0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

โอปปาติกะ6

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

1โอปปาติกะ6 Empty โอปปาติกะ6 Sun Oct 12, 2014 4:23 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

“ไค…”อี้ฟานเรียกอีกฝ่ายด้วยความพรั่นพรึง เขามั่นใจว่าสิ่งที่ได้ยินมันมาจากเด็กคนนี้ เพราะรอบข้างตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย แต่……..เขาจะได้ยินมันได้ยังไงล่ะในเมื่ออีกฝ่ายพูดไม่ได้



ผมถ่ายทอดสิ่งที่คิดผ่านการสัมผัสได้…      


เสียงของไคยังคงดังก้องอยู่ในหัว ร่างสูงมองตามฝ่ามือที่สัมผัสกันก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย



“นั่นคือความพิเศษของนายหรอ……รู้อนาคตและ..ส่งต่อความคิด”



ไม่ใช่….ผมรู้อนาคต อดีตของคนอื่น และส่งต่อความคิดได้จากการสัมผัส



“ทำไมที่ผ่านมานายไม่ใช้วิธีนี้แทนการเขียน”อี้ฟานเอ่ยถามด้วยความสงสัย เสียงของไคเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะดังขึ้น



…มันมีข้อจำกัด…..


“ทำ…”ร่างสูงเอ่ยถาม แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่หม่นหมองลงไปของไคเขาก็เลิกที่จะอยากรู้ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปสู่ความตั้งใจแรกแทน



“ทำไมนายถึงพูดไม่ได้…” อีกคนเงียบไปก่อนจะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มหากแต่แววตากลับดูเศร้าสร้อย


มันคือบทลงโทษ…. บทลงโทษของคนบาปอย่างผม…


“นายอยากเล่าให้ฉันฟังมั้ย” คนถูกถามผละมือออกไป สีหน้าหม่นหมองยิ่งกว่าที่เคย อี้ฟานถอดใจจะไม่ซักไซ้ต่อ แต่อีกฝ่ายกลับเอื้อมมือมาแตะมือเขา แล้วภาพความทรงจำของไคก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นในความคิดของเขาราวกับเขาเป็นคนกระทำทุกอย่างขึ้นมาเองทั้งหมด…



          เขากำลังมองบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเนินถนนที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามเกาหลี การตกแต่งบ้านหลังนี้ดูอบอุ่นน่าอยู่ผิดกับบ้านหลังอื่นๆ  ที่รั้วบ้านมีแปลงดอกไม้หลากสีสัน หมู่ผีเสื้อและผึ้งตัวน้อยๆต่างบินโฉบดูดน้ำหวานกันอย่างร่าเริง ตรงประตูบานเหล็กๆมีตู้รับจดหมายที่เจ้าของบ้านน่าจะเป็นคนทำเองแขวนอยู่ เหนือขึ้นไปมีแผ่นไม้ขนาดกลางเขียนข้อความบางอย่างติดไว้…



บ้านตระกูลคิม



“บ้านนายหรอ” อี้ฟานถามขึ้นในความคิด ไคที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังจะพยักหน้ารับ แต่เสียงหนึ่งดันดังขึ้นขัดเสียก่อน


“แม่!!!! เนคไทผมอยู่ไหน!!  แม่!! แม่!!”เสียงที่ฟังดูคล้ายไคดังออกมาตัวบ้าน เด็กหนุ่มกำลังวิ่งวุ่นหาของอยู่บนชั้นสอง ในขณะที่ผู้เป็นแม่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ชั้นล่าง


“ก็อยู่ตรงลิ้นชักแรกไงไค หาเจอมั้ย” เกิดเสียงดังตึงตังจากด้านบน ก่อนที่เสียงปิดประตูดังปังจะดังขึ้น พร้อมกับไคที่วิ่งลงมาข้างล่างด้วยสีหน้าหงุดหงิด


“ผมบอกแม่กี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องมายุ่งกับตู้เสื้อผ้าของผม แม่มาจัดแบบนี้แล้วผมจะหาของผมเจอได้ยังไง” ลูกชายบอกอย่างหัวเสีย ก่อนจะตรงไปคว้ากระเป๋าโดยไม่ทันมองเลยว่าเกือบจะทำให้แม่เซล้มตกบันใดลงมา  อี้ฟานมองไคในโลกความจริงด้วยสายตาฉงน สื่อความหมายถามว่า นายทำอย่างนี้จริงๆน่ะหรอ นายเคยเป็นคนแบบนี้มาก่อนน่ะหรอ เด็กหนุ่มส่งยิ้มเศร้า ก่อนที่เสียงแม่ของเขาจะดังขึ้น


“ก็แม่เห็นว่ามันรก ลูกเองก็ไม่ค่อยมีเวลา แม่ก็เลย..”


“วันหลังแม่ไม่ต้องทำแบบนี้อีกนะ ผมโตแล้วผมจัดการเองได้ ” ไคพูดแทรก พร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน


“ไค! ไค เดี๋ยวสิ! ไม่กินข้าวเช้าก่อนหรอ!!” เสียงของแม่ดังขึ้น


“แม่อยากจะกินแม่ก็กินไปเถอะ!!!” ลูกชายแท้ๆตอบกลับมาก่อนจะเดินหายออกไป ทิ้งให้แม่มองเขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย ก่อนจะฉีกยิ้มเศร้าๆ แล้วปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไร ลูกคงโตแล้ว บางทีอาจจะไม่ต้องการรับการใส่ใจอะไรมากเท่านี้อีกแล้ว…



บาปของผมคือการด่าพ่อแม่… เสียงของไคดังขึ้นในความคิดของอี้ฟาน



ผมเบื่อ ผมรำคาญ ผมอยากให้ท่านเลิกทำตัววุ่นวายกับผมสักที และยิ่งนับวันบาปที่ผมทำก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…..




       แล้วภาพก็ค่อยๆถูกแทนที่ด้วยไคที่กำลังนั่งอยู่บนรถเมล์สายหนึ่ง นาฬิกาที่อยู่ข้างหน้าบ่งบอกว่าตอนนี้เกือบจะห้าทุ่มแล้ว ร่างสูงนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี ก่อนที่เขาจะละสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ที่คุ้นเคยพาดผ่านไปด้วยความเร็ว ไคค่อยๆเตรียมตัวลง ร่างสูงเดินไปที่ประตูรถอย่างไม่รีบร้อน สองมือยังกดมือถือแชทกับเพื่อนไป ก่อนจะเดินลงไปเมื่อประตูรถเปิดออก



     สองขายาวเดินเอื่อยไปตามทางเดินเข้าซอยบ้านที่มืดมิด บ้านหลายหลังเริ่มเข้านอนกันหมดแล้ว  ไฟเริ่มถูกปิดลงตามบ้านแต่ละหลัง จนตอนนี้ทั้งซอยมีเพียงบ้านหลังเดียวที่ยังคงสว่างโล่ท้าทายความมืดของรัตติกาลอยู่



“ยังไม่นอนอีกหรอวะ” ไคสบถเมื่อยืนอยู่หน้าบ้าน นี่ห้าทุ่มกว่าแล้ว แม่เขาควรจะนอนได้แล้ว



เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ตอนนี้เขาเหนื่อย แล้วเขาอยากจะนอนพักมากแล้ว มือใหญ่เอื้อมไปไขประตูบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไป ทันทีที่เท้าเหยียบเข้ามา เสียงแม่ก็ดังขึ้นทันที


“ทำไมกลับบ้านดึกอย่างนี้ นี่ไปเถลไถลที่ไหนมา!!!” ผู้เป็นแม่ที่นั่งรออยู่พูดขึ้นด้วยความโกรธจัด ไคกลอกตาก่อนจะพูด


“ไปเที่ยวกับเพื่อนมา”


“แล้วทำไมกลับดึกขนาดนี้ไค! นี่มันกี่โมงแล้ว จะเที่ยงคืนอยู่แล้วนะ!!!”


“ผมโตแล้วนะแม่ แค่นี้ทำไมจะกลับเองไม่ได้!!” ไคพูดอย่างหัวเสีย  เขาเบื่อ เบื่อที่ต้องเจอแม่บ่นเรื่องเดิมๆ ทำเหมือนเขาเป็นเด็ก ห่วงนู่นห่วงนี่ไม่เข้าท่า


“แม่รู้แต่เดี๋ยวนี้มันมีข่าวดักปล้นกันเยอะแยะ ถ้าเกิดมันมาทำร้ายเราขึ้นมา แม่จะทำยังไง!!!”


“โอ๊ยแม่!!! แม่เลิกดูข่าวสักทีเหอะ มันไม่มาทำอะไรผมหรอก  เลิกฟุ้งซ่านสักที”


“ไค ทำไมลูกพูดจาแบบนี้ แม่เตือนเพราะแม่เป็นห่วง ”ไคกลอกตาไปทางอื่นก่อนจะพึมพำเบาๆ


“บางทีผมก็อยากจะเกิดเป็นลูกของคนอื่นเหมือนกันนั่นล่ะ” คำพูดเสียงเบา แต่มันกลับดังก้อง และบาดลึกลงไปในจิตใจของผู้เป็นแม่ เธอชะงักค้าง มองลูกของเธออย่างตกตะลึง ลูกชายแท้ๆที่เธอเฝ้าเพียรดูแลมาตั้งแต่อยู่ในท้อง ลูกชายแท้ๆที่เธอเลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก กลับมาพูดจาอย่างนี้ใส่เธอน่ะหรือ… ทำไม ทำไม ทำไมถึงได้โหดร้ายกับคนที่ให้เขาได้แม้กระทั่งชีวิตอย่างนี้


“เงียบทำไม ไม่บ่นต่อแล้วหรอ”  ไคพูดอย่างรำคาญ แต่ผู้เป็นแม่กลับยังคงนิ่งเฉย


“นี่จะไม่บ่นอะไรแล้วใช่มั้ย จะได้ไปนอน”เขาบอกก่อนจะคว้ากระเป๋า แล้วบ่นพึมพำเบาๆ


“น่ารำคาญจริงๆ” เสียงนั้นบางเบา แต่ความหมายของมันกลับทารุณจนบีบอัดให้หัวใจของคนฟังแหลกสลาย เธอมองดู
ลูกชายเดินหายลับตาขึ้นไปชั้นสอง พร้อมกับเสียงปิดประตูดังปังดังขึ้น ร่างของเธอทรุดฮวบลงกับโซฟา หยดน้ำตาร่วงเผาะอย่างห้ามไม่อยู่



    กว่าหลายชั่วโมงที่เธอนั่งรอลูกชาย
กว่าหลายนาทีที่เธอต้องทนทุกข์
กว่าหลายวินาทีที่เธอต้องร้อนรน
ทุกอย่างทำไปเพื่อ…....แม่มันน่ารำคาญ



   เธอเจ็บ…เจ็บเสียยิ่งกว่าโดนคนทั้งโลกด่า เจ็บเสียยิ่งกว่าโดนคนรักตวาด เจ็บเสียยิ่งกว่าถูกคนที่ไว้ใจตอกหน้า เพราะคนที่ว่าเธอเมื่อกี้นั่นคือแก้วตาดวงใจของเธอ แก้วตาดวงใจที่เธอบ่มเพาะเลี้ยงดูมากว่าหลายหมื่นหลายแสนชั่วโมง ตั้งแต่ยังเป็นก้อนเลือดในท้อง ตั้งแต่เท้ายังเท่าฝาหอย ตั้งแต่เด็กน้อยที่ยังบอกรักเธอสุดหัวใจ  แต่ทุกอย่างที่เธอทำกลับถูกทำลายลงด้วยหนึ่งวินาทีเดียวของคำพูดที่ไม่คิดเสียก่อนของลูกชาย…



“ไม่อยากเป็นลูกแม่งั้นหรอ….” เธอพูดเสียงเศร้า เธอรู้ รู้ว่าสำหรับไค เธออาจจะเป็นแม่ที่แย่ที่สุด ไม่ได้เรื่องมากที่สุด ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจมากที่สุด แต่สำหรับเธอ ไคคือลูกที่ดีที่สุด  ประเสริฐที่สุด และมีค่ามากที่สุด…แม้ว่าเขาจะเพิ่งพูดว่าไม่อยากเป็นลูกของเธอก็ตาม…



          แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆหายไป หนึ่งฉากชีวิตจริงของไคได้จบลงไปแล้ว แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มกลับไม่พูดอะไรเหมือนฉากแรก เขาทำเพียงแค่นั่งหลับตาลง นิ่งเงียบ และจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเอง…



          ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะทนดูความผิดพลาดในอดีตได้โดยไม่รู้สึกอะไร โดยเฉพาะอดีตที่เลวร้ายที่ยิ่งนึกถึงยิ่งตอกย้ำและกดลึกลงไปในรอยแผลที่ไม่เคยสมานสนิท เขาจำได้ทุกอย่าง ภาพที่เขาทำเลวทำชั่วก่อกรรมไว้กับแม่ยังไง ทุกอย่างเหมือนกับคีมเหล็กที่ง้างรอยแผลของเขาให้เปิดกว้างออก แล้วสาดน้ำกรดของความระอายและรู้สึกผิดลงไปในแผลนั้น ก่อนจะบดขยี้มันด้วยการที่เขาย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว…


การรู้สึกผิด ไม่เคยเจ็บปวดเท่า…การที่เราย้อนกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องไม่ได้…


ถ้าผมเลือกได้ ผมจะไม่ทำแบบนั้นกับแม่ เสียงของไคเบาหวิวเสียจนน่าใจหาย อี้ฟานเหลือบมองก่อนจะพูดเสียงเรียบ


“ถ้านายไม่อยากนึกถึงมันอีก ก้ไม่เป็นไรนะ” ไคยิ้มบางๆก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ


“ไม่ ผมอยากให้พี่ดูให้จบ” อี้ฝานไม่มีโอกาสได้แย้งอะไรต่อ ภาพความทรงจำม้วนใหม่ค่อยๆถูกคลี่ออกลงในห้วงคำนึงของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ซอยบ้านของไคเหมือนเดิม บรรยากาศโดยรอบอยู่ตอนค่ำคืน อาจจะสักประมาณสองสามทุ่ม เพราะไฟตามบ้านเรือนยังคงเปิดอยู่ ร่างสันทัดของไคเดินไปตามทางเข้าบ้านด้วยสีหน้าอิดโรย เสื้อนักเรียนสีขาวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ที่ขาแปะแผ่นร้อนไว้สองสามจุด ร่างกายดูเหนื่อยล้าเหมือนถูกออกกำลังมาอย่างหนัก



      มือใหญ่ล้วงเข้าไปหยิบกุญแจบ้าน ก่อนจะไขมันแล้วเดินเข้าไป เด็กหนุ่มทรุดนั่งที่โซฟาอย่างแรง แล้วเปิดพัดลมจ่อหน้าหวังให้คลายความร้อนและเหน็ดเหนื่อย


“วันนี้มีอะไรให้กินบ้างแม่”ประโยคแรกถูกพูดออกมาถามผู้เป็นแม่ หญิงวัยกลางคนรีบเอ่ยตอบ


“แม่ไม่ได้ทำเผื่อ ลูกไม่ได้กินมากับเพื่อนหรอ” ไคชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด ความเหนื่อยทำให้เขาเบื่อที่จะตอบคำถาม


“ไม่ได้กิน ผมหิว แม่ไปทำอะไรให้กินหน่อย”


“จ๊ะๆ ลูกอยากกินอะไร” เด็กหนุ่มเริ่มกลอกตาด้วยความรำคาญ


“อะไรก็ได้ ผมกินได้หมด”


“จ่ะๆ งั้นรออยู่นี่แปบหนึ่งนะ เดี๋ยวแม่ไปทำให้กิน” เธอบอกก่อนจะหายเข้าไปในห้องครัว ไคเร่งพัดลมให้แรงขึ้น ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นระหว่างรอ


                  ตัวเลขของนาฬิกาบนโทรศัพท์ค่อยๆเพิ่มขึ้น จากที่รอห้านาที เริ่มกลายเป็นสิบ ยี่สิบนาที ความหิวและเหนื่อยล้าทวีคูณขึ้นจนทำให้ไคยิ่งหงุดหงิดและโมโห



“แม่ทำอะไรนักหนาวะ เมื่อไรจะเสร็จสักที” เขาพูดอย่างฉุนเฉียว ขณะที่ชะเง้อมองแม่ในห้องครัว


“แม่! จะเสร็จรึยัง ผมหิวแล้ว” เขาตะโกนถาม ผู้เป็นแม่ที่สนใจแต่การทำอาหารสะดุ้งตกใจจนพลาดทำถ้วยหล่นจากมือ ไคมองด้วยสายตาไม่พอใจ แม่รีบกุลีกุจอก้มเก็บ พร้อมกับเอ่ยบอกกับเขา


“จะเสร็จแล้วๆ รอแปบนึงนะ” เธอบอกก่อนจะรีบหันกลับมาทำอาหารให้ไค เด็กหนุ่มพรูลมหายใจอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู จะผ่านไปครึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว เขายังไม่ได้กินข้าวสักคำ



       เด็กหนุ่มนั่งรอต่อไปด้วยความหงุดหงิด น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มออกมาย่อยตัวมันเอง ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกา ก่อนจะสบถด้วยความฉุนเฉียว


“แม่งเมื่อไรจะเสร็จวะ” เขากระแทกของลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะลุกพรวดไปหาแม่ ประจวบเหมาะกับที่หญิงวัยกลางคนเดินถืออาหารออกมาพอดี


“กว่าจะเสร็จ” ไคพูดเสียงเรียบก่อนจะนั่งกระแทกลงบนโต๊ะกินข้าว ผู้เป็นแม่ยกอาหารขึ้นเสิร์ฟให้  ก่อนที่ไคจะรีบตักอาหารเข้าปาก


“แค่ก แค่ก…..โอ๊ยนี่แม่ทำอะไรของแม่เนี่ย!!” เสียงต่อว่าดังออกมาจากปาก พร้อมกับไคที่รีบคายข้าวทิ้ง


“ทำไม ทำไมหรอลูก มันเป็นอะไร”


“เนื้อมันยังไม่สุกเลย!!! ทำแบบนี้แล้วใครจะไปกินได้!!” เขาผลักจานข้าวออกห่างจากตัว ก่อนจะลุกพรวดขึ้น


“แม่ขอโทษๆ แม่ไม่ทันดู เดี๋ยวแม่ไปทำให้ใหม่นะ”


“ไม่ต้องแล้ว!! ไม่กงไม่กินมันแล้ว!!” ไคบอกก่อนจะเดินกระแทกเท้าขึ้นบ้านไปอย่างไม่พอใจ รอมาตั้งนาน หิวจนไส้จะขาด  แต่แม่กลับทำอะไรให้เขากินก็ไม่รู้


“น่ารำคาญ น่ารำคาญจริงๆเลย!!” เด็กหนุ่มสบถอย่างเดือดดาล ทำไมแม่ของเขาน่ารำคาญขนาดนี้!!! แค่ทำเนื้อให้สุกก็ยังทำไม่ได้ วันๆไม่เคยจะทำให้เขาพอใจสักอย่าง!!! เดี๋ยวก็งุ่นง่าน เดี๋ยวก็ขี้บ่น เดี๋ยวก็พูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเขาเกิดมาเป็นลูกของคนแบบนี้ได้ยังไงกัน!!!


“แค่จะเลี้ยงลูกคนเดียวยังเลี้ยงให้สบายไม่ได้ แบบนี้อย่ามาเป็นแม่คนเลยหวะ!!!” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะปิดประตูกระแทกดังปัง



          เสียงประตูที่ปิดดังแว่วมาจากชั้นบนให้คนที่อยู่ชั้นล่างได้ยิน  หญิงวัยกลางคนทรุดนั่งลงกับเก้าอี้อย่างเศร้าสร้อย กี่ครั้งที่ลูกพูดจากร้ายๆใส่ กี่ครั้งที่เธอต้องทนเจ็บอยู่กับคำพูดชั่วร้ายเหล่านั้น แต่ทุกครั้งเธอไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดของลูกชาย เธอคิด คิดอยู่อย่างเดียวว่า เพราะเธอ เพราะเธอดูแลเขาไม่ดีพอ เลี้ยงเขาไม่ดี เขาถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้



“แม่ขอโทษ…” เธอพูดเสียงเบา พร้อมกับมองมือที่แดงก่ำของตัวเอง…



  เมื่อบ่ายเธอถูกน้ำร้อนลวก เมื่อครู่นี้เธอจึงพลิกเนื้อให้สุกไม่ได้….



แล้วภาพนั้นก็ค่อยๆถูกความมืดดูดกลืนไปอย่างช้าๆ อี้ฟานนั่งมองไคที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบเชียบ ไคกำลังร้องไห้อย่างเงียบงัน เขาไม่ได้ฟูมฟาย ไม่ได้พร่ำเพ้อว่าเสียใจ เขาเพียงแต่ปล่อยให้เสียงของความรู้สึกผิดร่ำร้องออกมาผ่านสีหน้าและหยดน้ำตา



เราไม่เคยรู้ความเจ็บปวดของพ่อแม่… ไคพูดขึ้นในความคิดของอี้ฟาน



พ่อแม่ไม่เคยแสดงด้านอ่อนแอให้เราเห็น ท่านอนุญาตให้เรามองได้แค่ด้านที่เข้มแข็ง และเหมือนจะปกป้องเราได้…
ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้เรารู้สึกปลอดภัย สบายใจ และพอใจ…


แม่ผมยอมเจ็บตัวเพราะแค่ผมอยากกินข้าว…


แม่บางคนยอมทำงานหนักขึ้น หรือเอาเงินที่เก็บไว้ออกมาให้ เพราะแค่ลูกบอกว่าอยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่…


แม่บางคนเครียดกับการเงินที่เริ่มขัดสนของบ้าน แต่ท่านยังคงยิ้มและให้เงินค่าขนมกับลูกเหมือนเดิม


แม่บางคนยอมหักเงินของตัวเอง กินน้อยลง ใช้น้อยลง แต่ยังคงให้ลูกเท่าเดิม…


ทุกอย่างที่ผมพูดมา ลูกส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ เราคิดแต่เราอยากได้ เราอยากมี แต่เราไม่เคยคิดว่าพ่อกับแม่ต้องเสียอะไรไปบ้างเพื่อให้เราพึงพอใจ…


“ฉันเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น…”อี้ฟานพูดขึ้นในความเงียบ ไคสบตาเล็กน้อย ปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสักพักก่อนที่เขาจะพูดขึ้นช้าๆ


ผมเองก็เคยเป็น…เป็นมากกว่าที่พี่เคย ที่ลูกๆหลายคนเคย  และความผิดพลาดของผม ก็ไม่เคยมีโอกาสได้กลับไปรู้ตัวหรือรู้สึกผิดอะไรอีก…


แล้วภาพความทรงจำม้วนใหม่ก็ค่อยๆถูกฉายขึ้นอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน ไม่ครุมเครือ ทุกอย่างชัดเจนอยู่ในความคิดของผู้เฝ้ามอง…


“หายไปไหนหมดวะเนี่ย” เสียงของไคดังขึ้น พร้อมที่ภาพทุกอย่างค่อยๆเด่นชัด ร่างสันทัดกำลังง่วนอยู่กับการหาอะไรบางอย่างอยู่ตามลิ้นชัก และกล่องเก็บของภายในห้อง


“ไม่มีเลยหรอวะเนี่ย” เขาบ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมานับซ้ำอีกรอบ


“ไม่พอ” ไคว่าก่อนจะลุกพรวดออกไปจากห้อง สองขายาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาชั้นล่าง ผู้เป็นแม่ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นสบตา


“แม่! ผมขอเงินหน่อย”เด็กหนุ่มร้องบอก ผู้เป็นแม่เหลือบตาดูปฏิทิน


“ไค แม่เพิ่งให้ค่าขนมไปเองนะ ใช้หมดแล้วหรอ”


“แค่นั้นมันจะไปพอยาไส้อะไร! ผมขอเพิ่มอีกห้าแสนวอน”  ไคตวาด คนฟังถึงกับเบิกตาโพล่ง


“ไคนั่นมันเยอะมากเลยนะ!!! ลูกจะเอาไปซื้ออะไร” เด็กนุ่มกลอกตาอย่างหัวเสีย


“ผมจะเอาไปใช้อะไรก็เรื่องของผมเถอะ แม่มีหน้าที่ให้ แม่ก็ให้มาเหอะ”


“แต่เงินนั่นมัน……”


“หรือแม่จะให้ผมไปยื่มคนอื่น”ไคพูดดักคอ ผู้เป็นแม่จำต้องเก็บคำต่อว่าไว้ เธอจำใจเดินเลี่ยงไปหยิบกล่องเก็บเงินออกมา จำนวนเงินที่มีอยู่ในกล่องเหลือน้อยลงมากแล้ว ดวงตาหม่นหมองของเธอมองแบงค์ย่อยและเศษเหรียญในนั้นก่อนจะหันไปหาไค


“แค่สามแสนวอนไม่ได้หรอ ไค”


“แค่นั้นจะไปพออะไร ผมขอห้าแสน!!”ไคตวาดใส่ คนเป็นแม่ทำหน้าหวาดกลัว หยาดน้ำตาพาลจะไหลอยู่รอมร่อ


“แต่แม่ให้ได้เท่านี้จริงๆ”


“ไหนเอามาดูดิ่! มีเท่านี้จริงรึเปล่า!” เขาตะคอกก่อนจะคว้ากล่องเงินไปนับเอง


“ไค!! ไม่ได้นะไค นั่นเงินเก็บของแม่นะ ลูกจะเอาไปไม่ได้”ผู้เป็นแม่พยายามยื้อกล่องกลับคืนมาแต่ถูกอีกฝ่ายกันเอาไว้


“ ทำไมผมจะเอาไปไม่ได้!! ผมเป็นลูกแม่นะ” เขาบอกพร้อมกับหยิบเงินออกมาจากกล่อง


“ไค!! ไค ไม่ได้นะ ขอคืนให้แม่เถอะ!!”ผู้เป็นแม่อ้อนวอน เธอรีบวิ่งตามหลัง ฝ่าเท้าเปล่าๆย้ำลงไปกับพื้นถนนที่ร้อนระอุ


“เดี๋ยวผมเอามาคืนน่า เลิกตามมาสักที!!” เขาบอกอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเริ่มออกวิ่งเร็วขึ้น


“ไค ไค!! แต่นั่นสำคัญกับแม่มากนะ ขอร้องล่ะ คืนให้แม่เถอะ”เธอบอกพร้อมกับรั้งแขนเขาเอาไว้  เด็กหนุ่มหันกลับมาผลักออกอย่างแรง


“น่ารำคาญ!!” เขาสบถออกมา ก่อนจะเริ่มออกวิ่งอีกครั้งโดยทิ้งร่างของแม่ที่ถูกผลักลงกับพื้นจนข้อศอกเลือดไหลไว้ด้านหลัง สองขายาวค่อยๆชะลอความเร็วลงก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังว่าแม่ยังตามมาอยู่ไหม


“เหอะ! เลิกตามได้สักที”


“คุณ!!! ระวัง!!!” ไคหันกลับมาตามเสียงเรียก แต่ทุกอย่างก็ไม่ทันเสียแล้ว รถคันหนึ่งพุ่งมาด้วยความเร็วสูง ก่อนที่มันจะพุ่งชนเข้าอย่างจัง ร่างของไคกระเด็นขึ้นไปในอากาศ  เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วถนน ก่อนจะตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียง


“มีคนถูกรถชน มีคนถูกรถชน!!!” เสียงชาวบ้านแถวนั้นร้องดังโหวกเหวก เจ้าของรถคันนั้นรีบจอดรถแล้ววิ่งลงมาดู ร่างของไคนอนจมกองเลือด กระดูกคอหัก ร่างกายบิดเบี้ยว  ดวงตาเบิกโพล่ง เศษกระจกกรีดที่ปากจนฉีกลึกถึงใบหู มือถูกชิ้นส่วนรถตัดจนเกือบขาด แทบจะทุกอวัยวะที่เคยทำร้ายร่างกายและจิตใจแม่ถูกลงทัณฑ์ ผู้คนที่อยู่แถวนั้นต่างพากันมุงดู บางส่วนพยายามเรียกรถพยาบาล ในขณะที่บางส่วนแค่อยากรู้อยากเห็น


“คนบาปมักจะตายไม่ดี…” จู่ๆเสียงของไคก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ภาพในอดีตค่อยๆเลือนรางลง อี้ฟานพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ


“สภาพฉันตอนตายก็ไม่ดีเท่าไร” อี้ฟานนึกย้อนไปถึงตอนที่เขาตื่นขึ้นมาในร่างโอปปาติกะแล้วมองดูสภาพศพในร่างมนุษย์ของเขาที่ถูกไม้แหลมคมเสียบที่ร่าง


“ผมพอจะเข้าใจ…” ไคตอบรับ ก่อนจะพูดต่อ


“หลังจากที่ผมตายลง สภาพการเป็นโอปปาติกะก็เริ่มต้นขึ้น  และตั้งแต่วินาทีแรกของการเป็นอมนุษย์ ผมก็ถูกลงทัณฑ์จากบาปที่ตัวเองก่อไว้ทันที” คำพูดของไคจางหายไป พร้อมกับภาพความทรงจำที่กลับมาอีกครั้ง



แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Fri Oct 17, 2014 1:58 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง

http://0ctogus.forumth.com

2โอปปาติกะ6 Empty Re: โอปปาติกะ6 Sun Oct 12, 2014 4:24 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

อี้ฟานมองไม่ออกว่าตอนนี้ไคกำลังอยู่ที่ไหน ทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน  เย็นเยียบ และไร้เสียงผู้คน มีเพียงกลิ่นอะไรบางอย่างเท่านั้นที่ลอยโชยมาให้ได้กลิ่น แต่เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วสำหรับอี้ฟาน…



ฟอร์มาลีน
ที่ที่จะมีกลิ่นสารนี้เยอะได้ คงไม่พ้นห้องเก็บศพ…



ไคลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เขาค่อยๆยันตัวลุกขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก ถุงอะไรบางอย่างกำลังห่อหุ้มตัวเขาไว้  ซ้ำร้ายเขายังถูกขังอยู่ในช่องแคบเล็กๆที่จำกัดพื้นที่ในการขยับมากขึ้นไปอีก เด็กหนุ่มพยายามดิ้นหลุดออกจากถุง เขากระแทกตัวเองกับผนังช่องซ้ำๆจนบานประตูมันเปิด ร่างของไคกลิ้งตกลงมา การกระแทกทำให้เขาเจ็บปวดจนอยากร้อง แต่น่าแปลกที่คราวนี้….เขากลับร้องไม่ได้…


“อื้อ!!! อื้อ!!!” ไคพยายามพูด แต่เขากลับพูดไม่ได้ ความรู้สึกคล้ายมีอะไรบางอย่างปิดปากเขาไว้อยู่ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากก่อนที่เขาจะหวีดร้อง


“อื้อ!!! อื้อ!!!!” คำโวยวายของเขาถูกจำกัดอยู่แค่เสียงประท้วงในลำคอ มือที่จับปากตัวเองกลับพบสิ่งแปลกปลอม เหมือนเชือกอะไรบางอย่างกำลังร้อยอยู่ที่ปากของเขา ไครีบทะลึ่งตัวไปหน้าตู้เหล็กที่พอส่องเห็นหน้า  ก่อนที่เขาจะแทบพูดไม่ออกเมื่อเห็นเงาที่สะท้อนในผนัง…



ปากของเขาถูกเย็บ



เชือกสีแดงฉานร้อยสองริมฝีปากให้ติดกันจนอ้าออกไม่ได้ พอพยายามจะอ้าปากหรือแกะมันก็รังแต่จะยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น



“อือ!! อือ!!!” ไคโวยวาย ก่อนที่หางตาของเขาจะเห็นศพที่ถูกเก็บอยู่ในตู้


“อื้อ!!!” เด็กหนุ่มหวีดร้อง นี่มันอะไรกันนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาจำได้ว่าตัวเองกำลังวิ่งหนีแม่อยู่ แล้วจากนั้นทุกอย่างมันก็….



เขา เขา เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่เขาจำเรื่องที่ขอเงินกับแม่ได้  แล้วตอนนี้แม่ของเขาอยู่ไหน ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ และทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้



“อื้อ!!!” จู่ๆไคก็ปวดแปลบที่ศีรษะ ภาพอะไรบางอย่างแวบเข้ามาในหัว แม่ของเขากำลังเดินมาทางนี้กับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ท่านกำลังร้องไห้ และพร่ำเรียกชื่อเขาซ้ำๆ อย่างเสียสติ ก่อนที่ภาพนั้นจะหายไป ไครีบเปิดประตูออกไปจากห้อง แต่ทางเดินตรงหน้ากลับว่างเปล่า ไม่มีแม่เขาเดินมาหา เด็กหนุ่มได้แต่ยืนนิ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้  ขณะนั้นเองที่ไคกำลังสับสน จู่ๆเสียงคนเดินก็ดังมาทางนี้ เด็กหนุ่มยืนนิ่งก่อนที่จะมีมือของใครไม่รู้ดึงเขาเข้าไปหลบที่ซอกตึก


“ชู่ว์ เขาจะเห็นนายไม่ได้!!!” เสียงนั้นดังขึ้น อี้ฟานรู้สึกคุ้นหูแปลกๆ เขาเหลือบตาไปมองชานยอล แต่ยังไม่ทันจะถามอะไร เสียงคนร้องไห้ก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน


“ไค ไค ไค ไคลูกแม่” แม่ของไคร้องคร่ำครวญ เจ้าหน้าที่ที่พามาด้วยต้องช่วยพยุงเธอเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกับพื้น ไคพยายามจะร้องเรียกแม่เอาไว้


“อื้อ! อือ!!!”


“อย่าเสียงดังสิ!!” บุคคลปริศนาขึ้นเสียงก่อนจะรีบปิดปากอีกคนเอาไว้  ไคพยายามดิ้นให้หลุด แต่ภาพที่แม่กำลังยืนอยู่หน้าห้องดับจิตทำให้เขาต้องชะงัก เขาตายไปแล้วหรอ เขาตายไปแล้วจริงๆหรอ บ้า บ้าน่า เขายังอยู่นี่อยู่เลย เขายังมีชีวิต!!!


“ไม่!! ไม่!! ลูกฉันต้องไม่ตาย ลูกฉันต้องไม่ตาย!!!” เธอหวีดร้อง เข้ากอดร่างนั้นไว้แน่น ไคพยายามจะพุ่งเข้าไปหา แต่กลับถูกอีกฝ่ายดึงตัวเอาไว้


“ห้ามเข้าไปเด็ดขาด! นายต้องอยู่นี่!!!”


“ไม่ ไค ไค ลูกฟื้นขึ้นมาสิ ลูกฟื้นขึ้นมา ฟื้นขึ้นมา” แม่ของเขาเขย่าร่างไร้วิญญาณนั้นอย่างแรง  พยายามร้องเรียกให้ร่างนั้นฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง


“อื้อ อื้อ!!!” ไคพยายามส่งเสียง เชือกที่มัดปากรัดแน่นขึ้นจนเลือดเริ่มไหล แต่ความเจ็บปวดไม่อาจหยุดยั้งเขาได้ เขาจะไปหาแม่ เขาจะไปบอกเธอว่าเขายังอยู่


“อือ อือ!!” เด็กหนุ่มพยายามส่งเสียง


“เงียบนะ!!” คนปริศนาคนนั้นยิ่งจับตัวไคไว้แน่นขึ้น เด็กหนุ่มพยายามสะบัดตัวหนี


“อื้อ!! อื้อ! อือ อื่อ!!!” เขาร้อง ก่อนที่จะดิ้นหนีอีกฝ่ายจนหลุด  ประจวบกับที่ผ้าคลุมหน้าศพเลิกขึ้นพอดี…
ไคยืนตัวแข็งทื่อ ความตกใจยึดขาเขาไว้จนเดินต่อไปไม่ได้ ดวงตาของเขาเหมือนถูกตรึงด้วยใบหน้าของศพคนนั้น เขารู้จักศพคนนั้นดี รู้จักดีมากเสียจนน่าตกใจ รู้จักดีเสียจนไม่มีใครเทียบ เพราะว่าศพคนนั้นคือตัวของเขาเอง…


“ม๊ายยยย ไค ไค ไคลูกแม่ ไคตื่นสิลุก ตื่นขึ้นมาสิ ตื่นขึ้นมา!!”ผู้เป็นแม่คร่ำครวญ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามาคุยด้วย


“เขาไปสบายแล้วครับ อย่าห่วงเลย เดี๋ยวรอผมอยู่ตรงนี้สักครู่นะครับ” เขาบอกก่อนจะปล่อยให้เธออยู่กับศพของลูกตามลำพัง หญิงวัยกลางคนลูบใบหน้าของลูกชายอย่างแสนรัก ไม่เคยรังเกียจว่าเป็นศพ หรือมีสภาพน่ากลัวเพียงใด  แววตามองเขาอย่างรักใคร่ ก่อนที่เธอจะปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้น


“ทำไม ทำไมลูกถึงจากแม่ไปเร็วอย่างนี้ ทำไมไค ทำไม” เธอเฝ้าถามประโยคเดิมซ้ำๆ หัวใจของคนเป็นแม่ชอกช้ำ สิ่งล้ำค่าเพียงอย่างเดียวของเธอจากเธอไปแล้ว


“แอ้ แอ้ แอ้!!!” ไคพยายามร้องเรียก เลือดค่อยๆหยดลงพื้น ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่าง


“บอกไปเขาก็ไม่ได้ยินหรอก” ชายปริศนาที่ยังหลบอยู่ที่ซอกตึกพูดขึ้นเบาๆ เด็กหนุ่มมองอย่างไม่เข้า ชายคนนั้นตั้งท่าจะตอบ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก เสียงแม่ของไคก็ดังขึ้นเสียก่อน


“ทำไม ทำไมต้องเป็นลูกของฉัน ทำไมสวรรค์ต้องเอาลูกของฉันไป ทำไม ทำไม!!” เธอร้องห่มร้องไห้ กรีดร้องปานจะขาดใจ ลูกชายคนเดียวของเธอเสียไปแล้ว


“ไคลูก ตื่นขึ้นมาสิ ตื่นขึ้นมา ถ้าลูกกลับมา แม่จะให้ลูกทุกอย่างจะเงินกี่แสน กี่ล้านแม่ก็จะให้ ลูกจะทุบ จะตี จะด่าแม่ยังไงก็ได้ แต่ได้โปรด ฟื้นขึ้นมาเถอะ ฟื้นขึ้นมา” เธอกอดลูกชายไว้แน่น พยายามเขย่าให้เขาตื่นขึ้นมา แต่ทุกอย่างกลับนิ่งเฉย


“สวรรค์ ทำไมไม่เป็นฉัน ทำไมถึงต้องทำกับฉันอย่างนี้ ทำไม ทำไม” ไคยืนนิ่งกับคำพูดของผู้เป็นแม่  แม่รักเขามากขนาดนี้เชียวหรือ รักมากจนยอมให้ทุกอย่าง รักมากจนยอมให้ชีวิตตัวเอง…


“แอ้ แอ้ อือ อื้อ!!” เด็กหนุ่มพยายามเรียกแม่ น้ำตาคลอหน่วงอยู่ที่เบ้า  ในวันนี้เสียงของเขากลับไปไม่ถึงแม่ แต่ในตอนที่มีโอกาสเขากลับไม่เคยพูดดีด้วย


“แอ้ แอ้ แอ้!!” ไคเรียกเธอซ้ำๆ


“ไค ไค ไคลูกแม่” เธอหวีดร้อง ไคพยายามเรียกซ้ำๆ ตบอกตัวเองให้อีกคนสนใจแต่แม่กลับมองไม่เห็นเขาแล้ว


“ทำไมถึงกับฉันอย่างนี้ ทำไม”


“แอ้…” เด็กหนุ่มร้องไห้ พยายามจะเข้าไปกอดแม่ แต่ทันทีที่ปลายนิ้วจะสัมผัส รอยแผลกรีดแทงนับสิบแผลก็กรีดลึกลงบนแขนของเขา


“อื้ออออ!” เขาร้องด้วยความเจ็บปวด เหลือบตาถามชายปริศนา แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเงียบ ไคพยายามจะเข้าไปกอดแม่อีกครั้ง


“แอ้ แอ้ แอ้” เด็กหนุ่มร้อง อยากจะบอกกับเธอเหลือเกินว่า แม่ แม่ แม่ครับ ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ทำให้แม่ต้องเสียใจ ขอโทษที่ทำให้แม่แต่ทุกข์เพราะผมมาตลอด ผมขอโทษ…



 แต่เสียงเหล่านั้นกลับส่งไปไม่ถึงคนฟัง…



      วันนี้เสียงของไคกลายเป็นอากาศธาตุ คำพูดดีๆที่อยากจะพูดกลายเป็นเพียงถ้อยคำไร้ค่าที่ไม่มีผู้ฟัง อ้อมกอดที่อยากจะปลอบโยนกลายเป็นเพียงยาพิษที่แม้แต่จะแตะต้องก็ยังทำไม่ได้  เป็นได้เพียงคนไร้ค่า เป็นได้เพียงคนไร้ประโยชน์ เป็นได้เพียงลูกทรพีที่ไม่มีสิทธิแก้ตัว…


แม่ผมขอโทษ ผมขอโทษ



      เสียงของไคร่ำร้องดังอยู่ในใจ เขานั่งร้องไห้อยู่เคียงข้างแม่ อยากจะกอดอยากจะปลอบก็ทำไม่ได้ ความเสียใจและคำถามมากมายตีรวนเข้ามาในหัวของเขา ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่ทำดีกว่านี้ ทำไมเมื่อก่อนเขาถึงไม่พูดดีๆ ไม่กอดแม่ ไม่รักแม่ให้มากกว่านี้ พอมาวันนี้ทุกอย่างมันก็สายไปแล้ว แม่ไม่รับรู้ถึงแล้ว เขาสัมผัสแม่ไม่ได้อีกแล้ว



        ไคไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งการที่ตัดขาดจากแม่มันจะเป็นเช่นนี้ เขาคิดแต่ว่าถ้าอยู่กันคนละโลกได้ก็คงดี จะได้ไม่ต้องมีคนมาให้รำคาญ  คนมาบ่นจู้จี้ เซ้าซี้น่าเบื่อหน่าย แต่พอวันนี้ที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นกับเขา………มันกลับไม่สนุกเหมือนที่เขาวาดฝันไว้



เขากับแม่อยู่กันคนละโลกโดยสมบูรณ์




         เสียงคร่ำครวญของสองแม่ลูกยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ ไคพยายามเข้าไปกอดแม่ แต่แผลที่กรีดลึกลงบนแขนก็ยิ่งเพิ่มจำนวนและความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเขาฝืนทนไปมากกว่านี้ไม่ไหว เด็กหนุ่มได้แต่นั่งข้างๆ บอกขอโทษ ขอคำให้อภัยกับเธอภายในใจ…


“คุณครับ ไปกันเถอะครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นเอ่ยบอกกับแม่ของไค เธอปาดน้ำตาอย่างลวกๆ ก่อนจะเดินเคียงข้างไปกับศพขณะที่เจ้าที่เข็นเตียงไป ไคตั้งท่าจะเดินตามไป


“นายตามไปไม่ได้หรอก” เสียงชายปริศนาคนนั้นดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับการปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของเขา…อี้ฟานจำได้ทันทีว่าเขาคือใคร



ปาร์คชานยอล



เด็กหนุ่มจ้องมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ แววตาเหมือนอยากจะถามว่าเขาคือใคร



“ฉันคือผู้ชำระแห่งบาป คนที่จะช่วยปลดปล่อยจากสภาพโอปปาติกะของนายให้ทรมานน้อยลง อ้อ แล้วอีกอย่าง ฉันเป็นคนพานายส่งโรงพยาบาลหลังจากที่นายโดนรถชนที่สี่แยก” ไคผละถอยห่าง มองเขาเหมือนเป็นตัวประหลาด ชานยอลขมวดคิ้วก่อนจะเริ่มหากระดาษกับปากกาแล้วส่งให้ไค


“เขียนใส่ในนี้ เราน่าจะคุยกันได้ง่ายกว่า” เด็กหนุ่มมองอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจเขียนข้อความลงไปในนั้นแล้วยื่นให้ชานยอล


“โอปปาติกะคืออะไร”


“อมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากบาปและบุญอย่างฉับพลัน อย่างของนาย นายเกิดมาจากบาปที่ทำ โดยการเกิดของนายถูกผูกมัดด้วยกรรมที่ต้องชดใช้จนกว่าจะหมด แต่ก็ยังดีที่จะมีพรสวรรค์เหนือมนุษย์มาหนึ่งข้อ แต่ฉันยังไม่รู้ว่าคืออะไร พอดีอยู่ในขั้นฝึกฝนน่ะ ลำพังแค่รู้ว่านายคือโอปปาติกะนี่ก็ฟลุ๊คสุดๆแล้ว ส่วนใหญ่ฉันจะชอบเดาผิด แต่ที่แน่ๆนะบทลงโทษของนายคือการพูดไม่ได้และเข้าใกล้แม่ไม่ได้” ไคถึงกับชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆจรดปากกาลงบนกระดาษอีกครั้ง



แล้วฉันต้องทำยังไง


“อยู่กับฉันนี่แหละแต่ตอนนี้เรารีบไปกันดีกว่าก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้า” ร่างโปร่งว่าพร้อมกับที่ไคส่งกระดาษถาม


ทำไม



“เขาจะเห็นฉันคุยคนเดียว เพราะทุกคนที่รู้ข่าวการตายของนาย จะไม่มีใครมองเห็นนายสักคน” ไคไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น ปล่อยให้อีกคนนำทางไป ก่อนที่เขาจะเหลือบตาไปมองทางที่แม่เดินไป จากนี้เขาคงเข้าใกล้แม่ไม่ได้อีกแล้ว…



แล้วภาพทุกอย่างก็ค่อยๆหายไป อี้ฟานกับไคนั่งกันอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครถามอะไร พวกเขาแค่นั่งจมดิ่งกับความคิดตัวเอง อี้ฟานไม่รู้จะพูดอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในขณะที่ไคเองก็ถูกความรู้สึกผิดและโศกเศร้าฝังกลบอยู่ภายใต้ความเงียบงัน จนกระทั่งที่อี้ฟานเอ่ยขึ้นมาเบาๆ


“ทำไมเชือกถึงหายไป..”


เพราะผมหมั่นทำบุญตามที่ชานยอลบอก แล้ววันหนึ่งมันก็หายไป ผมไม่เจ็บเวลาพยายามจะพูดเท่าเดิม แต่มันก็ยังรู้สึกอยู่บ้าง  แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำพวกเขาอีกครั้ง นั่นไม่ใช่คำถามที่อี้ฟานอยากจะรู้เท่าไรนัก แต่ถ้าให้ถามสิ่งที่เขาสนใจไป มันคงดูไม่ดี..



พี่มีอะไรก็ถามเถอะ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว


“นายไม่ได้ไปหาแม่เลยหรอ….” ไคนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ทำหน้าเสียใจ แต่แววตานั้นชัดเจนด้วยความเจ็บปวด


ไม่… ไม่เลย ผมไม่กล้าที่จะกลับไปอีกเลย


อี้ฟานพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นเบาๆ


“ท่านเป็นคนเข้มแข็ง ท่านจะต้องไม่เป็นไร” ไคพยักหน้ารับพร้อมกับส่งยิ้มให้บางๆในขณะที่น้ำตากำลังไหล
ผมก็หวังให้เป็นอย่างนั้น  แม่อยู่คนเดียวในบ้าน ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านเป็นยังไงบ้าง จะทำอะไร จะอยู่ยังไง แต่ก็ขอให้ท่านยังสุขสบายดีอยู่


“ท่านจะต้องไม่เป็นไร” ไคส่งยิ้มเศร้าสร้อย



ตอนที่ผมยังมีโอกาสผมไม่เคยพูดจาดีๆกับท่าน พูดแต่เสียงรำคาญ เบื่อที่จะคุยกับท่าน แต่พอวันหนึ่งที่ผมหมดโอกาสผมกลับอยากบอกรักท่านแทบตาย อยากขอบคุณที่ท่านคอยเลี้ยงดู อยากพูดจาดีๆให้ท่านยิ้ม อยากให้ท่านมีความสุขเพราะผม แต่ทุกอย่าง…..มันสายเกินไปแล้ว



เราคิดเสมอว่าเรามีโอกาสมากมาย พรุ่งนี้ยังมีให้ทดแทนบุญคุณ แต่เราลืมคิดไปหรือเปล่าว่า….



แล้วถ้าไม่มีวันพรุ่งนี้ล่ะ…



เราจะทำยังไง




สิ้นเสียงนั้นทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ อี้ฟานจมอยู่กับความคิด ไคฝังตัวเองอยู่ในความโศกเศร้า ในขณะที่ชานยอลเองก็นึกถึงพ่อแม่ตัวเอง ก่อนที่แวบความคิดหนึ่งจะเข้ามาในหัวของเขา ดวงตากลมโตเหลือบหันไปมองยังอีกทางก่อนที่เขาจะพูดขึ้นเสียงเรียบ




"เหมือนว่าจะมีคนให้เราต้องช่วย..." ร่างโปร่งมองไปยังชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น


"รีบไปกันเถอะ โอปปาติกะตนนั้นจะไปแล้ว" เขาบอกก่อนที่จะเดินตามไป...





------------------------------


Kai talk
   
   
    " ผมอยากให้เรื่องของผมเป็นอุทาหรณ์สำหรับลูกทุกๆคน อย่าพลาดในสิ่งที่ผมเคยพลาด อย่าทำร้ายท่าน อย่าทำให้ท่านเสียใจเหมือนกับที่ผมเคยทำ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครรักและหวังดีกับเราได้เท่ากับแม่อีกแล้ว ในยามที่เราทุกข์ เจอปัญหาจากภายนอกมามากมาย มีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นที่รอโอบกอดคุณเอาไว้ เธอจะถามเพียงแค่ว่า ลูกเป็นอะไร ใครทำอะไรลูกมา เธอจะกอดคุณไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่สองแขนเล็กๆของเธอจะทำได้ เธอจะอยู่เคียงข้างคุณอย่างนั้นจนกว่าคุณจะหายเศร้า เธอจะปลอบคุณด้วยถ้อยคำที่ห่วงใย และรับเอาความเจ็บปวดทั้งหมดของคุณไว้ที่เธอ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะรักคุณได้เท่ากับเธอ เพราะฉะนั้น อย่าทำเลยนะ อย่าทำร้ายท่านเลย  อย่าทำให้ท่านเสียใจ แม้แต่ในความคิดคุณก็อย่าทำ รักท่านให้มากๆ ดูแลท่านให้มากๆ เริ่มตั้งแต่วันนี้ วินาทีนี้ หันไปหาท่าน กอดท่านเอาไว้ บอกรักท่าน ขอบคุณที่ดูแลเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็ก แล้วทำดีกับท่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่คุณจะไม่มีโอกาสเหมือนกับผม… "


#oppatika_ky

http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ