้าง”
“ร่างกายน่ะดี แต่จิตใจ.....ดูเหมือนจะยังคิดถึงคริสอยู่” ลู่ฮานเอ่ยตอบน้ำเสียงเบา
แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Fri Dec 14, 2012 1:40 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง