0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

Part 17 Time Over

+4
pachaam_
KellySc
plengklui
0ctogus
8 posters

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

1Part 17  Time Over  Empty Part 17 Time Over Fri Dec 14, 2012 9:36 am

0ctogus

0ctogus
Admin


เขาว่ากันว่าคนเรามักจะรู้ค่าสิ่งของหรือคนสำคัญ ก็ต่อเมื่อกำลังจะสูญเสียมันไปแล้ว.....

สุภาษิต และปรัชญาที่แม้วันเวลาจะผ่านพ้นไปนานเสียเท่าไร แต่ตราบใดที่มนุษย์ยังคงมีนิสัยทำผิดซ้ำๆ พลาดอยู่กับเรื่องเดิมๆสุภาษิตนี้ก็ไม่เคยตายจากหรือเสื่อมความหมายลงไปเลยสักนิดเดียว......






------------------------------------







ชานยอลค่อยๆพาหัวใจที่เจ็บปวดของตัวเองเดินไปตามทางเดินที่ทอดตัวยาวสู่ห้องของไค ทุกย่างก้าวที่ย่ำลงไป ร่างโปร่งก็ยิ่งตอกย้ำกับตัวเองว่าไม่ให้หันหลังกลับ ไม่ให้วิ่งกลับไปหาใครคนนั้น….





ขาเรียวหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูไม้บานหนึ่ง ยืนชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะเคาะประตูเรียกหนุ่มรุ่นน้อง รอเพียงไม่นานเจ้าตัวก็ลุกขึ้นมาเปิดประตู ทันทีที่เห็นร่างโปร่ง เขาก็เบิกตาโพล่ง ผงะไปชั่วครู่ ก่อนจะขมวดคิ้วสงสัยว่าทำไมชานยอลถึงมาอยู่นี่ ในเวลาแบบนี้



“ไค…..”



“พี่…...เป็นอะไร”



“ช่วยพี่ที” ชานยอลนิ่งเงียบไป พยายามกั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยต่อ



“มนตร์กีดกัน”



“ว่าไงนะครับ คุณจะทำมันหรอ!!!” เสียงคยองซูดังมาจากห้อง ร่างเล็กของเขารีบวิ่งมาหาคนทั้งคู่ที่คุยกันอยู่หน้าประตู ปกติเขาก็ไม่ได้มีนิสัยชอบฟังเรื่องชาวบ้านนักหรอก หากแต่ครั้งนี้รู้สึกมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างสั่งให้เขาทำ



“ครับ” ชานยอลพยักหน้า สีหน้าเศร้าสลดเต็มที คยองซูรีบดึงร่างโปร่งเข้ามาในห้อง



“เกิดอะไรขึ้นกับพี่/คุณ” ไคและคยองซูเอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน ชานยอลนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ทั้งสองฟัง ตลอดเวลาที่ร่างโปร่งเล่า สีหน้าของไคและคยองซูก็ค่อยๆแย่ลง รู้สึกเศร้าสลด และเห็นใจคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก.......




รักเขามากมาย แต่เขากลับ......ไม่เคยจะสนใจ







“พี่อยากทำมันจริงๆ ใช่มั้ย”



“….. ไค ช่วยพี่ ได้มั้ย พาพี่ไปหาคนที่ทำได้ที”



“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ แล้วคุณไปรู้มาจากไหน”



“ตอนนั้นผมตื่นมาได้ยินคุณลู่ฮานพูดถึงเรื่องนี้พอดี ช่วยผมที” หยาดน้ำตากลิ้งเกลือก เคลือบตากลม เปี่ยมไปด้วยความเศร้า อ้อนวอนขอคนทั้งสองให้ยอมช่วยตน ดวงตาดวงนั้น ดวงตาที่เคยสดใส ระยิบระยับ ตอนนี้กลับเหลือเพียงแต่ ดวงตาที่หม่นหมอง เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม.......จากการรักผู้ชายคนนั้น





ลูกหมาตัวนี้ติดอยู่ในกรงแห่งความเศร้ามากนานเกินไปแล้ว

เกินกว่าที่มันจะทนไว้.....





ภายในห้องติดอยู่ในอุ้งมือของความเงียบ ทั้งสามนั่งนิ่ง ไคและคยองซูกำลังคิดวิตกถึงเรื่องมนตร์โบราณนั่น ในขณะที่ชานยอลกำลังหวนนึกถึงภาพความทรงจำต่างๆของเขากับคริส ยิ่งฝังตัวเองอยู่กับมันนานเท่าไร จิตใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น หยาดน้ำใสคลอหน่วงอยู่ที่เบ้าตา พร้อมที่จะไหลทุกเมื่อ ทั้งสามอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ต่อจากนั้นไม่นานนัก ไคก็เอ่ยทำลายความเงียบ



“ถ้าพี่คิดดีแล้ว ผมก็ไม่ขัดอะไร”



“พาไปหาคนที่ทำได้ที”



“ความจริง มนตร์ทั้งหมดมันอยู่ในหนังสือ ไม่ใช่อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจว่ามีพ่อมดหมอผีทำให้ แต่หนังสือเล่มนี้มีเพียงมนุษย์ที่จิตใจบริสุทธิ์ และต้องได้รับเลือกจากมันเท่านั้นที่จะได้ครอบครองมัน นั่นรวมไปถึงการมีสิทธิที่จะเปิดหนังสืออ่านได้ด้วย ซึ่งเจ้าของคนปัจจุบันก็คือ..........คยองซู”



“ช่วยผมที” ชานยอลจับมือคยองซู พร้อมกับเขย่าเป็นเชิงขอร้อง



“เฮ้อ งั้นตามผมมา” ร่างเล็กออกเดินนำหน้าทั้งสองไป พาร่างตัวเองตรงไปยังห้องสมุดของคฤหาสถ์ ตลอดทางชานยอลเอาแต่เดินก้มหน้า จิตใจว้าวุ่นสับสนไปหมด สองขั้วของความคิดกำลังถกเถียงกัน ขั้วหนึ่งเห็นดีเห็นงามกับการตัดสินใจของเขา แต่อีกขั้วหนึ่งกลับหักห้ามบอกให้ล้มเลิกแล้วกลับไปหาคริสซะ ภาพในหัวสมองกำลังฉายภาพความทรงจำต่างๆมากมาย มันไหลทะลัก กรอกลับไปมาเร็วๆเสียจนน่าปวดหัว แต่เมื่อม้วนเทปสีซีดฉายภาพของวันคืนที่เคยมีความสุข มันกลับค่อยๆเล่นช้าๆ เลื่อนไปทีละนิด ถ่ายทอดทุกอารมณ์อย่างละเอียด





หยาดน้ำใสค่อยๆไหลอาบแก้มเนียนของชานยอล วันคืนแบบนั้นจะไม่มีอีกแล้ว มันจะไม่มีอีกแล้ว นี่จะเป็นวันสุดท้ายที่นายได้เห็นภาพเหล่านี้ จำมันไว้ทุกรายละเอียดนะชานยอล จดจำเจ้าของของนายเอาไว้นะ ต่อไปนี้....เขาอาจเป็นแค่คนแปลกหน้าของนายก็ได้





ร่างเล็กเดินนำเข้ามาในห้องสมุด หยุดยืนอยู่ที่ชั้นหนังสือที่อยู่ริมสุดของห้อง เอื้อมมือไปหยิบหนังสือมนตร์โบราณ เอ่ยพูดอะไรบางอย่างออกมาก่อนจะเปิดมัน ปรากฎมนตร์บทที่ต้องการอยู่เบื้องหน้า หากแต่มีเพียงคยองซูเท่านั้นที่อ่านมันออก มือเล็กค่อยๆวางหนังสือลงกับโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยบอกให้ไคออกไปจากห้องก่อน เขาไม่แน่ใจนักว่าพิธีที่ทำจะปลอดภัยกับแวมไพร์รึเปล่า เพราะหนังสือเล่มนี้มันถูกสร้างขึ้นมาจากจิตใจที่เป็นปรปักษ์ของมนุษย์ที่มีต่อแวมไพร์ ทุกตัวอักษรล้วนเต็มไปด้วยความโกรธ ความเศร้า และความแค้นที่มนุษย์ผู้ที่เคยถูกแวมไพร์ทำร้าย หักหลัง หรือกดขี่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนักที่จะให้แวมไพร์อย่างไคมานั่งอยู่ด้วย





คยองซูค่อยๆไล่นิ้วไปตามตัวอักษรที่ปรากฎบนแผ่นกระดาษเหลืองซีด อักขระโบราณบางตำแหน่งเลือนลางจนเกือบจางหายไปแต่ก็ยังชัดเจนพอที่จะอ่านออกได้บ้าง ร่างเล็กใช้เวลาไม่นานในการประมวลผล ก่อนจะแปลคำพูดเหล่านั้นให้ชานยอลฟัง





“เดินหน้าแล้วอย่าถอยกลับ..........มนตร์กีดกันบทนี้จะจองจำสิ่งล้ำค่าของเจ้าเอาไว้ชั่วกัปชั่วกัลย์ และจะกีดกันให้อีกฝ่ายเข้าใกล้เจ้าไม่ได้ ทำได้แค่เพียงมอง แต่มิอาจจะแตะต้อง ยามใดที่เขาพลั้งเผลอสัมผัสเจ้า เมื่อนั้นเขาจักทุกข์ทรมานแสนสาหัส รวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง..............จงกรีดเลือดของเจ้าเสีย เพื่อบูชาเซ่นสรวง และเริ่มมนตรา“ คยองซูเหลือบมองชานยอลเล็กน้อย ร่างโปร่งหันไปหยิบที่คั่นหนังสือปลายแหลม ที่ถูกวางอยู่แล้วที่โต๊ะขึ้นมากรีดลงไปบนฝ่ามือเรียว นิ่วหน้าเมื่อความเจ็บปวดแล่นผ่านขึ้นมาที่สมอง หยดเลือดสีแดงสดค่อยๆหยดลงบนหน้าหนังสือเล่มนั้น ตัวอักษรทั้งหมดค่อยๆเลื่อนหายไป เหลือเพียงแต่หน้ากระดาษว่างเปล่า ไม่นานนักอักษรสีแดงเลือดนกก็ค่อยๆปรากฎบนหน้าหนังสือ คยองซูเริ่มแปลให้ชานยอลฟังอีกครั้ง





“มันบอกให้........เขียนสิ่งที่ต้องการจะแลก คุณชานยอล คุณจะแลกกับอะไร อย่าเป็นชีวิตหรือวิญญาณ หรือแม้แต่จิตใจเลยนะครับ”



“ของเหล่านั้นไม่มีค่าพอสำหรับผมหรอกครับ” ร่างโปร่งคลี่ยิ้ม ก่อนจะค่อยๆใช้เลือดเขียนสิ่งที่ต้องการจะแลกลงไปในหน้าหนังสือ คยองซูเบิกตาโพล่งเมื่อเห็นสิ่งที่ชานยอลเขียนลงไป



“คุณชานยอล.....” ร่างโปร่งฉีกยิ้มบางๆตอบกลับมา ยังไม่ทันที่คยองซูจะได้เอ่ยอะไรต่อ หน้ากระดาษก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลง ตัวหนังสือข้อความเดิมเลือนลางหายไป เหลือเพียงแต่หน้ากระดาษว่างเปล่า ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ทั้งสองได้แต่นั่งจ้องหน้าหนังสือด้วยความงุนงง ฉับพลันนั้นเมื่อมือเล็กของคยองซูกำลังจะยื่นไปสัมผัสหน้ากระดาษ หยดเลือดหลายหยดก็ค่อยๆปรากฎลงบนกระดาษ ของเหลวสีแดงฉานแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง นิ้วเรียวเล็กจำนวนหลายสิบของมันคลืบคลานไปทีละนิด ทีละนิด จนกัดกินหน้าหนังสือสีซีดกลายเป็นสีแดงฉานเช่นเดียวกับมัน






จู่ๆท้องฟ้าที่เคยสงบก็สว่างแปลบปลาบไปทั่วบริเวณด้วยลำแสงของฟ้าแลบ ไม่นานนักเสียงกองทัพหน้าของสายฟ้าก็ถาโถมเข้ามา มันแผดเสียงแสบหูดังกระหึ่มกึกก้อง เขย่าค่ำคืนที่หลับใหลให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความผวา สายลมกรรโชกพัดโหมไปทั่ว ต้นไม้น้อยหญ้าเอนลู่ไปตามความรุนแรงของมัน บางต้นก็นยอมพ่ายแพ้ล้มครืนลงไปกับพื้นดิน สายลมอันเกรี้ยวกราด พัดปะทะร่างของมันเข้ากับบานหน้าต่างห้องสมุดจนเกิดเสียงดัง ไม่นานนักมันก็พังทลายความแข็งแรงของหน้าต่างได้ ผลักบานกระจกให้เปิดออก กลีบกุหลาบจำนวนมากถูกพัดหอบหิ้วเข้ามาภายใน กลิ่นของมันหอมเสียจนฉุนกึก






ฉับพลันนั้นกลีบกุหลาบบางส่วนที่แตะสัมผัสกับหน้ากระดาษ ก็ย่อยสลายกลายเป็นผุยผง ควันหอมฉุนลอยเป็นเกรียวขึ้นไปในอากาศก่อนจะจางหายไป ชานยอลและคยองซูมองหน้ากัน ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาไม่สามารถหยุดได้แล้ว!!! ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังดำเนินไป โดยมันมาถึงจุดที่เขาไม่สามารถจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้แล้ว!!!





ยิ่งหน้ากระดาษสัมผัสกับกลีบกุหลาบเท่าไร สีของมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไป จากสีแดงเลือดสดกลายเป็นสีดำทมิฬ ระหว่างที่มันค่อยๆเปลี่ยนสี กองทัพจากฟากฟ้าก็ยิ่งโหมกระหน่ำมากขึ้น เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังกึกก้องกัมปนาท ในขณะที่ฟ้าแลบก็แลบแปลบๆอาบท้องฟ้าสุกสว่างเป็นระยะๆ มันกู่ร้องออกอาละวาดอยู่อย่างนั้น จนในที่สุดก็เริ่มสงบลงเมื่อหน้ากระดาษกลายเป็นสีดำสนิท






ตัวหนังสืออักขระโบราณสีขาวค่อยๆปรากฎบนหน้ากระดาษ ทุกรายเส้นที่มันกรีดวาดลงไป ฝ่ามือของชานยอลก็จะเกิดรายเส้นอักขระนั้นๆด้วย ร่างโปร่งมองไปที่มือเรียวของตัวเอง น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานใดๆ มีเพียงความเย็นเยียบเท่านั้นที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวอักขระนั้น จากอักขระหนึ่งตัวค่อยๆเพิ่มเป็น สอง สาม สี่ ไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงอักขระตัวสุดท้าย อนุภาพของความเย็นเพิ่มทวีคูณมากขึ้นกว่าเก่า มันค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในกระดูก ยึดเกาะอยู่อย่างนั้นไม่ยอมไปไหน ร่างโปร่งนั่งตัวสั่นด้วยความหนาว ร่างของเขาทั้งร่างแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ สติสัมปชัญญะหลุดลอยไปทีละนิด จนมันเริ่มเหลือน้อยลงทุกที กองทัพจากฟากฟ้าด้านนอกยังคงกรีดร้องเกรี้ยวกราด สักพักหนึ่งห่าฝนก็กระหน่ำตกลงมา






กลีบกุหลาบที่หลงทางถูกพัดหอบเข้ามาในห้อง หนึ่งในนั้นค่อยๆลอยล่องอยู่กลางอากาศ ตากลมปรือตามองดู ค่อยๆยกมือข้างที่ถูกกรีดขึ้นอย่างยากลำบาก หมายจะรอรองรับกลีบกุหลาบ ร่างของเขาโงนเงนไปมา ความคิดในสมองเริ่มขาดเป็นห้วงๆ สติของเขาลดน้อยถอยลงทุกที หากแต่สิ่งสุดท้ายที่เขาคิดตอนนี้คือ........เจ้ากลีบกุหลาบนี้จะกลายเป็นเหมือนกลีบกุหลาบในวันที่ทำพันธสัญญารึเปล่า กลีบกุหลาบกลีบนั้นค่อยๆลอยต่ำลงเรื่อยๆ จวนจะสัมผัสกับมือเรียว ขณะที่มันร่วงหล่นลงสู่มือของชานยอล ตัวอักขระโบราณตัวสุดท้ายก็ปรากฎขึ้นกลางแผ่นหลัง ทับอยู่บนตำแหน่งหัวใจมังกรของคริส ฉับพลันนั้นสติของเขาก็ดับวูบไป ร่างโปร่งล้มพับลงกับโต๊ะหนังสือ





“คุณชานยอล!!!” คยองซูร้องเรียกด้วยความตกใจ รีบถลาร่างเข้าไปหาอีกฝ่าย



“คุณชานยอลๆ!!” มือเล็กยกขึ้นตบแก้ม พยายามเรียกสติชานยอล แต่ก็เปล่าประโยชน์ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรดีขึ้น ร่างเล็กจึงรีบวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือจากไคที่รออยู่หน้าห้อง



“คุณไค คุณชานยอลสลบ” ไครีบวิ่งเข้ามาในห้อง เขย่าเรียกรุ่นพี่ตัวเองแรงๆสองสามที ชานยอลยังคงสลบไสลอยู่ในห้วงไหนสักแห่งหนึ่ง ไม่ยอมตื่นขึ้นมา ร่างเข้มเหลือบสายตาไปมองหนังสือมนตรา หน้ากระดาษของมันกลายเป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษ เนื้อความเกี่ยวกับนิยายหรืออะไรสักอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมนตราหรืออะไรเลย ไคถอนหายใจออกมา



“มนตร์นั่นมันจบแล้วล่ะ”



“จบแล้ว......” จริงอย่างที่ไคว่า ร่างเล็กเหลือบไปมองหน้าหนังสือปรากฎเป็นหน้ากระดาษเนื้อความเหมือนดังเช่นครั้งที่เขาเพิ่งเปิดอ่าน



“พาพี่ชานยอลไปนอนที่ห้องเราก่อนเถอะ คยองซู แล้วพี่เขาแลกมนตร์นี้กับอะไร”



“………………... ความทรงจำ.......ที่เกี่ยวกับคุณคริสทั้งหมด” ไคนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับคืนมา ร่างเข้มค่อยๆสอดแขนเข้าไปโอบชานยอล พาร่างรุ่นพี่กลับไปที่ห้องของเขา





กลีบกุหลาบที่ร่างโปร่งกำไว้ในมือ ร่วงหล่นลงสู่พื้นห้อง กลีบที่เคยกลายเป็นสีแดงกลับกลายเป็นสีดำสนิท ดั่งเช่นในวันทำพันธสัญญา.....





กลีบกุหลาบเหมือนเดิม หากแต่คนได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

กลไกของมนตรานั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว

จากนี้..........จะไม่มีคนชื่อ “คริส” อยู่ในหัวใจของชานยอลอีกต่อไป



---------------------------------------------------





ไคพาร่างของชานยอลกลับมานอนที่ห้องไปเพียงลำพังเท่านั้น โดยคยองซูเอ่ยขอเก็บหนังสือก่อนแล้วจะตามมาทีหลัง ร่างเล็กปิดหนังสือลง ในหัวก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ คุณคริสจะเป็นอย่างไร จะนิ่งดูดาย ไม่แยแสอะไร หรือจะอาละวาดเจ็บปวดเจียนตาย เขาไม่รู้เลยว่าเจ้านายของเขาคนนี้จะมีปฎิกริยาเช่นไร แต่........ถ้าคุณคริสเกิดไม่พอใจในมนตร์นั้น แล้วคิดหาทางแก้ล่ะ ในหนังสือนี่จะมีมนตร์แก้มันรึเปล่า คยองซูพลิกมือเปิดหนังสืออีกครั้ง.......













Chapter 6

Dracula must die

………….





“นิยาย......”



“ทำไม ถึงกลายเป็น นิยายไปได้.......หรือว่า” คยองซูนิ่งเงียบไป หันไปมองเก้าอี้ที่ครั้งหนึ่งชานยอลเคยนั่ง



“เลือกเจ้าของใหม่เป็นคุณชานยอล......”





นับจากนี้จะมีเพียงชานยอลคนเดียวเท่านั้นที่เปิดหนังสือเล่มนี้ได้ หากแต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเขาได้ลบความทรงจำที่เกี่ยวกับคริสไปจนหมดสิ้นแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงประสบการณ์ที่หายไปของชานยอลเท่านั้น





หนทางเดียวที่แก้มนตร์นี้ได้ดับสูญลงไปในพริบตาเดียว จากนี้จะไม่มีใครเปิดหนังสือเล่มนี้ได้





-------------------------------------





แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ปัดเป่าความหลับใหล ปลุกให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง ยามเมื่อแสงแดดแวะเข้ามาทักทายร่างโปร่งที่นอนอยู่บนเตียง เขาหยีตาลงเสียจนมันแทบจะรวมไปกับคิ้ว หลังจากนั้นก็กระพริบตาอีกสองสามที ก่อนจะพลิกตัว หลีกหนีจากแสงแดด ดวงตากลมโตกรอกไปมา มองไปยังรอบๆห้อง ทำท่าเหมือนจะยันตัวลุกขึ้นมา แต่สุดท้ายความขี้เกียจก็เข้าเกาะกิน เขาตัดสินใจปิดเปลือกตา เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ยังไม่ทันที่ร่างนี้จะหลับสนิท จู่ๆประตูห้องก็ถูกเคาะถี่ ทีแรกเขาตัดสินใจจะลุกขึ้นไปเปิดเอง แต่มันก็ช้าไป เพราะตอนนี้มีใครบางคนในห้องลุกไปเปิดประตูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงคุ้นหูดังแว่วมากระทบโสต ชานยอลเงี่ยหูฟัง แต่ไม่ได้ใส่ใจจะจับความอะไรมากนัก



“ชานยอลเป็นไงบ้าง”



“หลับอยู่ล่ะพี่”



“เฮ้อ ถ้าคริสรู้ นายว่าเขาจะทำไง”



“พูดยาก ใครจะไปเดานิสัยพี่เขาได้”



“เฮ้อ เออไค เทาบอกให้ลงไปกินข้าวข้างล่าง”



“นี่นึกคึกรึไง ปกติไม่เห็นจะพิศวาสอาหารมนุษย์ นี่เล่นมาจัดอาหารเช้า บ้าบอว่ะ จ้องจะหาเรื่องอีกอาดิ”



“นั่นสิ แต่ชานยอล ปล่อยให้นอนไปดีกว่า ฉันไม่อยากให้ลงไปข้างล่าง”



“เดี๋ยวครับ!! ไม่ ผมจะลงไปกินข้าว” เสียงทุ้มโพล่งขึ้นมา เจ้าของเสียงรีบยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะวิ่งไปหาชายที่ยืนอยู่ที่ประตู



“ตื่นตั้งแต่เมื่อไร!”



“ก็ทันพอจะแอบฟังพวกนายคุยกันล่ะวะไอ้ไค คุณลู่ฮานครับ เดี๋ยวรอผมแปบนึง ผมไปอาบน้ำแปรงฟัน แล้วลงไปกินข้าวข้างล่างกัน” ร่างโปร่งฉีกยิ้ม อีกสองคนได้แต่มองหน้ากัน อยากจะห้ามไม่ให้ลงไป แต่ก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ สุดท้ายเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย





ชานยอลวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ตั้งท่าจะไปห้องน้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่รู้ เพราะเขาไม่เคยเข้ามาที่นี้เลย ไคชี้มือไปทางห้องน้ำ ก่อนจะบอกให้ยืมเสื้อผ้าเขาใส่ไปก่อน หรือไม่ก็ใส่ชุดเดิมไป ไม่นานนักร่างโปร่งก็ออกมาจากห้องน้ำโดยสวมเสื้อผ้าของไค





“ป่ะ ไปกินข้าวกัน พี่หิวจะแย่ ขอโทษนะครับคุณลู่ฮาน ผมไม่ได้ให้คุณรอนานเกินไปใช่มั้ย”



“ไม่หรอก ชานยอล ความจริงกินข้างบนนี่ก็ได้นะฉันว่า ไม่ต้องลงหรอก”



“ข้างล่างดีกว่าครับ กินพร้อมหน้ากัน สนุกดีออก ป่ะๆ ไปกัน” ชานยอลลากทั้งสองออกจากห้องด้วยความกระตือรือร้น มันก็ดีอยู่หรอกที่เขากลับมาร่าเริงเหมือนก่อน แต่มัน.........เหมือนมีความกังวลอะไรบางอย่างที่เกาะกุมจิตใจไคและลู่ฮาน



ถ้าคริสมาเจอล่ะ ถ้าคริสรู้ว่าชานยอล จำตัวเองไม่ได้แล้ว........อะไรมันจะเกิดขึ้น





ทั้งสามเดินเรียบไปตามทางเดินของคฤหาสถ์ หนึ่งร่าเริงราวกับว่าตัวเองกำลังเริงร่าในดินแดนมหัศจรรย์ ผิดกับอีกสองที่เดินเอื่อยเฉื่อย ถ่วงเวลาไม่ให้ลงไปชั้นล่าง เพราะต้องไปเจอคริส อะไรบางอย่างบอกถึงลางไม่ดีที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้ ไคกับลู่ฮานก้าวเท้าช้าๆ รั้งเวลาเอาไว้ แต่ดูพระเจ้าจะไม่เข้าข้างพวกเขาเสียเท่าไร เมื่อบุคคลที่ไม่อยากจะเจอ กลับเดินออกมาจากห้อง เดินตรงมาที่กลุ่มของพวกเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ดวงตาดำขลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน......... คริสกำลังโกรธ.......และนี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเจอมากที่สุด





“ชานยอล !!!” ชานยอลสะดุ้งตกใจที่จู่ๆใครก็ไม่รู้มาตะคอกใส่หน้าเขา ร่างโปร่งผงะถอยหลังไปสองสามก้าว ตากลมจับจ้องไปยังใบหน้าของคนตรงหน้า คิ้วได้รูปขมวดคิ้วเข้าหากันเสียจนจะรวมเป็นเส้นเดียว



“คุณเป็นใคร รู้ชื่อผมได้ยังไง เราเคยรู้จักกันหรอ”



“อะไร! แล้วเมื่อคืนหายไปไหนมาทั้งคืน!!!” คริสยิ่งหัวเสียหนักกว่าเก่า



“คุณพูดอะไรของคุณ เราเคยรู้จักกันหรอ คุณลู่ฮานครับ...........นี่เพื่อนคุณลู่ฮานหรอ ” ชานยอลหันไปถามลู่ฮาน ร่างเล็กได้แต่ยืนอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก



“เป็นบ้าอะไรของนายชานยอล”



“คุณนั้นแหละบ้า แล้วนี่ถ้าไม่ใช่เพื่อนคุณลู่ฮาน งั้นก็ต้องเป็นเพื่อนของไอ้ไค ทำไมพี่ไม่เคยเห็นเขาที่มหาลัยฯเลย”



“พูดบ้าอะไรของนายอยู่ หยุดกวนประสาทฉันสักที” คริสกระชากตัวชานยอลเข้ามาหา มือใหญ่บีบแขนเรียวด้วยแรงไม่เบานัก



“อะไรของคุณเนี่ย”



“อย่า...........” คำพูดทั้งหมดถูกสะกัดกั้นด้วยความเจ็บที่แล่นจากมือใหญ่ขึ้นมาเป็นริ้วๆไปทั่วร่าง ตาคมเหลือบไปมอง มือของเขาเต็มไปด้วยรอยกรีดบาดลึก หยดเลือดไหลรินออกมาจากปากแผล ยิ่งจับนานเท่าไร รอยเหล่านั้นก็ค่อยๆเพิ่มจำนวน จากแค่ที่มือ ตอนนี้ก็ลามมาถึงแขนแล้ว คริสจ้องมือตัวเองค้าง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มันเกิดขึ้นกับเขาหรอ มนตรานั้น มนตราบ้าบอนั้น มันเกิดขึ้นกับเขาหรอ เกิดขึ้นกับแวมไพร์อย่างเขาน่ะหรอ ไม่มีทาง!!!



“นายแค่แกล้ง….....เล่นละครใช่มั้ย ชานยอล”



“อะไรของคุณ ผมไม่เข้าใจ”



“บอกฉัน!!! ว่านายแค่เล่นละคร” คริสออกแรงบีบแขนอีกฝ่ายมากขึ้น ฉับพลันนั้นทั่วทั้งแขนของเขาก็ถูกกรีดเป็นริ้วๆ ความเจ็บของมันรวดร้าวและทรมาณยิ่งกว่าที่คริสเคยเจอ ร่างสูงขบกรามแน่นพยายามอดทนกับความเจ็บปวด ไม่มีทาง นี่มันต้องไม่ใช่มนตร์บ้านั่น!!!



“โอ๊ย ผมเจ็บ ปล่อยแขนผม” ชานยอลร้องทุรนทุราย ใบหน้าหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดเกินกว่าที่ควรจะเป็น



“อย่าสำออย”



“ผมเจ็บ ปล่อยผม!!!” มือเรียวพยายามแกะมือของคริสออก แต่ก็ไร้ผล ร่างสูงหัวเราะในลำคอ แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อตาคมสบเข้ากับรอยแผลเป็นริ้วๆบนแขนของชานยอล เขารีบปล่อยมืออย่างลืมตัว........





แขนของชานยอลเต็มไปด้วยรอยแผลถูกกรีด ลักษณะไม่ต่างอะไรกับของเขามากนัก เลือดสีสดไหลออกมาเป็นทาง ทั้งหมดได้แต่ยืนแน่นิ่ง ตกใจกับภาพที่เห็น.........ไม่เคยมีใครรู้ว่ามนตรานั้นจะมีอนุภาพถึงเพียงนี้........



“เจ็บ” ชานยอลร้องอวดครวญ



“ลงไปทำแผลก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันพาไป” ลู่ฮานว่าก่อนจะรีบพาชานยอลลงไปทำแผลข้างล่าง ไคตั้งท่าจะวิ่งตามลงไปแต่ก็ถูกรั้งแขนไว้เสียก่อน ตาคมจ้องใบหน้าของเขานิ่ง แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ



“ใคร เป็น คน ทำ มนตร์ นั้น”



“..................” เมื่อไม่ได้คำตอบ คริสก็ยิ่งออกแรงบีบมากขึ้น



“ไอ้เด็กเวร ชานยอลแลกมันกับอะไร!!!”



“ความทรงจำ.......ที่เกี่ยวกับพี่...........ทั้งหมด” คริสคลายมือออก พร้อมกับหลับตานิ่ง พยายามข่มอารมณ์ทั้งหมดที่กำลังโหมพัดอยู่ในใจ



“ผมขอตัว” ร่างเข้มว่าก่อนจะเดินตามชานยอลไป คริสยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพัก ยกฝ่ามือข้างที่เปื้อนเลือดชานยอลขึ้นมาดู แววตายากที่เข้าใจว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่

“ชานยอล….” คริสหลับตาลงอีกครั้ง ความเย็นแผ่ซ่านออกมาจากแผลไปทั่วทั้งร่าง ความรุนแรงของมันค่อยๆเพิ่มทีละน้อยๆจากความเย็นเยียบธรรมดา เริ่มผันแปรกลายเป็นความร้อนแผดเผาไปทั่วทั้งร่าง โดยเฉพาะ........ที่หัวใจ





----------------------------------------





หลังจากลงมาทำแผลที่ห้องรับแขกเสร็จ ชานยอลก็เอาแต่นั่งหัวเสีย นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาไม่เข้าใจเลย!! สักนิดก็ไม่เข้าใจ ว่าคนแปลกหน้าคนนั้นต้องการอะไร จู่ๆก็ทำเหมือนรู้จักกัน ทั้งๆที่เขาเพิ่งจะเคยเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรก แล้วอีกเรื่องที่เขาข้องใจคือ นี่เขาไปทำอะไรให้หรอ ถึงต้องทำร้ายเขาแบบนี้ โกรธกันมาแต่ชาติปางก่อนหรือยังไง



“คนนั้นเขาเป็นใครหรอครับคุณลู่ฮาน คนเสียสติรึเปล่า คุณลู่ฮานไม่ควรเอาคนแบบนี้เข้าบ้านนะ”



“เปล่า เขาไม่ได้เสียสติ เขาชื่อคริส เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้”



“อ่าว บ้านหลังนี้ไม่ใช่ของคุณหรอกหรอ”



“เปล่า ของเขาน่ะ” ชานยอลขมวดคิ้ว แปลกใจไม่น้อยที่ความจริงมันเป็นอย่างนี้



“เขาต้องการอะไรจากผมกัน”



“อย่าไปสนใจเลยน่าพี่ คิดไปก็เท่านั้น” ไครีบพาเปลี่ยนเรื่อง มันไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะให้ชานยอลฟื้นฝอยหาตะเข็บของเรื่องราวในอดีต



“แต่เขาทำเหมือน.......” ยังไม่ทันที่ชานยอลจะพูดจบ เสียงๆหนึ่งก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน



“อ่าว มาอยู่นี่กันนี่เอง หาตั้งนาน เฮ้ย พี่ชานยอล แขน......” ลู่ฮานรีบดึงแขนเซฮุน ยั้งไม่ให้เขาถามอะไรมากไปกว่านี้ ร่างขาวหันหน้ามาสบตากับร่างเล็กอย่างไม่เข้าใจ นี่เขาทำอะไรผิดอีกล่ะ



“เดี๋ยวค่อยเล่า บนห้อง อย่าเพิ่งถามตอนนี้” ร่างเล็กพูดรอดไรฟัน เซฮุนเกาหัวแกรกๆ ไม่ค่อยจะเข้าใจที่ลู่ฮานว่าเท่าไรนักหรอก แต่ตอนนี้การสงบปากสงบคำดูจะเป็นทางออกที่ดีกว่ามานั่งถาม



“แขนพี่น่ะหรอ ก็โดนไอ้…...”



“เฮ้ยพี่ ผมหิวข้าวแล้วว่ะ ไปกินกันเหอะ นะ” เซฮุนแสร้งเปลี่ยนเรื่อง



“นั่นดิ ผมก็ชักหิวละ ไปกินกันเหอะพี่”

“นัดกันหิวมารึไง ไปก็ได้ๆ” ทั้งสามกอดคอกันไปยังห้องอาหาร โดยไม่ลืมที่จะพาลู่ฮานไปด้วย ถึงจะสนิทกันแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่ใช่พวกที่ ทั้งโลกนี่มีแค่เราสาม เขายังสนใจ ใส่ใจคนรอบข้างได้ ไม่ได้ปล่อยทิ้งให้ซึมกระทื่อ ต้องเดินคนเดียว





ทั้งสี่เดินเข้ามาในห้องอาหารที่อยู่ถัดจากห้องรับแขก ทันทีที่มาถึงก็ต้องชะงักเมื่อสายตาสบเข้ากับร่างของคริสที่นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ โดยมีจื้อเทานั่งอยู่ข้างๆ ตำแหน่งที่นั่งเดิม ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่อาจจะแปลกไปสักนิดสักหน่อยก็ตรงที่คนมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว.....





“มีอย่างที่ไหน ให้เจ้าของบ้านนั่งรอแขก” จื้อเทาแขวะ ชานยอลขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกบ่นในใจ ใครอีกล่ะเนี่ย นี่ต้องมาเจอคนบ้าอีกแล้วหรอเนี่ย



“ก็ไม่ได้ให้รอ วันหลังก็กินก่อนดิ” ไคไหวไหล่น้อยๆ ไม่แย่แสอะไรต่อคำพูดของเทามากนัก



ทั้งสามเดินไปนั่งตามที่ประจำของตัวเอง เหลือเพียงชานยอลเท่านั้นที่ยังยืนนิ่ง ไม่ยอมเดินไปนั่ง ตากลมมองไปยังเก้าอี้ข้างคริสที่ว่างอยู่เพียงตัวเดียวอย่างชั่งใจ รู้สึกไม่ดีที่จะนั่งตรงนั้น อะไรบางอย่างสั่งให้เขาอยู่ห่างจากผู้ชายคนนั้นมากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้



“เซฮุน นายไปนั่งนั่นได้มั้ย” ชานยอลเอ่ยเสียงเบา แต่มันก็ดังพอที่คนทั้งโต๊ะจะได้ยิน คริสเงยหน้าขึ้นมาสบตากับร่างโปร่ง แววตายากที่จะอ่านออกว่าตอนนี้ร่างสูงกำลังรู้สึกยังไงอยู่



“ทำไม พี่”



“พี่ไม่อยากนั่งนั่น บอกไม่ถูก ไปนั่งแทนที”



“ได้ไงอะ โห”



“เดี๋ยวฉันไปนั่งแทนเอง” ลู่ฮานเสนอตัว ก่อนจะลุกไปนั่งที่ชานยอลแทน



“หึ ไม่กล้ามานั่งนี่รึไง แต่ก็ดี ไปพ้นๆตาฉันสักที” จื้อเทายิ้มร้าย ชานยอลขมวดคิ้วหมุน ไม่เข้าใจว่าสองคนนี้เป็นบ้าอะไรกัน คนหนึ่งก็ทำเหมือนรู้จักเขา อีกคนก็เอาแต่แขวะ ร่างโปร่งเลือกจะเก็บความสงสัยไว้ในใจ เขาไม่อยากจะถามอะไรตอนกำลังจะกินข้าว ชานยอลหันเหความสนใจไปที่อาหารที่อยู่บนโต๊ะแทน ด้วยความเคยชิน เขาเผลอใช้แขนข้างที่บาดเจ็บเอื้อมมือไปตักเนื้อไก่ตรงหน้า



“โอ๊ย” คริสหันขวับไปมองยังชานยอล ร่างโปร่งปล่อยช้อนทิ้งลงกับโต๊ะ ก่อนจะกุมแผลที่แขนเอาไว้ สีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด



“สำออย” เทาแสยะยิ้มดูถูก ไคและเซฮุนหันกลับไปมองด้วยสายตาไม่พอใจนัก



“ก็เห็นอยู่ว่าคนเจ็บ ไอ้ถ้าจะสำออย นี่มันคุณมากกว่ามั้ง” เซฮุนตอบอย่างเดือดดาล



“แก!”



“ครับ มีไรว่ามาเลยครับ อย่ามัวทำซ่าแต่ไม่แน่จริง”



“เซฮุน” ลู่ฮานรีบปราม ไม่อยากจะให้เกิดเรื่องไปมากกว่านี้ แค่นี้มันก็มากพอแล้ว



“ชานยอล เป็นไงบ้าง ไหวมั้ย” ร่างเล็กหันมาถามชานยอล ร่างโปร่งพยักหน้า หากแต่การอาการตอนนี้มันสวนทางกับคำพูดเหลือเกิน



“พอเถอะ ขึ้นไปพักข้างบนก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันให้คนยกอาหารไปให้”



“ไม่เป็นไร ผมไหว ผมไม่ได้สำออย” ชานยอลละล่ำละลักพูด



“พี่ ขึ้นห้องเหอะ นะ ฝืนมากเดี๋ยวเลือดก็ไหลอีกหรอก” ไคเอ่ยขอ ชานยอลลังเลในทีแรก แต่สุดท้ายก็ยอมขึ้นห้องแต่โดยดี



“ไค พี่ ห้องพี่ห้องไหนนะ” ร่างโปร่งเอ่ยถาม ทั้งโต๊ะอาหารถึงกับนั่งตัวชา ชานยอลจำไม่ได้แม้แต่ห้องที่ตัวเองเคยนอนหรอ.......ความทรงจำเหล่านั้นมันถูกลบทิ้งออกไปหมดเลยหรอ....



“ความจำเสื่อมขึ้นมารึยังไง เหอะ!” ชานยอลหันไปมองหน้า แต่ก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรมาก ตอนนี้เขาอยากจะขึ้นห้องให้เร็วที่สุด



“ห้อง........” ไคนิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบอะไรดี



“ห้อง.......ห้องของฉันไง” ลู่ฮานเอ่ยตอบ คริสเหลือบตามองเล็กน้อย



“ผมจำไม่ได้.......พาขึ้นไปที” ร่างเล็กลุกขึ้น พาชานยอลขึ้นไปบนห้อง โดยมีสายตาคมมองไล่ตามไป



“มันเป็นบ้ารึไง ถึงจำไม่ได้ว่านอนห้องไหน”



“ไอ้ฮุน ขึ้นห้องกันเหอะว่ะ ฉันเบื่อ อากาศแม่งเริ่มไม่ค่อยดีละ”



“เหม็นเน่า” ไคกับเซฮุนลุกขึ้นยืนก่อนจะพากันขึ้นข้างบนไป โต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงแค่คริสและเทาเท่านั้น ร่างบางหันมาหาร่างสูงที่เอาแต่นั่งนิ่ง ทิ้งแขนข้างหนึ่งข้างตัว อีกข้างก็ยกขึ้นมาบนโต๊ะ ปกติคริสไม่ได้นั่งท่านี้ ร่างสูงจะนั่งเอามือประสานกันข้างหน้า วางท่าทางสง่างามไม่ใช่หรอ



“พี่คริส ทำไมนั่งอย่างนั้น ปกติไม่นั่งแบบนี้นี่” ตาคมเหลือบมองอย่างรำคาญ ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น



“พี่จะมองฉันแบบนี้ไม่ได้นะ”



“ฉันทำได้ทุกอย่างที่ฉันต้องการ”



“หึ แล้วนี่ไอ้ชานยอลนั่นมันเรียกร้องความสนใจอะไรพี่อีก คิดว่าจะใสซื่อสุดท้ายก็นางมาร” สีหน้าเทาเต็มไปด้วยการดูถูก ปากบางแสยะยิ้มอย่างรังเกียจ ยามที่พูดถึงอีกคน



“ฉันจะขึ้นห้อง” ร่างสูงเลี่ยงที่จะตอบคำถาม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตั้งท่าจะเดินขึ้นห้องไป



“เดี๋ยว ฉันไปด้วย เอ๊ะ แขนพี่ เลือด พี่เป็นอะไร ใครทำ!!!” ร่างบางถลาร่างเข้ามาหา มือบางจับแขนข้างที่บาดเจ็บของคริสไว้ในมือ



“มนตร์กีดกัน หายสงสัยแล้วก็หุบปากได้แล้ว ไม่ต้องตามฉันขึ้นมาด้วย มันน่ารำคาญ” คริสสะบัดมือเทาทิ้ง ก่อนจะเดินขึ้นห้องไป เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาเสวนากับใครทั้งนั้น พิษจากบาดแผลทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด





ทางด้านเทาพอรู้ว่าทั้งหมดเกิดจากมนตร์กีดกัน เขาก็ดีใจจนเนื้อแทบเต้น หึ จากนี้ก็จะไม่มีศัตรูหัวใจนั้นแล้ว ดี!!! คริสจะได้เข้าใกล้มันไม่ได้ ในที่สุดฉันก็ชนะ ฉันก็ได้ครอบครองเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น จากนี้ทุกอย่างจะกลับไปเหมือนเก่า เหมือนวันที่ไม่มี ปาร์คชานยอล!!!







-------------------------------------------







ผ้าพันแผลสีขาวที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีเข้ม ค่อยๆถูกแกะออก ก่อนจะถูกมือใหญ่โยนทิ้งลงถังขยะ ตาคมมองหยดเลือดที่ไหลออกจากปากแผลนิ่ง พลางนึกถึงเหตุผลที่เขาต้องซ่อนแขนข้างนี้ไม่ให้ใครบางคนที่โต๊ะอาหารเห็น.....






ร่างสูงกำมือเข้าหากันจนข้อนิ้วซีดเซียว พร้อมกับขบกรามแน่นจนใบหน้าเกร็งไปหมด พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผล นึกแปลกใจที่ตัวเองสามารถข่มความเจ็บปวด เล่นละครตบตาคนบนโต๊ะอาหารได้อย่างแนบเนียน ทั้งๆที่มันทุกข์ทรมาณมากขนาดนี้.........ทำไมถึงอดทนได้กัน





“หึ น่าสมเพชสิ้นดี อู๋อี้ฟาน” ร่างสูงแสยะยิ้ม หัวเราะเยาะเย้ยตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์กลับมานิ่งสงบดังเดิม ตาคมเหลือบมองไปที่เตียงกว้างที่ยับยู่ยี่ บ่งบอกว่ามันเคยผ่านอะไรมาบ้าง



“เมื่อคืน คือครั้งสุดท้าย ใช่มั้ยชานยอล” เปลือกตาหนาปิดลงช้าๆ นึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อคืน



“ถ้าผมไม่อยู่ คุณจะ.....คิดถึงผมมั้ย” ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่านายจะทิ้งฉัน



“คุณคริส.........ถ้าวันหนึ่งเราไม่รู้จักกัน ถ้าวันหนึ่งชีวิตคุณไม่มีผม คุณจะรู้สึกยังไงหรอครับ”



ฝ่ามือเรียวที่คุ้นเคย สัมผัสแก้มกร้านอย่างถนุดถนอม เกลี่ยนิ้วไปตามดวงหน้าของเจ้าของ คลี่ยิ้มบางๆให้ยามเห็นใบหน้าของปีศาจตนนี้มีความสุข......



นิ้วมือเรียวลูบไล้รอบดวงตาปีศาจเบาๆ ตากลมมองลึกเข้าไปในดวงตาคมที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับจังหวะรัก........ สัมผัสครั้งสุดท้าย ที่บรรจงใส่ความรักและความห่วงใยลงไปให้มากที่สุด




แต่ทั้งหมดก็พังทลายลงจนหมดสิ้น ไม่เหลือชิ้นดี ด้วยคำพูด และการกระทำของเขาเอง





แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Fri Dec 14, 2012 1:45 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง

http://0ctogus.forumth.com

2Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Fri Dec 14, 2012 1:45 pm

0ctogus

0ctogus
Admin




มือใหญ่ปัดเอามือเรียวของชานยอลออกไปให้พ้นใบหน้า รู้สึกรำคาญมาสักพักแล้ว ไม่เข้าใจว่าร่างโปร่งจะจับมันทำไม แล้วสายตาเศร้าสร้อยแบบนั้นหมายความว่ายังไง......



“น่ารำคาญ” ประโยคสุดท้ายที่พูดกับลูกหมาตัวนั้น.......



วันนี้เพิ่งเข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงได้มีท่าทางแปลกๆ พูดจาพิลึกๆ ตลอดเวลาที่มีอะไรกัน แต่เขาก็ไม่ได้ฉุกคิดหรือเอะใจอะไรเลย......สักนิด





เพราะคิดมาตลอดว่า ลูกหมาตัวนี้ จะไม่มีวันจากเจ้าของไปไหน

เพราะคิดมาตลอดว่า ตัวเองสามารถควบคุมทุกอย่างได้

เพราะคิดมาตลอดว่า วันนี้มันจะไม่เกิดขึ้น

............แต่ทุกอย่างมันก็............



ผิดคาดไปเสียหมด






ตาคมมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้ความคิดหลุดลอยไปตามสายลมที่พัดเอื่อย ทุกอย่างมันว่างเปล่า จิตใจของเขามันหายไป.....





ตลอดเวลา ลูกหมาตัวนั้นวิ่งตามเจ้าของต้อยๆ ไม่เคยไปไหน

เจ้าของชะล่าใจ ไม่เคยคิดว่ามันจะหนีไป

แต่กว่าจะรู้ตัว นึกหันหลัง มองกลับไป

ลูกหมาตัวนั้นก็หายไปเสียแล้ว





เปลือกตาหนาปิดลงช้าๆ หยาดน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ทั้งความรู้สึก ทั้งคำพูดมากมายที่อยากจะเอินเอ่ย ถาโถมเข้ามาในจิตใจ เขาได้แต่ทิ้งตัวเองให้จมดิ่งลงสู่ก้นเหวของหัวใจ ในวันนี้ทุกๆอย่างมันสายไป สายเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะรู้ตัว ว่าได้ทำ.......







หัวใจตัวเองหล่นหายไปเสียแล้ว


-------------------------------------------------------

http://0ctogus.forumth.com

3Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Sun Dec 23, 2012 4:09 pm

plengklui



TT TT จะเศร้าเกินไปแล้ว เศร้าเกินไปแล้วอ่าาาาาา โฮฮฮฮ
โอ้ย ไม่คิดว่ายอลมันจะเอาค.ทรงจำที่กก.คริสไปแลกนะเนี่ย
คือแบบ มันรักพี่คริสมากไม่ใช่เหรอ
'
'
รักมาก ก็เลยเจ็บมากสินะ TT
เศร้าไป เศร้ามากกก

ตอนที่ทำมนต์กีดกันนั่นขนลุกเลยอ่ะ แบบสุดๆ
ยิ่งพอรู้ว่าได้เปลี่ยนนายใหม่แล้ว ยิ่ง...อึ๋ยยย T_T
น่ากลัว มันมีวิธีแก้แน่ล่ะ
แต่จะเป็นวิธีไหน..ไม่รู้ แล้วลดามาจำอะไรไม่ได้แบบนี้ TT *เฮ้อ*

พี่คริสรู้ตัวช้าไปนะ เสียหัวใจของตัวเองไปถึงได้รู้
เห็นใจพี่แกขึ้นมานิดนึงเลยว่ะ โฮ เรื่องมันเศร้า T^T

4Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Sat Jan 12, 2013 4:16 pm

B2UTY


ผู้มาเยือน

นึกแล้วว่าน้องต้องเอาความทรงจำเข้าแลก
ตอนแรกนึกว่าจะเป็นสร้อย
แต่พอเห็นน้องพูดแปลกๆ ว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
และต่อไปจะจำได้รึป่าวก็ไม่รู้
ทำให้รู้เลย ว่าต้องแลกกับความทรงจำ
แต่แบบนี้หล ที่รออยู่ สะใจพี่คริส
ทำร้ายน้องเอง สมควรแล้ว =^=

(เมนยอลค่ะเมนยอล) Cool

5Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Wed Mar 13, 2013 12:46 pm

KellySc



สงสารยอลกับคริส QAQ และไม่อยากอ่านไปถึงตอนจบเลย TT อยากให้ได้อยู่ด้วยกัน เริ่มต้นใหม่ด้วยกัน

6Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Tue Mar 26, 2013 11:21 pm

pachaam_

pachaam_

แชปนี้โดยเฉพาะพาร์ทของพี่คริส
เป็นอะไรที่แบบฟหกดสเวงลกปมาก T _ T
งื้อเศร้ามากอ่ะ ไรต์เปรียบแบบเห็นภาพมาก
ลูกหมากับเจ้าของอ่ะ แบบพรูดดดด
จะร้องไห้ ; _ ;

https://twitter.com/_5Qwc

7Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Wed Apr 10, 2013 1:31 pm

rquniqa



สมน้ำหน้าอิพี่คริสแต่ก้สงสารอ่ะ
เป็นไงล่ะทำตัวเองทั้งนั้น
ตอนมีอยู่ไม่ดูแลให้ดี
พอหายไปจะเสียดายก็สายไปแล้ว

8Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Wed Jun 26, 2013 11:34 pm

panaddaj



ขอสมน้ำหน้าไอ้พี่คริสก่อนนะ
เป้นงัยละทีนี้โดนชานยอลลืม
เจ็บปวดเลยดิ
แต่ก็แอบสงสารนะเนี่ย

9Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Tue Jul 02, 2013 3:48 pm

Shimnung



สมน่ำหน้าอิพี่คริส
แต่ก็สงสารนีองยอลอ่า

10Part 17  Time Over  Empty Re: Part 17 Time Over Mon Aug 05, 2013 12:07 am

potter



ตอนนี้ทั้งสงสารและสมน้ำหน้าพี่คริส
เจอสะบ้างทำเค้าไว้เยอะนิ

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ