ตัวหนังสือที่บรรจงเขียนลงไป ค่อยๆเลือนลางด้วยหยาดน้ำตาของผู้เขียน ร่างสูงปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น คราบปีศาจร้ายที่เย็นชามลายหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่ผู้ชายอ่อนแอคนนึง.......
มือใหญ่รีบเอื้อมไปหยิบทิชชู่มาซับคราบน้ำตาที่อยู่บนหนังสือ ไม่อยากจะให้สิ่งที่เขียนเลือนลางไป เผื่อว่าซักวันหนึ่งชานยอลจะกลับมาอ่าน เผื่อว่าซักวันหนึ่งมันจะช่วยให้ชานยอลจำเขาได้บ้าง คริสหวัง และขอให้มันเป็นอย่างนั้นในเร็ววันนี้ แม้เขาจะรู้ว่าหนทางมันแทบจะไม่มี ที่ทำมันสูญเปล่า ไร้ค่า แต่เขาก็ยังจะทำ พยายามจะทำทุกๆอย่างเพื่อรอซักวัน....วันที่ใครคนนั้นจะกลับมา
นิ้วแกร่งค่อยๆไล่ไปตามตัวอักษรที่ชานยอลเขียน ลายเส้นของมันยึกๆยือๆ บางตัวก็แทบจะอ่านไม่ออก ไม่ต้องเดาคริสก็รู้ว่าชานยอลร้องไห้ตอนที่เขียน คงเศร้ามากใช่มั้ย ตอนที่เขียนให้ฉัน คงร้องไห้ใช่มั้ย ตอนที่นึกถึงฉัน ทำไมฉันถึงไม่เคยทำให้นายยิ้มได้เลยนะชานยอล แม้แต่วินาทีสุดท้ายที่นายจะไป.....ฉันก็ยังทำให้นายร้องไห้
ร่างสูงทุบเตียงแรงๆเพื่อระบายอารมณ์ หยดเลือดจำนวนมากไหลออกจากปากแผลเพราะแรงบีบมือของร่างสูง เขาโกรธตัวเองที่เป็นคนแบบนี้ ไม่ได้ดั่งใจก็อาละวาด โมโหอะไรก็พูดจาร้ายๆ เอาแต่ใจมาตลอด โกรธที่เมื่อก่อนไม่เคยดูแลคนที่รักเลย ไม่เคยทำให้เขายิ้มได้ ไม่เคยเป็นคนดีในสายตาเขาเลยสักนิด ถ้าหากเขารู้ตัวเร็วกว่านี้ ถ้าคิดได้ในวันที่ชานยอลยังอยู่ เรื่องทั้งหมดมันก็คงไม่เป็นแบบนี้ ชานยอลคงไม่หนีเขาไปแบบนี้ เราคงไม่กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ชานยอลคงไม่เกลียดเขา เหมือนอย่างวันนี้ที่เราเป็นอยู่.....
ยังจดจำได้ดี ถึงแววตาที่เย็นชา ท่าทางที่ห่างเหินของชานยอล เขากลายเป็นคนแปลกหน้า กลายเป็นคนอันตรายที่ร่างโปร่งไม่คิดจะเข้าใกล้.......
“อย่าจับ!” ชานยอลรีบชักมือกลับ มือของคริสสั่นเทา มันเย็นเฉียบไปหมด
........อย่าจับ รังเกียจฉันไปแล้วอย่างนั้นหรอ.......
“ตัว อันตราย ไม่น่าเข้าใกล้” หัวใจของเขาชาไปหมด ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงอาละวาด คงโมโหที่ชานยอลพูดอย่างนั้น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ความรู้สึกมันต่างกัน.......
วันนั้นที่มี
กับวันนี้ที่ขาด
หัวใจ.....มันรู้สึกต่างกัน
คุณจะทำยังไง หากวันหนึ่งคนที่คุณรัก จดจำคุณไม่ได้ ลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ จำไม่ได้แม้แต่ชื่อของคุณด้วยซ้ำ ซ้ำร้ายเขายังเกลียดคุณ มองว่าคุณเป็นตัวอันตราย ไม่น่าเข้าใกล้ ต้องอยู่ให้ไกลยิ่งไกลเท่าไรก็ได้ยิ่งดี.....
ภาพชานยอลที่เย็นชาถูกฉายย้อนกลับไปกลับมาซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ตอกย้ำหัวใจให้ยิ่งรวดร้าวทรมานมากขึ้น วันนี้เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว เขาย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ได้แต่รับบทลงโทษในสิ่งที่เขาทำ ได้แต่ก้มหน้ากล้ำกลืนความโศกเศร้าและความรู้สึกไว้ในใจ อยากจะขอโทษ อยากจะบอกรัก อยากจะกลับไปเป็นคนเดิม คนที่ชานยอลเคยรัก แต่ทุกอย่างมันก็สายไป ชานยอลไม่อยากฟัง ไม่อยากจะรักเขาอีกแล้ว ต่อให้เขาตะโกนออกไปเสียงดังแค่ไหน เปลี่ยนตัวเองมากเท่าไร ชานยอลก็ไม่รักเขาแล้ว วันนี้เขากลายเป็นอากาศธาตุ กลายเป็นคนแปลกหน้าที่ร่างโปร่งไม่คิดจะเข้าใกล้ไปเสียแล้ว.......
จะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ จะทำอย่างไรกับหัวใจที่รวดร้าวของตัวเอง ความรู้สึกที่มีมันบีบอัดแน่นไปหมด แม้ชานยอลจะเพิ่งจากเขาไป แต่ความทรมานมันไม่ได้แปรผันตามวันลาจาก แต่มันแปรผันตรงกับความทรงจำและความรู้สึกของเขา มันคงดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้ใช้หัวใจจดจำเรื่องราวทุกอย่าง......
ไม่ว่าจะหลับหรือลืมตาภาพชานยอลก็มักจะลอยเข้ามาในสมองให้ได้หวนนึกถึงวัน เก่า คิดถึงวันที่ร่างโปร่งเคยอยู่ที่นี้ เทปความทรงจำสีจางค่อยๆเล่นช้าๆ ภาพชานยอลที่นอนอยู่ข้างๆ เขา ไหลเข้ามาในหัวสมอง วันนั้นเขายังจำได้ดีว่าชานยอลละเมอฝันร้าย เขาเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น.....
“คุณคริส อย่าทำผมนะ ขอร้อง อย่านะ” ชานยอลปัดไม้ปัดมือกลางอากาศ ร่างกายขยับไปมาอย่างร้อนรน
“ชานยอล”
“ผมขอร้อง หยุดเถอะ ผมขอร้อง” หยาดน้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้มเนียน
“ปาร์คชานยอล ตื่น!!!”
“ผมขอโทษๆ อย่าทำผม”
“ตื่น เดี๋ยวนี้!!!” ร่างโปร่งยังคงติดอยู่ในฝันร้าย ไม่ยอมตื่นขึ้นมา คริสเริ่มหัวเสีย เขย่าตัวอีกฝ่ายแรงๆ แต่ชานยอลก็ยังคงไม่ตื่น ร่างสูงสบถคำหยาบออกมาสองสามคำ ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง
“ผม ขอโทษ ผมขอโทษ” ชานยอลเริ่มสะอึกสะอื้นหนักขึ้น คริสเริ่มทำอะไรไม่ถูก มือใหญ่ค่อยๆเอื้อมไปหาคนไม่ได้สติ ชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนจะดึงร่างนั้นเข้ามากอด
“เงียบ ซะ” ลูบผมปลอบร่างในอ้อมกอดอย่างเก้ๆกังๆ นึกแปลกใจไม่น้อยที่ตัวเองมาทำอะไรอย่างนี้ ทั้งๆที่ปกติก็ไม่ใช่คนสนใจความเศร้าของคนอื่นแท้ๆ
ม้วนเทปค่อยๆฉายภาพเหตุการณ์ตอนชานยอลนอนอยู่ที่โรงพยาบาล......
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยเต็มไปด้วยรอยลมพิษ เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นผิวละเอียดนี้ต้องด่างพร้อยด้วยรอยเหล่านั้น หลังจากที่ออกมาจากห้องนั้น ร่างสูงก็เดินลิ่วไปที่เคาเตอร์พยาบาลที่อยู่กลางตึก
“คน ไข้ห้อง 011 ปาร์คชานยอล มีรอยลมพิษนั่นขึ้นเต็มตัว ทำไมพวกคุณไม่เข้าไปดูแลคนไข้ ปล่อยให้มันขึ้นเต็มไปหมดได้ยังไงครับ” พยาบาลที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นถึงกับนั่งอึ้งไป
“..........ผมว่าพยาบาลที่นี่ก็ไม่ได้เป็นใบ้นะครับ ช่วยตอบคำถามผมด้วย”
“คือว่า.......เอ่อคือ”
“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ คุณ” หมอคนหนึ่งเดินเข้ามาขัดบทสนทนา ร่างสูงหันกลับไปมอง สายตาเหลือบดูบัตรที่ห้อยอยู่ตรงคอหมอ
“แพทย์เจ้าของไข้ ปาร์คชานยอล ห้อง011 ใช่มั้ยครับ”
“อะ เอ่อ.....ครับ”
“เขามีลมพิษขึ้นเต็มตัว ช่วยไปดูด้วยครับ”
“อ๋อ รอยลมพิษนั่น ไม่เป็นไรหรอกครับคุณ มันเป็นอาการข้างเคียงจากการรับเลือดน่ะครับ ไม่มีอะไรน่าเป็น
ห่วงหรอกครับ สบายใจได้”
“คุณหมอเห็นรอยนั่นแล้วหรอครับ” ตาคมจับจ้องไปที่ใบหน้าคู่สนทนา ความโกรธเกรี้ยวเริ่มครุกกรุ่นอยู่ข้างใน
“เอ่อ......”
“ถ้ายังไม่เห็น คุณจะสรุปได้ยังไง ช่วยไปดูด้วยนะครับ”
“อ้อ ครับ ผมกำลังจะไปตรวจเขาอยู่พอดี”
“ครับ อ้อ อีกเรื่องนะครับ ผมไม่เอาพยาบาลคนนี้มาดูแลคนของผมนะครับ เพราะแค่ฟัง เขายังไม่มีสติจะตอบ ถ้าจะดูแลใคร เขาคงไม่มีสติจะตัดสินใจทำอะไร ขอบคุณครับ” ร่างสูงเหลือบตาไปมองที่พยาบาลคนนั้น ก่อนจะหันกลับมามองที่คู่สนทนา เมื่อพูดจบเขาก็เดินจากไป ปล่อยให้หมอและพยาบาลนั่งอึ้งเป็นไก่ตาแตก....
“ดูเหมือนว่าเราจะต้องดูแลคนไข้คนนี้ดีเป็นพิเศษแล้วสิ ผมไปตรวจเขาก่อนนะ”
“คะ ค่ะๆ คุณหมอ”
อีกด้านที่ไม่มีใครได้รู้เกี่ยวกับตัวตนของคริส หลังจากที่เขาไปอาละวาดใส่หมอและพยาบาล ชานยอลก็ได้รับการดูแลดีขึ้น บางทีอาจมากกว่าคนไข้คนอื่นเสียด้วยซ้ำ......
ภาพความทรงจำค่อยๆฉายภาพชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วยของชานยอล.....
ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วเขาแอบไปเยี่ยมชานยอลทุกคืน แต่แค่ไม่กล้าเข้าไปหา เพราะรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นคนทำร้ายร่างๆนั้น ได้แต่ยืนดูอยู่ข้างนอก มองร่างนั้นหลับใหลอยู่บนเตียง เขาทำอย่างนี้ซ้ำๆทุกๆคืน จนพยาบาลที่เป็นเวรกะดึกร้องทักเขาว่า
“คุณคะ ทำไมไม่เข้าไปล่ะค่ะ เราอนุญาติให้เข้าเยี่ยมนี่คะ”
“…...........ตรงนี้ก็ดีแล้ว”
“อ้อ ค่ะ…...งั้นดิฉันไม่รบกวนแล้ว” พยาบาลคนนั้นค่อยๆเดินจากไป ร่างสูงเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองคนที่นอนอยู่บนเตียงในห้องพัก ผู้ป่วย เขายืนอยู่อย่างนั้นจนรุ่งสางถึงจะยอมกลับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงทำ.......
....รู้แค่มันไม่สบายใจที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว.....
ม้วนเทปความทรงจำ จู่ๆก็ตัดฉับไปในคืนวันทำพันธสัญญา......
หากดูเผินๆสาเหตุที่เขาทำพันธสัญญากับชานยอลก็คงไม่พ้นที่จะต้องการให้ชาน ยอลอยู่กับเขาไปตลอดกาล ดูเป็นการกระทำที่เอาแต่ใจและไร้เหตผล แต่ใครเลยจะรู้ว่าความจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะ ลึกๆในใจ คริสไม่อยากให้ชานยอลจากเขาไปไหน ไม่อยากให้ร่างนี้หายไป......จากโลกนี้
หากตื่นเช้าขึ้นมาแล้วพบว่าที่ว่างข้างเตียงมีแต่ความว่างเปล่า เดินไปที่ไหนก็เจอแต่ความทรงจำ ไร้เงาของคนจริงๆ ต่อให้เขาคิดถึงแค่ไหน อยากจะกอดแค่ไหน ก็คงทำได้แค่คิดอยู่ในใจ ทำจริงๆไมได้ เพราะคนคนนั้นได้หายไปจากโลกนี้แล้ว......
คนที่ตายไปแล้วน่ะมันไม่เท่าไรหรอก ความเจ็บปวดของเขาก็สิ้นสุดลงแค่ในโลกนี้เท่านั้น จากนั้นจะเป็นยังไงต่อเรายังไม่รู้ แต่คนที่อยู่ที่โลกนี้ล่ะ ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาคงต้องติดอยู่แต่ในความทรงจำ คงต้องหล่อเลี้ยงหัวใจตัวเองด้วยกลิ่นอายจางๆของใครอีกคน ทำได้อย่างมากก็แค่คิดถึงคนคนนั้นเพียงลำพัง โลกทั้งโลก ชีวิตที่เหลืออยู่ ดูอ้างว้าง และว่างเปล่า สำหรับมนุษย์น่ะมันทรมานไม่เท่าไรหรอก อย่างน้อยก็สักสิบปี ยี่สิบปี แต่สำหรับแวมไพร์.......
เราแทบไม่มีทางหลุดพ้นจากความทรมานเหล่านั้นได้เลย
นี่คือสาเหตุทั้งหมดที่สั่งให้คริสทำ ถ้าต้องตาย ก็ขอตายด้วยกันดีกว่า....
เขารู้ดี รู้ว่าตัวเองนิสัยไม่ดี ไม่เคยคิดจะถามความต้องการของชานยอลก่อนเลย ไม่เคยอ่อนโยน หรืออธิบายให้ชานยอลเข้าใจอย่างที่ลู่ฮานทำกับเซฮุน ที่ทำอย่างนั้นก็เพราะเขากลัว กลัวว่าชานยอลจะปฎิเสธ กลัวว่าจะต้องเสียคนคนนี้ไปในสักวันหนึ่ง.....
ผิดไหม ที่เป็นคนแบบนี้
ที่เห็นแก่ตัว ไม่คิดจะถามคำตอบ
ผิดไหม ที่อ่อนแออย่างนี้
ที่ไม่กล้าอยู่คนเดียว กับโลกที่อ้างว้าง
ที่ไม่มีชานยอล
ร่างสูงค่อยๆปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆ แม้ตอนนี้พันธสัญญานั่นยังคงมีผลกับเขาและชานยอลอยู่ แต่มันก็เหมือนไม่มี สิ่งที่เขาพยายามหลีกหนีมาตลอด กลับเกิดขึ้นจริง ชีวิตของเขาตอนนี้เหมือนกับคนที่เสียคนรักไป เขาต้องใช้ชีวิต ต้องประคับประคองหัวใจที่แสนจะอ่อนแอของเขาด้วยความทรงจำสีเทา ที่หม่นหมองด้วยน้ำมือของเขาเอง
มือใหญ่กำมือตัวเองแน่น หยดเลือดมากมายไหลออกมาเปรอะเปื้อนผ้าปูที่นอน ความเจ็บปวดแล่นแผ่นเป็นริ้วไปทั่วร่าง แต่เขาก็ไม่สนใจ
ความเจ็บปวดที่มี ไม่เท่ากับที่หัวใจรู้สึกอยู่ตอนนี้
ความเจ็บปวดที่เขามี ไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่ชานยอลได้รับ
นึกย้อนกลับไปถึงเมื่อครั้งที่ชานยอลยังอยู่กับเขา หากวันนั้นเขาแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปมากกว่านี้ ถ้าเขาดูแลร่างนั้นให้ดีมากกว่านี้ วันนี้เขาก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจอยู่อย่างนี้ ไม่มานั่งเจ็บใจเพราะความเลวของตัวเองแบบนี้....
ตอนนี้ต่อให้มีเวลามากแค่ไหน มันก็ไม่พอสำหรับเขา ชานยอลไปแล้ว ชานยอลไม่รักเขาอีกแล้ว เขากลายเป็นคนแปลกหน้า เป็นตัวอันตรายที่น่ารังเกียจไปแล้ว ต่อให้เขาตะโกนว่ารัก บอกสิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมดออกไป ร่างโปร่งก็คงไม่อยากฟังมันอีกแล้ว คำบอกรักที่ช้าไป มันก็ไม่ต่างอะไรจากคำพูดที่ไร้ค่าคำหนึ่ง....
เมื่อโลกมีคำว่าสาย เมื่อคนเลวไม่มีโอกาสแก้ตัว คนอย่างเขา ก็คงต้องทุกข์ทรมานในความทรงจำต่อไป ความผิดพลาดทุกอย่างตอกย้ำหัวใจของเขาว่าทั้งหมด.........เกิดจากความโง่ของ เขาคนเดียว.....เท่านั้น.....
มือใหญ่กำมือตัวเองแน่นขึ้น เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากปากแผลไม่หยุด พิษจากบาดแผลแล่นไปทั่วร่าง ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียจนน่าหวั่นว่าร่างนี้อาจทนไม่ไหว คริสปล่อยให้เลือดไหลอยู่อย่างนั้น ไม่คิดจะห้ามเลือดสักนิด นาทีนี้เขาเจ็บปวดเกินกว่าจะสนใจร่างกายตัวเอง.....
คริสปล่อยให้ความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจทรมานเขาอยู่อย่างนั้น จมดิ่งตัวเองลงสู่ก้นบึ้งของรอยแผลแห่งอดีต ปิดกั้นสมองออกจากโลกภายนอก ขังตัวเองอยู่ในโลกแห่งความทรงจำของเขากับชานยอล.......
โลกที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของชานยอล
โลกที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดของเขา
โลกที่อยากจะผลักไสออกไปให้ไกล
แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งเดียว......ที่ชานยอลเหลือไว้
--------------------------------------------
อีกฟากหนึ่งของคฤหาสถ์ ลู่ฮานกับเซฮุนกำลังนั่งถกเถียงกันด้วยหัวข้อเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง ร่างเล็กพยายามจะอธิบายถึงเหตุผลตัวเอง ในขณะที่เซฮุนก็งัดเหตุผลของเขาขึ้นมาหักล้างเช่นกัน....
“จะให้ผมช่วยไอ้บ้านั่นน่ะนะ ไม่มีทาง”
“เซฮุน.......คริสไม่เคยเศร้าแบบนี้ คริสรักชานยอลจริงๆ”
“รักหรอ!!! สาบานทีว่าที่ทำร้ายไปนั่นคือคนรักกันเขาทำกัน!!!”
“นิสัยคริส เวลาโมโหแล้วเป็นอย่างนั้น คิดว่าคริสมันอยากเป็นมากนักรึไง”
“นั่นมันปัญหาของเขา แต่ผมไม่เห็นด้วยที่จะช่วยเขา ตอนนี้พี่ชานยอลก็มีความสุขดี ผมจะไม่ให้เขากลับไปเจออะไรแบบนี้อีกแล้ว!!!”
“เซฮุน แล้วนายจะยอมให้คริสทรมานตายอย่างนี้น่ะหรอ”
“แล้ว ไง ก็สมควรแล้วนี่ ยังไงมันก็แค่คนเลวคนหนึ่ง ไม่จำเป็นที่ผมต้องช่วยเขา” ลู่ฮานหลับตา สูดลมหายใจลึกๆ พยายามข่มอารมณ์โกรธของตัวเอง ก่อนจะค่อยๆพูดต่อช้าๆ
“...........เขาไม่ใช่คนเลวอย่างที่ใครเข้าใจ เซฮุน คริสไม่ใช่คนร้าย.......”
“แล้วยังไง”
“ไม่ มีใครเลวมาตั้งแต่เกิดหรอกเซฮุน......นายไม่เคยสงสัยหรอ ทำไมคริสถึงได้ขี้โมโหแค่เรื่องที่เกี่ยวกับชานยอลเท่านั้น.......นายพูด จากวนประสาทเขาแค่ไหน ไม่เห็นเขาจะอาละวาดใส่เลย ทั้งๆที่คนโมโหร้ายแบบนั้นน่าจะถล่มนายไปแล้ว.....”
“แล้วยังไง”
“ที่ เป็นอย่างนั้น เพราะชานยอลคือสิ่งเดียวที่เป็นของของคริส ตั้งแต่เกิด คริสไม่เคยมีอะไรเป็นของตัวเอง แม้กระทั่งแม่.........แม่ตายเพราะคลอดคริส พ่อของคริสรักแม่มาก ท่านเกลียดลูกในไส้ของตัวเอง โทษว่าที่เธอตายเป็นเพราะคริส เป็นนายนายจะรู้สึกยังไงเซฮุน.........ถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจ ฆ่าแม่ตัวเองตาย แล้วยังต้องมาถูกพ่อแท้ๆเกลียดอีก คริสถูกเลี้ยงขึ้นมา ไม่ต่างอะไรกับแค่ลูกหมาข้างถนนตัวหนึ่ง..........” ลู่ฮานนิ่งเงียบไป นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ยังจำได้ดีถึงความโหดร้ายที่คริสเคยได้รับ
“ แม่ของฉัน.....ต้องแอบเลี้ยงเขามา ตลอดเวลาเราทุกคนในบ้าน พยายามปกป้องเขามาตลอด แต่เราทำได้อย่างมากก็แค่ยืนดูพ่อเขาอาละวาดใส่คริส ทำได้อย่างมากก็แค่กอดปลอบเข้าเอาไว้” แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ภาพวันที่พ่อของคริสอาละวาดมันไม่เคยจางหายไปเลยสักนิด ไม่เคย ไม่เคยเลยสักนิดเดียว....
“แก มันเป็นตัวเสนียด แกไม่สมควรจะเกิดมา แกฆ่าคนที่ฉันรัก!!! แกมันเป็นฆาตกร แกฆ่าแม่ตัวเอง” ชายวัยกลางคน ท่าทางน่าเกรงขามชี้หน้าด่าเด็กน้อยวัยเพียงหกขวบ เด็กผู้ชายคนนั้นยืนนิ่ง หยาดน้ำตาค่อยๆไหลอาบแก้ม.....
“ร้องทำไม!!! ไอ้จัญไร”
“ผม ไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ฆ่าแม่ ฮึก ผมไม่ได้ทำ คุณพ่อ ผมไม่ได้ทำ” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาส่ายไปมา มือเล็กยกขึ้นโบกปัดกลางอากาศ พยายามปฎิเสธว่าเขาไม่ได้ทำ เขาไม่ใช่คนฆ่าแม่ตัวเองตาย.....
“แกไม่ใช่ลูกฉัน!!! ไสหัวไปไกลๆ ฉันไม่อยากเห็นตัวเสนียด รกสายตา คนอย่างแกมันน่าจะตายๆไปซะ”
“ท่านพ่อ…...”
“ออก ไปซะ!!! ใครก็ได้ พาไอ้เสนียดจัญไรนี่ออกไปจากบ้านฉัน!!!” พ่อของคริสทุ่มแจกันใส่บริเวณที่คริสยืนอยู่ เศษกระเบื้องที่แตกกระจัดจาย บางส่วนกระเด็นไปบาดข้อเท้าเล็ก แม่ของลู่ฮานที่เห็นเหตการณ์รีบวิ่งมาหาเด็กน้อยคนนั้น ก่อนจะพาออกไปจากบริเวณนั้น....
“ฮึก คุณน้า ผมไม่ได้ฆ่าแม่ ผมไม่ได้ฆ่า นะ ผมรักแม่ คุณน้า ผมรักแม่ ผมไม่ได้ทำ ฮือ คุณน้าเชื่อผมมั้ย” เสียงลูกพี่ลูกน้องของเขาโวยวายพร้อมกับร้องไห้ออกมา มือเล็กจับชายเสื้อของแม่เขาแน่น ก่อนจะเขย่าไปมา
“ผมไม่ใช่ตัวเสนียด ฮึก คุณน้า ลู่ฮาน ฉันไม่ใช่ตัวเสนียดใช่มั้ย” เขาที่เดินตามหลังแม่มาได้แต่ก้มหน้าสลด
หลังจากนั้นแม่ของเขาก็พาคริสขึ้นห้องนอนไป ตลอดเวลาแม่ของเขาต้องกอดคริสเอาไว้ พยายามปลอบให้หายร้องไห้ คริสเอาแต่พร่ำบอกว่าเขาไม่ได้ทำ ไม่ได้ฆ่าแม่ตัวเอง เขารักแม่ ไม่ได้ทำให้เธอตาย คำพูดซ้ำๆของเด็กวัยเพียงหกขวบตอกย้ำเข้าไปในหัวใจของผู้ใหญ่และเด็กอีกคน แม้เขาจะไม่ได้รับความเจ็บปวดอย่างที่คริสได้ แต่เขาก็พอจะเข้าใจสิ่งที่คริสเจอ แม่ของเขาปลอบคริสอยู่อย่างนั้นจนคริสผล็อยหลับไปในอ้อมกอด มือเรียวของแม่ลูบผมคริสเบาๆสองสามที ก่อนจะค่อยๆคลายอ้อมกอด แล้วลุกขึ้นยืน
“ลู่ฮาน ไปกันเถอะจ๊ะ ให้คริสได้พักเถอะ”
“ผมขออยู่เพื่อนคริสแปบนึงนะฮะแม่ เดี๋ยวผมตามไป”
“ถ้างั้นก็ได้ มีอะไรก็ไปเรียกแม่นะ”
“ครับ” รับคำก่อนจะเดินไปส่งผู้เป็นแม่ที่หน้าประตู วันนั้นลู่ฮานนั่งเป็นเพื่อนคริสสักพัก เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ บอกให้รู้ว่าร่างบนเตียงเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ลู่ฮานตั้งท่าจะลุกขึ้นยืน เตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงละเมอของคริส
“แม่ แม่ครับ แม่ อย่าเพิ่งไป กอดผมไว้นะครับแม่” มือเล็กกอดหมอนข้างแน่น ราวกับหมอนนั้นคือแม่ของเขา...... ลู่ฮานที่ทนเห็นความเศร้านี้ไม่ได้ ตัดสินใจเดินออกจากห้องไป....
อ้อมกอดของแม่เป็นยังไง.......คริสไม่เคยรู้
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมองเพดาน พยายามกั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ก่อนจะหันไปหาเซฮุน
“ครั้งสุดท้ายที่นายกอดแม่......เมื่อไรหรอเซฮุน”
“เอ่อ.........ตอนเกรด9ได้มั้ง ไม่รู้สิ ไม่ชอบถูกกอด”
“หรอ ตอนกอดนายรู้สึกยังไง”
“ก็...ก็ดี ถามทำไม เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เล่า”
“นายรู้มั้ย ว่าคริสไม่เคยรู้ว่ากอดของแม่เป็นยังไง เขาได้แต่กอดหมอน จินตนาการว่านั้นคือแม่......” ลู่ฮานหันมาพูดทั้งน้ำตาเซฮุนถึงกับนิ่งเงียบไป ร่างเล็กหลับตาปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“คริสอยู่โดยไม่มีแม่มาจนอายุสิบห้า ชีวิตของเขาเริ่มดีขึ้น พ่อของเขามีเมียใหม่ เธอสงสารที่คริสไม่มีแม่ เธอคอยแอบเลี้ยงดูคริส เพราะกลัวว่าถ้าพ่อคริสรู้ จะมาลงโทษคริส ช่วงนั้นคริสยิ้มบ่อยมาก ร่าเริงและสดใสขึ้น ช่วงนั้นคงเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของคริสแล้วล่ะมั้ง” ลู่ฮานยิ้มน้อยๆเมื่อนึกถึงวันที่คริสยิ้มแย้มสดใส ก่อนจะค่อยๆหุบยิ้มลง
“แต่....... ความสุขมันมักอยู่กับเราไม่นานใช่มั้ยเซฮุน สมัยนั้น แวมไพร์เริ่มออกอาละวาด มีอยู่คืนหนึ่ง มันบุกเข้ามาในบ้านเรา....... คริสเห็นแม่เลี้ยงกับพ่อตัวเองถูกมันฆ่าตายต่อหน้าต่อตา เขาช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้เลย .......” ร่างเล็กลับตานิ่ง ภาพวันนั้นฉายเข้ามาในหัวอีกครั้ง......
บรรยากาศตอนกลางคืนของวันนั้นมีกลิ่นไอน่ากลัวแปลกๆ เสียงสุนัขหอนดังแว่วมาแต่ไกลให้ได้ยิน สายลมเย็นๆพัดเอื่อยมาต้องผิวกายของลู่ฮานที่เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง ร่างเล็กหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง ก่อนจะรีบเดินเข้าบ้าน ขาเล็กพาร่างของเจ้าของวิ่งขึ้นห้องตัวเองไป รีบอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมที่จะเข้านอน จังหวะนั้นเองขณะที่เขากำลังจะล้มตัวลงนอน จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงหวีดร้อง โหยหวนดังมาจากห้องของพ่อคริส ลู่ฮานรีบวิ่งออกจากห้องมาดู เมื่อมาถึงเขาก็เห็นคริสยืนนิ่งมองอะไรบางอย่างในห้อง เขารีบไล่สายตา มองตามไป ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฎทำเอาหัวใจเขาหล่นวาบ
แวมไพร์สองตัวกำลังสูบเลือดจากตัวพ่อคริสและแม่เลี้ยง ดวงตาของพวกท่านทั้งสองเบิกโพล่ง ตาดำหลุบเข้าไปในเบ้าตาเหลือเพียงแต่ตาขาวโผล่ออกมา ร่างกายที่เคยมีเลือดเนื้อ ค่อยๆแห้งเหี่ยวเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น แวมไพร์สองตัวนั้นหันมามองคริสกับลู่ฮานช้าๆ ก่อนจะแสยะยิ้มให้
“เลือด ของพ่อแม่พวกแก อร่อยดีนะ หึหึ” มันค่อยๆใช้นิ้วซีดๆของมันเช็ดเลือดออกจากมุมปาก ก่อนจะค่อยๆหายตัวไป ทิ้งซากศพและความโกรธแค้นเอาไว้ให้กับคริส....
ร่างที่ยืนอยู่ข้างหน้าของเขา โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว ดวงตาคมจ้องเขม็งไปที่ที่แวมไพร์ทั้งสองเคยยืนอยู่.....หยาดน้ำใสค่อยๆไหล ออกมาจากดวงตานั้น
“พ่อ แม่” คริสค่อยๆเดินเข้าไปหาศพของทั้งสองช้าๆ มือใหญ่ยกขึ้นมากลางอากาศ ราวกับต้องการจะไขว่คว้าหาคนที่ตายไปแล้วให้ตื่นขึ้นมา
ร่างของคริสทรุดลงตรงหน้าศพทั้งสอง ก่อนจะคว้าพวกเขาเข้ามาในอ้อมกอด ออกแรงเขย่า พยายามปลุกให้ทั้งสองตื่นแต่มันก็เปล่าประโยชน์.....
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ตื่นสิ ตื่นสิ” มีเพียงความเงียบตอบกลับเขามาเท่านั้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่!!!!” คริสตะโกนเรียกเสียงดัง แต่พวกท่านก็ไม่ฟื้นขึ้นมา........อีกเลย
“.............. หลังจากเหตุการณ์นั้น ทั้งบ้านก็เหลือกันอยู่แค่ ฉัน คริส พ่อและแม่ฉัน คริสกลายเป็นคนเย็นชา ไม่ร้องไห้ ไม่ยิ้ม อย่างเดียวที่สนใจคือแวมไพร์ เขาเกลียดมันยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น เกลียดจนเข้ากระดูกดำ เขาบอกกับฉันเสมอว่าถ้าเจอมันเมื่อไร เขาจะฆ่ามันให้ตายด้วยมือของเขา แต่แล้วพระเจ้าก็เล่นตลกกับความรู้สึกของเขา........เซฮุน นายจะรู้สึกยังไง ถ้านายต้องกลายเป็นสิ่งที่นายเกลียด”
“ก็คงรู้สึกไม่ดี มาก ตายซะยังจะดีกว่า ที่ถามนี่หมายความว่าไง คุณคริส กลายเป็น…..” ลู่ฮานพยักหน้ารับช้าๆ
“ใช่ คริสถูกทำให้เป็นแวมไพร์ วันนั้นเขามีเรื่องกับพวกวัยรุ่น สภาพปางตาย แวมไพร์ตัวหนึ่งเห็นเข้า เลยช่วยคริสเอาไว้ ด้วยการเปลี่ยนเขาเป็นแวมไพร์....... แวมไพร์คือสิ่งที่คริสเกลียดที่สุด แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาเป็นเสียเอง ตอนแรกคริสไม่ยอมกินเลือด ไม่ยอมพบปะผู้คน แม้กระทั่งครอบครัวของเรา เราที่แอบดูแลเขาอยู่ห่างๆช่วยอะไรไม่ได้มาก ร่างกายของคริสค่อยๆสูบผอมลงๆ เรี่ยวแรงจะเดินยังไม่มี จนสุดท้ายพวกเราทนไม่ไหว ต้องให้เขากิน......” น้ำตาคลอหน่วงที่เบ้าตาของลู่ฮาน ความรู้สึกวันที่เขาต้องฝืนใจให้คริสกินเลือดยังติดตรึงอยู่ในใจ ทั้งๆที่รู้ว่าคริสเกลียด ทั้งๆที่รู้ว่าทำแล้วคริสจะโกรธ แต่เขาก็ต้องทำ เขาทนเห้นญาติตัวเองตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้.....
“ คริสรู้สึกแย่มากที่ต้องกินเลือด มันเหมือนกับเรากินพวกเดียวกันเอง มันน่าสะอิดสะเอียน ฉันเข้าใจคริสดี เพราะฉันก็เคยผ่านมันมาเหมือนกัน ครั้งแรกที่กินเลือดมนุษย์ไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่นายเข้าใจหรอก เรารู้สึกผิด ผิดมาก แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่กิน เราก็ตาย ........” ลู่ฮานนิ่งเงียบไป เงียบเสียจนเซฮุนร้องทักขึ้น
“เล่าต่อสิ แล้วนายเป็นแวมไพร์ได้ยังไง”
“ฉันเคยป่วยหนัก รักษาไม่หาย พ่อแม่ขอให้คริสช่วย นั้นล่ะจุดเริ่มต้นของความทรมานในการเป็นแวมไพร์ เราสองคนต้องทนเห็นคนที่รักเราตายไปทีละคน ทีละคน เริ่มแรกก็พ่อของฉัน จากนั้นก็แม่ของฉัน ท่านทั้งสองสำคัญกับพวกเรามาก ทรมานนะที่เราทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนดูพวกเขาตายไปทีละคน ทีละคน”
“ทำไม ไม่เปลี่ยนให้กลายเป้นแวมไพร์ล่ะ”
“เซฮุน การเป็นแวมไพร์มันทรมาน เราไม่มีวันทำให้คนที่เรารักเป็นเหมือนกับเรา ที่นายฟังมาทั้งหมด มันก็แย่มากแล้วใช่มั้ย แต่นั่นไม่แย่ที่สุดหรอก” ลู่ฮานหันมายิ้มเศร้าให้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยต่อ
“หลังจากคริสเป็นแวมไพร์ ไม่นานคนที่รู้จักก็เริ่มรู้เรื่องนี้ พวกเขาพากันเกลียดคริส ทำร้าย และด่าทอ ทำทุกวิถีทางเพื่อจะกำจัดคริสออกไป ทั้งๆที่เมื่อก่อนคริสก็เคยให้ความช่วยเหลือคนพวกนี้ นี่คือสาเหตว่าทำไมคริสที่เกลียดมนุษย์นักหนา แต่ต่อให้เขาจะโกรธเกลียดแค่ไหน เขาก็ไม่เคยทำร้ายคนพวกนั้นก่อนเลยสักครั้ง คริสตัดสินใจหนีผู้คนมากมายมาหลบอยู่ในที่ที่ห่างไกล แต่ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ......... คริสดันไปกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเอ็นดูคริสเพราะความสงสาร ทำให้คริสคิดว่านั่นคือรัก นายเข้าใจคริสมั้ยเซฮุน ตั้งแต่เกิด เขาไม่เคยได้รับความรักจากใครเลย ไม่แปลกที่เขาจะคิดว่านี่คือความรัก คริสพยายามจะยึดเธอไว้เป็นที่พึ่งจิตใจที่อ่อนแอของตัวเอง เขาตัดสินใจขอเธอทำพันธสัญญา แต่นั่นแหละ เธอไม่ยอมอยู่แล้ว เพราะอะไรรู้มั้ย”
“กลัวการเป็นอมตะหรอ.......”
“แบบ นั้นอาจจะดีกว่า แต่เธอคนนั้นไปรักกับคนอื่น ตอนคริสรู้ เขาโกรธมากเลยล่ะ แทบจะอาละวาดใส่ผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ แต่เธอคนนั้นกลับร้องไห้ ปกป้องผู้้ชายอีกคน พร่ำบอกว่ารักกันปานจะกลืน หึ” ลู่ฮานนิ่งเงียบไป ก่อนจะหันหน้ามาสบตากับเซฮุน
“ทำไม เขาจะต้องสูญเสียทุกๆอย่างที่เป็นของตัวเองด้วยเซฮุน เขาเสียแม่ให้กับสวรรค์ เสียพ่อกับแม่เลี้ยงให้กับแวมไพร์ เสียที่พึ่งทางจิตใจให้กับมนุษย์คนอื่น นายเข้าใจความเจ็บปวดของคริสมั้ยเซฮุน” ลู่ฮานนึกถึงวันที่คริสสูญเสียทุกๆอย่าง วันนั้นคริสไม่ทำอะไรเลย เอาแต่เก็บตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ออกมาหาใคร กาลเวลา และรอยแผลในอดีตค่อยๆกัดกร่อนทำให้เขากลายเป็นคนเย็นชามากขึ้นทีละนิด ทีละนิด คริสสร้างเกราะป้องกันหัวใจอันอ่อนแอของตัวเองขึ้นมา ภายนอกดูแข็งแกร่ง หากแต่เมื่อมองให้ลึกลงไป จะเห็นว่าคริสเป็นแค่คนอ่อนแอ ต้องการใครมาดูแลแค่สักคนหนึ่ง
“เคย สงสัยมั้ยล่ะทำไมคริสถึงจับชานยอลทำพันธสัญญาตั้งแต่แรกๆ โดยที่ไม่ถามเลย เพราะคงกลัวว่าจะถูกปฎิเสธ คริสรักชานยอลมาก เขาไม่อยากจะเสียเด็กคนนั้นให้กับความตายหรือมนุษย์คนอื่น”
“............” เซฮุนได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้ลู่ฮานพูดต่อ
“คน ที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เคยมีอะไรเป็นของตัวเอง พอได้มาเขาก็ยิ่งรัก ยิ่งหวง ยิ่งไม่อยากให้ใครแตะต้อง แล้วที่เห็นว่าชอบโมโห ชอบอาละวาดนั้น ถามจริงๆ เคยเห็นอาละวาดเรื่องอื่นมั้ย นอกจากเรื่องของชานยอล” ลู่ฮานเหลือบตามามองเซฮุน ร่างขาวนิ่งเงียบไป ก่อนจะเอ่ยตอบเบาๆ
“ไม่เคย”
“อืม นิสัยเขาเป็นอย่างนั้น หึงหวงแล้วจะอาละวาด ที่ผ่านมาเขาก็คอยห่วงชานยอลมาตลอด แต่ไม่ได้แสดงออกให้เห็นก็แค่นั้น .................นายเข้าใจคริสนะ นายจะยอมช่วยเขาได้มั้ย” เซฮุนนิ่งเงียบไป กว่าจะตอบได้ก็เล่นเอาลู่ฮานใจหาย
“..........ช่วย.....ก็ได้ แต่ไม่รับรองผลนะ”
“ต้องงี้สิ เด็กดื้อของฉัน” ลู่ฮานยิ้มกว้าง เซฮุนกรอกตาไปมาสองสามทีก่อนจะหันมามองหน้าอีกฝ่าย
“ช่วยไปงั้นแหละ”
“ปากแข็งจริงๆ เซฮุน ช่วยคิดสิ่ จะทำไงให้เขาได้อยู่ด้วยกันอีก” ร่างขาวทำหน้าครุ่นคิดถึงแผนการสักพัก ก่อนจะกระซิบตอบลู่ฮาน
“ได้ เวลาสนุกแล้วสิ” ลู่ฮานพูดก่อนจะดึงเซฮุนออกจากห้องไป เพื่อทำตามแผนที่วางไว้ ใบหน้าของร่างเล็กคลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตอนที่คริสกับชานยอลได้อยู่ด้วย กันอีกครั้ง.....
...............................................................
ร่างโปร่งของชานยอลเดินหันซ้ายหันขวา มองหาเพื่อนๆ และคนอื่นๆในบ้านอยู่นาน แต่ก็ไม่พบใครเลย ทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมพัดหวิว และเสียงกิ่งไม้ใบหญ้าที่ลู่ไปตามลม ขาเรียวพาร่างของเจ้าของเดินขึ้นๆลงๆรอบบ้านอีกสองสามที แต่ก็ไม่พบใครเลยสักคน จึงตัดสินใจจะเดินกลับไปพักที่ห้องของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นลู่ฮานจู่ๆก็โผล่ ยืนขวางทางตรงหน้า
“คุณลู่ฮาน! มาตั้งแต่เมื่อไร ผมตกใจหมด”
“โทษ ทีๆ พอดีฉันรีบ ชานยอลเดี๋ยวฉันกับคนอื่นๆจะออกไปข้างนอกนะ ไปทำธุระนิดหน่อย วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลย จื้อเทาก็ไม่อยู่ มีนัดอะไรของเขานี่ละ ฉันฝากนายดูแลคริสหน่อยนะ ทำแผลใหม่ให้เขาด้วยล่ะ ฝากดูทีนะ ฉันต้องไปละ แล้วจะซื้อของมาฝาก” รีบพูด แล้วก็รีบหายตัวไป ชานยอลไม่ทันจะตอบอะไรเลยด้วยซ้ำ ร่างโปร่งเกาหัวแกรกๆ งงงวยกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่น้อย จู่ๆทั้งบ้านจะนัดมีธุระพร้อมกันเนี่ยนะ มันไม่ดูบังเอิญไปหน่อยหรอ ชานยอลส่ายศรีษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปที่ห้องของตัวเอง
“เรื่องไรที่เราจะต้องดูแลตัวอันตรายนั่น” ร่างโปร่งพูดเบาๆกับตัวเอง มือเรียวยกขึ้นบิดลูกบิดประตู....
“เฮ้ย ทำไมล็อกอะ” ออกแรงบิดอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม
“งี้แล้วจะไปอยู่ไหนวะเนี่ย” เบ้ปากไม่สบอารมณ์ ก่อนจะทรุดนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยากหน้าห้องตัวเอง
“ขอ ให้ไอ้ตัวอันตรายนั่นตายอยู่ในห้อง ไม่ต้องออกมาเจอกันเลยนะ ฮึ่ย ทำไมต้องมาเข้าห้องไม่ได้ตอนนี้ด้วยวะเนี่ย แย่จริงๆ” ไม่บ่นเปล่า มือเรียวยังทุบประตูเป็นการลงโทษที่มันไม่ยอมเปิดให้เขาเข้าอีกสองสามที และผลที่ได้ก็คือ.......
“โอ่ย เจ็บ”
.........................................................
กลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังถกเถียงกันอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโซลด้วยน้ำเสียงที่.........อย่างน้อยถ้าคุณเดินผ่าน คนกลุ่มนี้ คุณก็ต้องเหลียวหลังมองพวกเขาอีกสักรอบสองรอบ บางทีอาจถึงขั้นหยุดฟังได้เลยทีเดียว.....
“แผนนี้จะเวิร์คหรอวะ”
“เวิร์คดิไอ้ไค ฉันเป็นคนคิดเลยนะเว่ย”
“ถามจริงเหอะว่ะ ไอ้เซฮุน นายเคยวางแผนอะไรแล้วมันสำเร็จด้วยหรอ”
“อย่างน้อยก็ไม่เคยนิ่งแบบนายล่ะวะ”
“เลิกทะเลาะกันน่า แล้วนี่ทุกคนทำที่วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วแน่นะ” ลู่ฮานคนที่ดูจะมีเหตุผลมากที่สุดเอ่ยขึ้น
“ระดับนี้ ไม่พลาดอยู่แล้ว” ร่างขาวยักคิ้วกลับมา
แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Sat Dec 15, 2012 10:39 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง