0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

5 elements part12

3 posters

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

15 elements part12 Empty 5 elements part12 Fri Jan 24, 2014 7:33 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

ในบรรดาสิ่งที่ผมฝึกมาทั้งหมด มนตร์เดินทางผ่านมิติเป็นอะไรที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับอะไรเลยสักอย่าง เพราะนอกจากมันจะไม่ได้เพ่งจิต ตั้งสมาธิ ควบคุมธาตุอะไรแล้ว มันยังไม่พึ่งคำศักดิ์สิทธิ์อะไรก็แล้วแต่ที่ในเลอร์วันน่าน่าจะมี แต่มันกลับเป็นมนตร์ที่ดูเรียบง่าย แต่ยากที่จะให้สำเร็จ
   


  หน้ากระดาษสีเหลืองซีด บอกผมว่าให้เตรียมอุปกรณ์ในการร่ายมนตร์ก็คือสมอง ใช่เลย สมอง สมองที่อยู่ในกะโหลกของเราเนี่ยแหละ เพราะว่าการร่ายมนตร์นี้ขึ้นอยู่กับสมองที่จดจำคำสั่งอัญเชิญกุญแจประตูมิติระหว่างสองโลกออกมา ซึ่งผมจะไม่อะไรเลยถ้าในหนังสือมันมีบอก แต่บังเอิญว่ามันไม่มีน่ะสิ! แถมยังบอกด้วยว่าถ้อยคำโบราณนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ควบคุมทั้งห้าธาตุจะต้องรู้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ! เหอะ! ใครมันจะไปรู้กัน!
 


  ผมไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมในหนังสือถึงเขียนอย่างนั้น ผมอ่านมันพอจะออก แต่ในหัวกลับไม่เห็นมีเค้าลางของถ้อยคำโบราณที่อัญเชิญกุญแจประตูมิติอะไรนั่นเลย หรือว่าผมยังไม่แข็งแกร่งพอ ไม่มีทางอะ! นี่ผมควบคุมได้ทั้งห้าธาตุพร้อมกันเลยนะ ทำไมถึงยังนึกคำอะไรพวกนั้นไม่ออกอีกล่ะ หรือว่า…..



“ไอ้หนังสือนี่มันจะมั่ว”ผมพูดขึ้นก่อนจะเหลือบตาไปถามซูนที่เกาะอยู่บนหลังตู้เสื้อผ้า

ไม่มีทาง! มันเป็นแก่นของความรู้ที่จริงที่สุดในเลอร์วันน่าแล้ว เจ้าโง่!

ผมเบ้ปากไม่สบอารมณ์ ถ้าเป็นแก่นความรู้จริง ทำไมถึงได้เขียนอะไรมั่วๆอย่างนี้ล่ะ!


“ไม่เห็นจะจริง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็ต้องทำได้ไปนานแล้ว แต่นี่!......ยังไม่มีอะไรกระเตื้องขึ้นเลย!!!”


ในหนังสือบอกเจ้าว่าอะไร


“มันบอกว่ามนตร์บทนี้อยู่ในความทรงจำของผมอยู่แล้ว ผมจะพูดคาถาโบราณออกมาได้จากจิตใต้สำนึกของผู้ควบคุมทั้งห้าธาตุได้เอง แต่นี่! ผมไม่เห็นจะนึกอะไรได้ออกเลย! ในหัวมีแต่คำว่า ไม่รู้ ไม่รู้ และไม่รู้!”ผมโวยวายก่อนจะนั่งชันเข่าขึ้นมาอย่างอารมณ์เสีย


อย่างนั้นรึ….เจ้ายังต้องขาดอะไรไปบางอย่างแน่ๆ ซูนพูดก่อนจะเริ่มคิดถึงสิ่งที่ผมยังขาด


“จะขาดอะไรล่ะ ควบคุมได้ทั้งห้าธาตุ ก็ควบคุมได้แล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรที่ต้องขาดเลย”ผมบอกก่อนจะเกยคางกับเข่าเอาไว้อย่างเซ็งๆ อุตส่าห์จะได้กลับทั้งทียังมีอันต้องได้อยู่นี่ต่อซะได้ คิดแล้วมันก็น่าหงุดหงิด


หนังสือไม่เคยโกหก เจ้าอาจยังขาดบางสิ่งบางอย่างไป  ซูนตอบผมด้วยเสียงเครียดผิดปกติ ดูท่าว่าคราวนี้ซูนก็ยังเครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย


“ถ้าอย่างนั้นแล้วขาดอะไรล่ะ”


นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง รีบหาวิธีกลับไปให้ได้ซะ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสาย ซูนพูดก่อนจะหันหลังให้ผมเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้


“นั่นจะทำอะไรน่ะ! อย่าบอกนะว่าจะหลับแล้วโยนขี้ให้ผมเนี่ย!”ผมยืนเท้าเอวชี้เจ้าไก่ย่างที่กำลังจะหลับ


ดูฟ้าซะ นี่มันกลางคืนแล้ว ข้าต้องพักผ่อน!!! ซูนตอบก่อนจะหลับตา แต่มีรึที่ผมจะยอม


“ตื่นขึ้นมาช่วยกันขึ้นเลยนะ ไอ้ไก่ย่าง!!”ผมตะโกนใส่เจ้าไกย่างดังลั่น


เอาเวลาทำเรื่องไร้สาระของเจ้า ไปหาทางออกซะดีกว่านะ ชานยอล


“ก็นี่ไง! เลยต้องให้ช่วย”


เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ เป็นคนทำให้ตัวเองกลับมาที่นี่เอง ก็ต้องทำให้ตัวเองกลับไปที่นั่นด้วยตัวของตัวเอง ! ซูนพูดก่อนจะนิ่งเงียบไป ไม่ยอมพูดอะไรต่ออีก ทิ้งให้ผมนั่งอยู่กับหนังสือที่ไร้ประโยชน์ และออบตินที่เบียดตัวมานอนในตักของผม


“ก็อยากจะได้คนสอนแก้ปมให้บ้างนี่”ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะเริ่มอ่านทวนทุกอย่างอีกรอบเผื่อว่าตัวเองจะอ่านอะไรตกหล่นไปรึเปล่า


    ผมอ่านมนตร์นั้นทวนอีกหลายรอบ พยายามคิดหาสิ่งที่ตัวเองขาดไปตั้งหลายครั้ง แต่ก็นึกคาถาโบราณนั่นไม่ออกสักที จนสุดท้ายเวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งค่อนคืน แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ เพราะความเครียดที่หาทางออกไม่เจอ


    ผมลืมตาที่แทบจะปิดของตัวเองขึ้นมาอ่านกระดาษที่ผมนั่งลิสมนตร์และการควบคุมทุกอย่างที่ผมพอจะทำเป็นขึ้นมา รวมๆแล้วผมก็ควบคุมได้ทั้งห้าธาตุ ถึงจะยังไม่เก่งเท่าไรก็เถอะ แต่แค่ขอแค่ห้าธาตุอย่างเดียวไม่ได้รึยังไงนะ หนังสือใจร้ายชะมัดเลย


“หาอะไรอยู่หรอ”ผมตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้ เมื่อจู่ๆก็ได้ยินเสียงใครก็ไม่รู้ดังขึ้นทั้งๆที่ในห้องมีผมตื่นอยู่แค่คนเดียว!!! ผมเหลือบตามองไปรอบๆห้อง มองหาต้นกำเนิดเสียง แต่ก็ไม่มีวี่แววของใครอยู่เลย หรือว่านี่ผมจะหูแว่วไปนะ ใช่ ต้องใช่แน่ๆ ผมคงแค่หูแว่วไป มันไม่มีอะไรอย่างที่คิดอย่างที่กลัวหรอก สบายใจได้


“ทำของหายไปไม่ใช่หรอ มาเอาสิ”จู่ๆเสียงนั้นก็ดังขึ้นทำลายความมั่นใจของผมทุกอย่างให้พังทลายและจบเห่ลงด้วยความกลัวที่มากจนถึงกับต้องเอาผ้าห่มคลุมตัว นะนะ นะ นี่มันเรื่องอะไรกัน สมัยนี้ยังมีเรื่องผีอยู่อีกหรอเนี่ย มันหมดยุคไปแล้วนะ!!!


“ทำไมถึงไม่ตอบ ตามหาของที่หายไปในมนตร์บทนั้นอยู่ไม่ใช่หรอ”ผมชะงักไปกับคำพูดของเสียงปริศนานั้น เขารู้เรื่องมนตร์นั้นหรอ…


“คุณ…คุณ…คุณรู้เรื่องมนตร์นั้นหรอ….คุณ  คุณ คุณเป็นใคร”ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆพร้อมกับมองซ้ายมองขวาหาต้นเสียง แต่ก็ไร้เงาของมนุษย์ในห้องผม


“เราคือเธอ เธอคือเรา ราชันย์แห่งไฟ”เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นจนเหมือนกระซิบอยู่ข้างหู ผมหันไปตามทิศทางของเสียงก่อนจะเห็นเงาที่สะท้อนในกระจก เงาสะท้อนของผมถูกซ้อนทับด้วยภาพผู้หญิงนับสิบอยู่ในนั้น พวกเธอยิ้มให้ผม ก่อนที่พูดขึ้นพร้อมกันด้วยเสียงที่เหมือนกับตอนที่ผมได้ยินในกองไฟ….


“เข้ามาในโลกของเราสิ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”พวกเธอพูดก่อนที่กระจกจะสะท้อนแสงสีขาวออกมาจนต้องหลับตา ฉับพลันนั้นผมก็รู้สึกเหมือนร่างกายผมโดนดูดเข้าไปในบานกระจกบานนั้น…


 โลกในกระจกเหมือนโลกในความเป็นจริงทุกอย่าง ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องสมุดขนาดใหญ่ห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยหนังสือนับพันเล่ม ก่อนจะต้องตกใจเมื่อหนังสือที่อยู่ข้างหน้าผมคือหนังสือเล่มสีแดงเล่มนั้น แต่ที่แปลกคือมันมีชื่อหนังสืออยู่ตรงหน้าปกด้วย!!!


“เรดเพอร์กิน นั่นคือชื่อหนังสือเล่มนั้น”จู่ๆเสียงผู้หญิงคนนั้นก็ดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัว เธอเป็นผู้หญิงตัวสูง รูปร่างผอม หน้าตาสวยแต่ดุดัน ดวงตาของเธอเหมือนนางพญาที่พร้อมจะสั่งการทุกคน


“คุณ…คุณคือ…ผีที่คุยกับผมหรอ”ผมถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ที่จะเจอเรื่องแปลกมาแทบทุกเรื่อง แต่เรื่องผีไม่นับเป็นเรื่องที่ผมจะทำใจให้เป็นปกติได้ง่ายๆ


 เธอเปรยตามองผม แวบหนึ่งที่เธอโมโห ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยเหมือนเดิม



“เราคือตัวของเจ้า”ผมเบิกตากว้าง งงเป็นไก่ตาแตกมากเข้าไปใหญ่ ผมไม่ใช่ผู้หญิง และที่แน่ๆผมไม่มีบุคลิกอย่างนี้แน่นอน


“ผมคือตัวคุณ…”ผมถามย้ำอย่างงงๆ เผื่อว่าเขาจะนึกขึ้นได้ว่าพูดผิด


“ใช่ เจ้าได้ยินถูกแล้ว เราคือตัวเจ้า เจ้าคือตัวเรา”


“คุณหมายความว่าไง”


“เราคือตัวเจ้าในชาติก่อนๆ  และพวกนี้ก็เช่นกัน”เธอพูดก่อนจะผายมือออก ผู้หญิงหลายสิบคนปรากฏให้ผมเห็นก่อนที่พวกเขาจะหายไป แล้วพอผมหันกลับมามองหน้าคู่สนทนา หน้าของเธอก็เปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนไปแล้ว


“ทุกๆหนึ่งพันผู้พิทักษ์แห่งอัคคี จะถือกำเนิดราชันย์แห่งไฟขึ้นมาหนึ่งองค์  แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้เสมอไป การจะถือกำเนิดองค์ราชันย์ได้ต้องมีหลายปัจจัยทั้งสภาพของดวงวิญญาณและพลังต้นกำเนิดจำนวนมหาศาล เพราะฉะนั้นจึงไม่บ่อยนักที่จะมีราชันย์แห่งไฟถือกำเนิดขึ้น”ผมชะงักกับสิ่งที่เขาพูด หัวเหมือนถูกน็อคด้วยคำพูดยาวเหยียดของผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะต้องเริ่มมึนหัวอีกต่อเมื่อผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนหน้ากลายเป็นอีกคนหนึ่ง


“โดยดวงจิตขององค์ราชันย์นั้นจะประกอบไปด้วยดวงจิตของเหล่าผู้พิทักษ์แห่งอัคคีทั้งพันคน แต่ถ้ารอบไหนไม่มีองค์ราชันย์ถือกำเนิด ดวงวิญญาณของผู้พิทักษ์ก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีองราชันย์  เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเปรียบเสมือนอดีตชาติขององค์ราชันย์”ผมอ้าปากพะงาบๆ ทำอะไรไม่ถูก นี่ผมมีอดีตชาติเป็นพันคนเลยหรอ ไม่สิ เผลอๆอาจมากกว่านั้นด้วยซ้ำ


“ผมมีอดีตชาติกี่คนหรอครับ”หน้าของดวงวิญญาณเปลี่ยนไปก่อนจะตอบ


“สองพันห้าร้อยสิบหกคน หรือกว่าหนึ่งหมื่นปีกว่าท่านจะถือกำเนิด”


“หมื่นปี!!!”


“ใช่ แต่ที่เราเรียกเจ้ามาครั้งนี้ไม่ใช่ต้องการจะอธิบายความเป็นมาของเจ้า แต่เราเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า”เธอเว้นช่วงก่อนที่หน้าจะเปลี่ยนเป็นอีกคน อีกไม่นานผมต้องได้ตาลายแน่


“เจ้ายังขาดในสิ่งที่มนตร์เดินทางผ่านมิติในเรดเพอร์กินต้องการมากที่สุด”


“ผมยังขาดอะไรอีกงั้นหรอครับ ในเมื่อผมก็ควบคุมได้ทั้งห้าธาตุแล้ว หรือว่ามันยังไม่เสถียรพอ แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็ไม่น่ามีปัญหากับการเสกมนตร์ไม่ได้นี่”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่ผมด้วยแววตาที่เหมือนจะมองทะลุลงไปในหัวสมองและจิตใจของผม


“สิ่งที่เวทมนตร์ต้องการมากที่สุดมีอยู่สองสิ่งคือเจตนาและความศรัทธา เจ้าไม่มีทั้งสองสิ่งนั้น”


“เจตนา เจตนาผมก็มีไง ผมจะกลับไปช่วยทุกคน ส่วนความศรัทธา…..เดี๋ยวผมก็ทำให้มันมีเอง”ผมตอบเสียงค่อยในท้ายประโยค เพราะกลัวจะถูกดุ


“งั้นรึ เจ้ามีเจตนางั้นรึ เจ้าไม่มีเลยต่างหาก เจ้าแค่อยากกลับไปเพราะมันเป็นหน้าที่และแค่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไปเท่านั้น เจ้าแค่อยากทำให้ตัวเองสบายใจเท่านั้น ไม่ได้อยากกลับไปเพราะใจอยากกลับเลยสักนิด”ผมหน้าชากับสิ่งที่เธอพูด ถึงจะรู้ว่ามันเป็นความจริงอยู่ลึกๆ แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนอย่างนั้น


“มะ มะ ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ผมอยากกลับไปที่นั่นจริงๆ”


“กี่ครั้งแล้วที่ความดื้อของเจ้ามันเป็นเหตุให้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวาย ชานยอล”เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ก็แฝงการดุอยู่ในนั้น


“ผม….”ผมอ้ำอึ้งเถียงอะไรไม่ออก เพราะมันก็จริงอย่างที่เธอว่า


“เราไม่ได้เรียกมาเพื่อฟังคำแก้ตัว แต่เราอยากให้เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ เคล็ดลับของมนตร์นั่นอยู่ที่ใจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเจ้ามีใจที่จะปกป้องทุกคน มันจะพาเจ้ากลับไปเอง”


“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่มันก็…”


“เจ้าจะนึกถึงมันได้ เหมือนที่ได้ทำลงไปที่จัตุรัสเมือง”ดวงตาของเธอสว่างวาบเป็นประกายไฟสีแดง ก่อนที่ภาพบางอย่างจะวูบไหวอยู่ในนั้น แล้วดึงผมกลับไปในอดีต


   ตัวผมในอดีตกำลังควานหาคนที่ติดอยู่ในกองไฟอย่างบ้าระห่ำ ผมเที่ยวยกซากไม้ เดินหาทั่วร้าน ความเครียดและกังวลชัดเจนอยู่บนใบหน้าของผมในตอนนั้น อย่างกับว่าคนที่ติดอยู่ในนั้นคือญาติของผมเองทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย เมื่อมองดูจากตอนนี้ผมไม่คิดเลยว่าตอนนั้นผมจะกังวลได้ถึงขนาดนั้น ตอนนั้นผมคิดแต่ว่าผมจะต้องหาเขาให้เจอแค่นั้น


“เจ้าในตอนนั้นเต็มไปด้วยหัวใจที่พร้อมจะเสียสละเพื่อช่วยชีวิตของทั้งสองคนนั้น”ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น เธอกำลังมองไปยังผมที่เดินไปทั่วร้าน


“ไม่ได้คิดว่าเป็นหน้าที่หรือสิ่งที่ต้องทำ แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่อยากจะทำให้สำเร็จ”เธอมองตามผมที่กำลังจะก้าวเข้าไปหาคนที่ติดอยู่ในซากไม้ แต่แล้วก็ถูกไม้หล่นลงมาขวางทาง เจ้าจิตวิญญาณแห่งไฟนั่นปรากฏตัว มันค่อยๆพุ่งกระโจนใส่แม่ลูกสองคนนั้น


“ไม่นะ!”ผมในสองเวลาพูดพร้อมกัน ต่อให้มันจะเป็นแค่อดีตแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะร้องห้าม


“หัวใจที่อยากจะช่วยใครสักคน และศรัทธาที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนทำ นั่นคือสิ่งที่มนตร์บทนั้นต้องการ”ฉับพลันนั้นฝนก็กระหน่ำตกลงมา แต่ตัวผมไม่เปียกเลยสักนิด ความจริงต้องบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ ซูนสยายปีกขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ซากไม้ลอยหวือขึ้นจากพื้น ดินจากใต้อาคารเข้ายึดโครงสร้างเอาไว้ให้เหนียวแน่น ก่อนที่ผมจะพูดคำศักดิ์สิทธิออกมา สีหน้าของผมมุ่งมั่น และดุดันยิ่งกว่าวิญญาณของผู้พิทักษ์ที่ผมเจอหลายเท่า นี่คือผมในตอนนั้นจริงๆหรอเนี่ย


“นั่นคือหนึ่งในคาถาโบราณที่เก่าแก่และทรงพลังมากที่สุด”เธอพูดพร้อมกับที่ทุกอย่างดำเนินต่อไป ผมช่วยทุกคนออกมาได้ และพาเขาก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ผมเพิ่งเห็นว่าทุกคนที่รออยู่ไม่ว่าจะเป็นญาติของพวกเขา พนักงานดับเพลิง หรือคนอื่นๆต่างพากันยิ้มดีใจ บางคนถึงขั้นร้องไห้ บางคนโผเข้ากอดกันอย่างโล่งอก นี่พวกเขาดีใจถึงขนาดนี้เลยหรอ…


“การช่วยหนึ่งชีวิต ย่อมช่วยหัวใจของคนรอบข้างเขาอีกหลายสิบดวง”เธอพูดก่อนจะเว้นช่วง


“การช่วยหัวใจของคนนับสิบในเวลาเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่เจ้าทำ ทำเพราะไม่ได้คิดว่าเป็นหน้าที่ แต่เพราะอยากจะทำเอง ทำไมล่ะชานยอล ทำไมเจ้าถึงไม่รู้สึกอย่างนี้กับคนของเลอร์วันน่า ทำไมไม่อยากปกป้องพวกเขา ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าตัวเองก็ทำได้”เธอหันมามองหน้าผมเป็นเชิงถาม ความเจ็บปวดเจืออยู่ในดวงตาเฉี่ยวคู่นั้นจนผมต้องหลบสายตาที่มองมา


“ผม….ผมแค่ แค่ไม่มั่นใจ ผมกดดัน….ผม…ผมไม่รู้”


“เจ้าอยากเห็นอีกด้านหนึ่งของเรื่องนี้รึเปล่าล่ะ ถ้าเจ้าไม่ได้ช่วยพวกเขา”เธอพูดก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนไป  ผมกำลังวิ่งเข้าไปในกองไฟเหมือนกับตอนนั้น แต่ที่ต่างออกไปคือ พอผมควบคุมอะไรไม่ได้ ผมก็หมดหวัง ไม่ทำอะไรต่อ ไม่หาพวกเขา ไม่ช่วยพวกเขา ทั้งๆที่ผมก็อยู่เลยจากจุดที่พวกเขาอยู่ไปแค่นิดเดียว


  จิตวิญญาณแห่งไฟค่อยๆลามเลียไปทั่วทั้งร้าน มันค่อยๆคืบคลานไปหาแม่ลูกสองคนนั้น ก่อนที่จะค่อยๆเผาพวกเขาทั้งเป็น ในขณะที่ผมที่อยู่ในตอนนั้นกลับร้องไห้ แต่ไม่คิดจะทำอะไรเพราะเชื่อว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่ยืนดูพวกเขาตายอย่างทุกข์ทรมานในกองไฟ


  พนักงานดับเพลิงเริ่มเข้ามาในซากปรักหักพัง พวกเขานำตัวผมและซากที่ไหม้เกรียมของสองแม่ลูกออกไปจากร้านค้า ทันทีที่ญาติของพวกเขาเห็น พวกเขาก็หวีดร้องเหมือนคนบ้า พร้อมกับร้องไห้โหยหวนจนเสียงแหบแห้ง ทุกคนโผเข้ากอดซากที่ไหม้เกรียมของญาติ บางคนเป็นลม บางคนก่นด่าพระเจ้าที่ไม่ช่วยพวกเขา แต่ความจริงแล้วมันคือผมเองต่างหากที่ไม่ช่วยพวกเขา…


“จะต้องรอให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้รึเปล่าถึงต้องอยากจะช่วยคน”


“ผม….”


“ชีวิตทั้งหมดอยู่ในมือของเจ้าคนเดียวเท่านั้น ชานยอล”เธอพูดก่อนที่จะค่อยๆพาผมกลับไป โดยภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือภาพที่คนหนึ่งกำลังดีใจที่ญาติปลอดภัย ในขณะที่อีกด้านเขากำลังร้องไห้ที่ญาติเสีย ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับผม…


“เจ้ามีรึยังเจตนาที่อยากกลับไปเพื่อช่วยเหลือทุกคน และความศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองจะทำ”เธอถามผมขณะที่เรากลับมานั่งอยู่ในห้องสมุดแล้ว ผมนิ่งเงียบไปไม่ใช่เพราะไม่รู้คำตอบแต่เพราะกำลังอึ้งกับภาพที่เห็น ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับผมคนเดียวเท่านั้น ผมช่วยทุกคนได้แต่มันขึ้นอยู่กับว่าผมจะช่วยพวกเขาและศรัทธาในตัวเองรึเปล่า


     ไม่อีกแล้ว ผมจะไม่หันหลังให้กับพวกเขาอีกแล้ว ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบในนิมิตนั้น ผมจะต้องช่วยพวกเขา จะต้องทำให้พวกเขามีความสุขให้ได้


“ตอนนี้ผมมีทั้งสองอย่างนั้น”ผมตอบด้วยเสียงหนักแน่น ก่อนที่จู่ๆตัวอักษรโบราณจะแวบเข้ามาในหัว มันเป็นภาษาที่อ่านยากกว่าครั้งที่แล้ว และดูเหมือนจะโบราณมากกว่าด้วย


“งั้นจงกลับไปซะ กลับไปทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์และราชันย์แห่งอัคคีคนสุดท้าย”ฉับพลันนั้นทุกอย่างก็สว่างวาบ ผมถูกผลักออกมาจากกระจก เงาตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้นโดยไม่มีวี่แววของผู้หญิงพวกนั้นอยู่เลย ผมกลับมาอยู่ที่ห้องของผมแล้ว


เจ้าหายไปไหนมาน่ะ ข้าตื่นมาอีกทีก็ไม่เจอเจ้าแล้ว  ซูนถามผมในความคิด


“อย่าเพิ่งถาม เรามีเรื่องที่ต้องทำกันแล้วล่ะ เจ้าไก่ย่าง”ผมบอกก่อนจะคว้าหนังสือขึ้นมาเปิด


เรื่องอะไร


“ก็กลับเลอร์วันน่าน่ะสิ”ผมบอกก่อนที่จะเปิดอ่านวิธีการร่ายมนตร์ หน้าหนังสือค่อยๆปรากฏรูปวาดอะไรบางอย่างขึ้นมา มันเป็นรูปวงกลมล้อมรูปคล้ายดาวห้าแฉกที่แต่ละแฉกมีสัญลักษณ์ปรากฏอยู่ อันบนสุดคือไฟ ไล่ตามเข้มนาฬิกาอันที่สองเป็นสัญลักษณ์คล้ายรูปพื้นดิน ถัดมาเป็นของรูปคล้ายแร่สีเงิน ต่อไปเป็นคลื่นสีฟ้า สุดท้ายคือต้นไม้ ทุกอย่างถูกเชื่อมไว้ด้วยเส้นสีลางๆ เหมือนกับดินสอที่ลงน้ำหนักไม่เข้ม ที่ใต้รูปมีข้อความบรรยายว่า เบญจธาตุ นำพาสู่มิติ กุญแจแห่งเลอร์วันน่า


“เราจะต้องทำยังไง”ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านซ้ำอีกรอบ รูปห้าธาตุ ข้อความ คาถาแล้วเราจะกลับไปที่นั่นได้ยังไง


“เบญจธาตุ นำพาสู่มิติ กุญแจแห่งเลอร์วันน่า”ผมพึมพำ ก่อนที่จะเชื่อมโยงทุกอย่างอย่างเร็วจี๋ หรือว่ามันจะให้ผมวาดรูปตามนี้ แล้วท่องคาถาเปิดประตูกลับไปที่โลกนั้น!


“ต้องใช่แน่ๆ”ผมพูดย้ำก่อนจะกระโดดลงจากเตียง แล้วเริ่มมองหาดินสอ ไม่ ไม่สิ ดินสอคงไม่ได้ มันดูไม่อลังการเลย  มนตร์อะไรยากๆแบบนี้คงต้องใช้พลังธาตุวาดรูปแน่ ผมวิ่งไปที่กระจกบานเดิม ใช้มันเป็นประตูเชื่อมไปยังโลกโน้น ถ้ามันพาผมไปโลกวิญญาณได้ มันก็ต้องพาผมไปโลกนู้นได้เหมือนกัน


  ผมถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ก่อนจะหลับตา แล้วเพ่งสมาธินึกถึงรูปที่เห็น ก่อนจะเรียกดวงไฟออกมา แล้วฉาบมันไปที่กระจก แล้วบังคับให้มันเป็นไปตามรูป ไฟลุกเป็นเส้นสาย มันค่อยๆวาดเป็นลวดลายบนกระจก ก่อนจะกลายเป็นรูปเปลวไฟที่ลุกโหม ฉับพลันนั้นจู่ๆคำโบราณก็แวบเข้ามาในหัวของผม


“เฟียร่า อัคคี ชัชวาล”ฉับพลันนั้นไฟก็สว่างวาบเรืองแสงสีแดงก่อนจะลุกโหมมากยิ่งขึ้น ผมกางมือออกก่อนจะเริ่มควบคุมธาตุต่อไป



   ดินค่อยๆผุดขึ้นต่อจากเปลวไฟ มันเคลื่อนที่อย่างช้าๆแต่มั่นคง และบังคับให้เป็นรูปวาดได้ง่ายกว่าไฟ ดินถูกผมบีบให้อัดตัวเรียงเป็นรูปวาดแผ่นดิน ก่อนที่มันจะประสานกันจนเหนี่ยวแน่น


“อีริท ปฐมพี วิถีทาง”รูปวาดจากดินสว่างวาบเรืองแสงสีน้ำตาลก่อนจะยึดตัวกันแน่นขึ้น  


  ต่อไปก็ถึงส่วนที่ยากของผม โลหะ ธาตุที่ผมไม่ค่อยถนัด แต่ผมต้องทำให้ได้ ผมต้องกลับไปให้ได้ ผมบังคับสารประกอบโลหะออกซิเจนที่มีโลหะอยู่ด้วยให้บิดโค้งไปตามรูปวาด เมื่อมันเป็นไปตามรูปแล้ว ผมก็ดึงเอาออกซิเจนออกจากโมเลกุลของโลหะทั้งหมด จนเหลือแต่ธาตุโลหะธรรมดา


“เมเทโล โลหะ ค้ำจุน”โลหะสว่างวาบเรืองแสงสีเงินแวววาวระยิบระยับ ก่อนที่ผมจะเริ่มบังคับสายน้ำให้กลายเป็นสายเล็กๆแล้ววาดไปตามกระจก สายน้ำลื่นไหลกลายเป็นรูปเกลียวคลื่นอยู่ที่กระจก


“วอแท ธารา พลิ้วไหว”สายน้ำสว่างวาบเรืองแสงสีน้ำเงิน คลื่นโหมกระหน่ำมากขึ้นจนน้ำกระเซ็นมาโดนผม สุดท้ายก็เหลือบังคับแค่ไม้ ผมสั่งให้ไม้เรื้อยไปตามกระจก ดัดแปลงรูปร่างของมันให้เป็นไปตามรูปวาด ก่อนที่มันจะกลายเป็นรูปวาดต้นไม้สวยงามอยู่บนกระจก


“ทีอา พฤกษา นำพา”ไม้สว่างวาบเรืองแสงสีเขียว กิ่งก้านใบผลิออกมาจากต้นทำให้ชอุ่มไปด้วยสีเขียว  กระจกทั้งบานสว่างวาบด้วยแสงทั้งห้าสี เส้นวาดลางๆขีดไปตามสัญลักษณ์ธาตุทั้งห้า เฉียบพลันนั้นถ้อยคำโบราณก็แวบเข้ามาในหัวของผมอีก


“เฟียรา อีริท เมทาโล วอแท ทีอา เนคาอิน ทิล เลอร์วันนา  เบญจธาตุ นำพาสู่มิติ กุญแจแห่งเลอร์วันน่า” ฉับพลันนั้นตัวอักษรสีทองก็สว่างวาบที่ขอบกระจก เส้นสายสีทองค่อยๆเชื่อมโยงธาตุทั้งห้าเข้าด้วยกัน เปลวไฟลุกโหม แผ่นดินสั่นสะเทือน โลหะหลอมละลาย น้ำถาโถมสาดกระเซ็น ไม้เลื้อยเกี่ยวพันทุกๆอย่างเข้าด้วยกันจนรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เสียงเวทมนตร์ดังก้องไปทั่วห้อง ธาตุทั้งห้าส่องแสงสว่างแวบสีทองเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องหลับตา


พรึ่บ!


เสียงอะไรบางอย่างดังมาจากกระจก ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงลมเย็นๆและกลิ่นหอมเหมือนชาอะไรสักอย่างรอยออกมาด้วย ผมรีบลืมตาโพล่ง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า กระจกที่เต็มไปด้วยรูปวาดเวทมนตร์นั่นกลายเป็นพื้นสีทองที่เหมือนที่ดูวูบไหวได้อย่างที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้


“สำ สำ สำเร็จแล้วใช่มั้ย”


ลองเข้าไปสิ! ซูนเชียร์ ผมค่อยๆเอื้อมมือไปแตะบานกระจกที่กระเพื่อมอยู่  ก่อนจะต้องยิ้มกว้าง เมื่อตัวกระจกล้วงเข้าไปได้อย่างที่คิดไม่มีผิด!!!


“สำเร็จแล้ว! กลับบ้านกันเถอะ ซูน!”ผมบอกพร้อมกับคว้าเจ้าซูนแล้วกระโจนเข้าไปข้างใน


ดะ เดี๋ยวเซ่ นี่เจ้ายัง…


คำพูดของซูนหายไป เมื่อได้เข้ามาอยู่ในนี้ ผมแทบจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ไม่ออก แต่ให้ใกล้เคียงเหมือนกับเรากำลังเล่นรถไฟเหาะโดยลืมคาดเข้มขัดนิรภัยแบบนั้นเลย! ตัวผมหมุนเคว้งคว้างไปทั่วทุกทิศทาง ซูนถูกกระแทกมาโดนหน้าผมก่อนผมเราจะดิ่งลงไปเรื่อยๆ แล้วในวินาทีที่ผมแทบจะอ้วกของเก่าออกมาทั้งหมด แสงอะไรก็สว่างวาบออกมา แต่มองไม่ออกว่าคืออะไร จากนั้นผมก็กระแทกกับอะไรบางอย่างอย่างแรง


ตุ้บบบ!


“โอ๊ยยยย!”ผมร้องเสียงดังลั่นเมื่อตัวเองกระแทกกับอะไรบางอย่าง แถมยังมีซูนกระแทกมาแปะอยู่ตรงหน้าอีก


“โอ๊ยยย จะส่งแบบดีๆก็ไม่ได้นะ ไอ้มนตร์บ้า!”


“จะลงไปได้รึยัง!”เฮ้ย! เสียงนี้มัน! ผมรีบคว้าซูนออกจากหน้าพร้อมกับทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืนแล้วหันไปประจันหน้ากับเจ้าของเสียงอย่างอย่างรวดเร็ว


“คริส…”


“โทษทีที่ต้องตอบว่าใช่”คริสที่ค่อยๆยันตัวกลับขึ้นมาพูดเย็นชาใส่ผมพร้อมกับเช็ดคราบน้ำชาที่หกใส่เสื้อของเขา บอกตามตรงว่าพอกลับมาเจอกับเขาแล้วผมก็เริ่มทำตัวไม่ถูก เราโกรธกัน แต่ผมกลับมาง้อ แล้วผมจะต้องทำตัวยังไงล่ะเนี่ย!


“เอ่อ…ขอโทษ ก็ไม่รู้ว่า…มนตร์นั่นจะมาส่งแบบนี้นี่นา”ผมตอบเสียงค่อย


“ใครใช้ให้กลับมา”


“อยากกลับเอง”ผมตอบเสียงหนักแน่น แต่ดูเหมือนว่าคริสจะไม่สนใจคำตอบของผมเลยสักนิด ตาของเขาจ้องอยู่ที่ซูนที่กระพือปีกอย่างหงุดหงิดอยู่ข้างๆตัวผม


“สัตว์วิเศษ…”ผมรีบคว้าเจ้าไก่ย่างขึ้นมาโชว์เขา


“ใช่เลย สัตว์วิเศษ ไก่ย่าง เอ๊ย ฟีนิกซ์ ชื่อซูน ดูเลย หายไปแล้วมีการพัฒนานะ ไม่ได้ง่อยเหมือนเดิม”


“เรียกออกมาได้ตั้งแต่เมื่อไร”


“เมื่อวาน ไม่แค่นั้นนะ ฉันยังทำอะไรอย่างอื่นได้อีกตั้งเยอะ ไม่อยากจะอวด!!!”ผมเชิดหน้าพูดอวดคริส


“เอาเวลาอวดของนายไปทำอย่างอื่นเถอะ ฉันไม่ว่าง”คริสพูดก่อนจะหันหลังกลับ เตรียมจะเดินหนีผมไป


“นี่ นี่ เฮ้ นี่ง้ออยู่นะ เดินหนีอย่างนี้ได้ไง”ผมรีบวิ่งไปดักหน้า แต่คริสก็ผลักผมออกไปได้


“ถ้านี่คือวิธีการง้อของนาย สู้อยู่เฉยๆยังจะดีซะกว่า”


“ก็คนมันง้อไม่เป็นนี่  ก็หายโกรธเลยไม่ได้รึไงกัน”ผมบ่นกระปอดกระแปดพร้อมกับวิ่งตามหลังคริสไปด้วย


“ถ้าจะมาทำตัววุ่นวาย ค่อยวันหลังแล้วกัน ตอนนี้ฉันไม่ว่าง”ผมรีบวิ่งไปดักหน้าพร้อมกับกางแขนกันไม่ให้คริสไปไหน


“ไม่! จนกว่านายจะให้อภัย”คริสถอนหายใจอย่างเอือมระอาผมเต็มที่ ก่อนจะตอบ


“ดูปากฉันนะ ฉัน-ไม่-ว่าง”


“นายโก….”


บึ้ม!


จู่ๆก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น


“เสียงอะไรน่ะ”


“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ว่าง!”คริสตะวาดก่อนจะรีบวิ่งไปทางต้นเสียง


“นั่นเสียงอะไรน่ะ คริส ”คริสมองมาที่ผมอย่างลังเลก่อนจะตอบ


“ระหว่างที่นายไม่อยู่ พวกเราถูกสมาพันธ์โจมตี”

http://0ctogus.forumth.com

25 elements part12 Empty Re: 5 elements part12 Wed Mar 26, 2014 5:19 am

Oomim



เห้ย ชานยอลทำได้ๆๆๆๆๆ แต่ดูเหมือนจะสาย-.- สนุกอะ รอไรท์อัพต่อน่ะ

35 elements part12 Empty Re: 5 elements part12 Fri Jul 11, 2014 8:06 pm

ky_palm



มาอัพต่อเถอะค๊าาาา อยากอ่านตอนต่อไปแล้วงิ ㅠㅠ

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ