0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

ทะเลมาร์คแบม ตอนที่1

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

0ctogus

0ctogus
Admin

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วยังมีเรื่องเล่าเก่าแก่ถึงความรักที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นระหว่างคนสองคน หนึ่งคือบุตรแห่งฮาเดสผู้ถูกความแค้นฝังรากเหง้าให้หยั่งลึกลงไปในจิตใจ อีกหนึ่งคือบุตรแห่งซุส ผู้ถูกตามล่าและชำระหนี้แค้นที่ไม่ได้เป็นคนก่อ      
     

      คนสองคนที่ไม่ควรจะเผลอใจ คนสองคนที่ไม่ควรแม้แต่จะหวั่นไหว ทุกความรู้สึกควรจะถูกโยนลงสู่หุบเหวแห่งความเคียดแค้นแล้วฝังกลบด้วยความเกลียดชังทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก หยอกล้อกับความรู้สึก ตลบหลังความชิงชังและโกรธแค้นด้วยเศษเสี้ยวของความรู้สึกที่ถูกขนานนามไว้ว่า  ความรัก…
   

      ความประมาทเลินเล่อทำให้ละเลยสัญญาณเตือนของหัวใจ  ยิ่งปล่อยไว้นานวันเข้าเมล็ดต้นรักเล็กๆก็ค่อยๆยิ่งเติบโตขึ้น แตกหน่ออ่อน ผลิกิ่งก้าน คลี่ใบเขียวชอุ่ม และเริ่มชูช่อสวยงามให้ผลิบานอยู่เต็มหัวใจ ผูกสัมพันธ์คนทั้งสองให้ลึกซึ้ง เกี่ยวโยงด้วยสายใย จนกระทั่งที่หัวใจยอมศิโรราบให้กับความรัก


นับเป็นนิทานเรื่องโปรดของอะโฟรไดท์

นับเป็นความรักที่อีรอสแสนภูมิใจ

นับเป็นการสมหวังที่แอนติรอสแสนชื่นชม


 ทว่า….


 ทุกคนลืมอะไรไปหรือเปล่า…  


 กว่าจะมาถึงจุดจบที่หอมหวาน ล้วนต้องผ่านจุดเริ่มต้นที่ขมขื่น

(อะโฟรไดท์ คือเทพีแห่งความงาม หนึ่งในสิบสองเทพโอลิมเปี่ยน
อีรอส คือ ชื่อในภาษากรีกของคิวปิด เทพแห่งความรัก ผู้เป็นบุตรของเทพีอะโฟรไดท์
แอนติรอส คือเทพแห่งการสมหวังในรัก เป็นพี่น้องกับเทพอีรอส)




  เรื่องเล่าเก่าแก่เรื่องนี้ไม่ใช่นิทานหลอกเด็กที่หลอกล่อคนอ่านด้วยการบรรยายที่แสนจะสดใสและเต็มไปด้วยสีสันสดสวย แต่เปล่าเลย… เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นกับคนจริงๆ และแน่นอนว่า…


จุดเริ่มต้นของมันไม่ได้สวยอย่างที่คิด


ไม่เลย….


สักนิดเดียว…




----------------------------------------------




   ครืนน  ครืนน



เสียงฟ้าร้องดังครืนครืนปลุกให้ร่างร่างหนึ่งที่ถูกตรึงไว้กับเสาไม้ขนาดใหญ่ที่ยอดเขาแห่งหนึ่งฟื้นคืนตื่นขึ้นจากห้วงนิทราช้าๆ เปลือกตาสีมุกค่อยๆเปิดขึ้นรับทัศนียภาพ นัยน์ตาสีรัตติกาลทอดมองภาพเบื้องหน้าอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก ได้แต่มองเหม่อไปไกล โดยไร้จุดหมาย ไร้จุดสนใจ สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่ทอดมองเส้นขอบฟ้าอันขมุกขมัวเพราะเมฆฝนและแสงอาทิตย์ที่เริ่มสาดส่องกรีดม่านแห่งความมืดออกเป็นริ้วๆก่อนจะกลืนกินมันอย่างช้าๆ


ฝนตกรับเช้าวันใหม่เลยงั้นหรอ…


“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นอย่างหดหู่ระคนสมเพช เขาเกลียดพายุฝน เกลียดสภาพอากาศที่เลวร้าย เกลียดท้องฟ้าที่กลายเป็นสีเทา เกลียดสายฟ้าที่ฟาดฟันใส่อย่างฉุนเฉียว เขาเกลียดทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับท้องฟ้านั่น


“น่ารังเกียจซะจริง” เสียงทุ้มที่แหบพร่าเค้นเสียงตัวเองเปล่งออกมาก่อนที่สายฝนจะ
โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าราวกับต้องการจะเยาะเย้ยคำพูดของเขา ร่างสูงยืนอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่โวยวาย ไม่ตอบโต้ ไม่ฉุนเฉียว หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับจับจ้องออกไปยังท้องฟ้าที่โอบล้อมเขาเอาไว้ราวกับผืนผ้าขี้ริ้วสีเทาอันน่าขยักแขยง พร้อมกับนับถอยหลังในใจตัวเองอย่างช้าๆแต่มั่นคง พระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นจากขอบฟ้าแล้ว อีกไม่ช้าพวกนั้นก็คงจะมาถึง



แคว๊ก แคว๊ก



เสียงเหยี่ยวกู่ร้องดังแว่วแหวกเสียงพายุที่กำลังเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ร่างของเหยี่ยวขนาดยักษ์ตัวหนึ่งค่อยๆปรากฏกายขึ้น มันสยายปีกกระพือฝ่าพายุเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง ตีปีกไปมาอย่างลิงโลดพร้อมกับบินโฉบไปมารอบๆตัวเขาด้วยความกระตือรือร้นราวกับเจอเหยื่ออันโอชะ



“รีบๆ ทำซะ ทุกอย่างจะได้จบๆ” เสียงทุ้มแหบแห้งเอ่ยบอกก่อนจะหลับตาลง เหยี่ยวกระพือปีกถี่ๆพร้อมกับส่งเสียงร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วแล้วบินโฉบเข้ามาหาก่อนจะใช้จะงอยปากอันคมกริบฉีกเนื้อที่ท้องของเขาออกเป็นชิ้นๆ


“อ๊ากกกกกกกก!!!” เสียงหวีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังกลบเสียงพายุ ร่างสูงที่ถูกตึงดิ้นพล่านไปมา เนื้อที่ถูกฉีกรุ่งริ่งอยู่ตรงท้อง เลือดสีสดไหลทะลักออกมาจนร่างกายชุ่มโชก



         เหยี่ยวบินโฉบเข้าไปหาอีกครั้ง ใช้กงเล็บฉีกแหวกรอยแผลให้ถ่างออกจนเห็นอวัยวะก่อนจะใช้จะงอยปากจิกกินตับอย่างกระหายเลือด โดยไร้ซึ่งความปราณี ความเมตตา มองว่าร่างนี้เป็นเพื่อแค่เหยื่อตนหนึ่ง ไม่ได้มีค่าอะไรไปจากอาหารมื้อใหญ่มื้อหนึ่งที่จะได้กินในทุกวัน…


“อั่ก อ อ อะ!!!” แม้แต่เสียงที่จะกรีดร้องระบายความเจ็บปวดออกมายังแทบจะไม่มี ร่างสูงดิ้นพล่านไปมาอยู่บนเสาที่ตรึงเขาเอาไว้  เหยี่ยวตัวนั้นยังคงจิกทึ้งและกินตับของเขาอย่างเอร็ดอร่อย ชิ้นส่วนเศษชิ้นเนื้อถูกเหวี่ยงสะบัดกระจัดกระจาย เลือดสาดกระเซ็นย้อมทุ่งหญ้าที่อยู่โดยรอบให้กลายเป็นสีแดงฉาน



“อั่ก อั่ก!” เลือดในกายกระอักออกจากปาก พ่นกระจายไหลท่วมทั่วอก ความเจ็บปวดไหลพล่านไปทั่วร่าง บาดแผลฉกรรจ์เสียจนฉุกกระชากสติของเขาให้ขาดห้วงทีละนิด ภาพเบื้องหน้าเริ่มไม่ปะติดปะต่อราวกับโทรทัศน์ที่ถูกคลื่นรบกวน ดวงตาของร่างสูงเริ่มพร่ามัว สติที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดค่อยๆหลุดลอย



          ทุกๆอย่าง ทุกๆอย่างมันเกิดขึ้นจากเด็กคนนั้น ทุกๆอย่าง ทุกๆอย่างมันเกิดขึ้นเพราะมัน เพราะมัน เพราะมัน



“อะ!” เลือดถูกกระอักออกมาอีกระลอก สติของร่างสูงค่อยๆดับสูญ



          ทุกอย่าง ทุกๆอย่าง อะ ทุกอย่าง ทุกๆอย่าง     เป็น    เพราะมัน  เพราะมัน เพราะมันคนเดียวที่ทำให้เขาต้องมารับโทษทัณฑ์ที่เขาไม่ได้ก่อไว้!!!!


นายท่าน


จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น ร่างสูงตวัดสายตามองอย่างอ่อนแรง ร่างของภูตผีตนหนึ่งค่อยๆปรากฏกายขึ้นในกรอบสายตา


“ทำไม ถึง มา เอาป่านนี้ อั่ก! ไล่มันซะ!” สิ้นเสียงนั้นวิญญาณตนนั้นก็ปัดรังควานเหยี่ยวตัวนั้นให้ออกห่างจากเจ้านายที่ยืนหอบหายใจรวยรินอย่างทรมานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้


“อย่าฆ่ามัน ถ้า เจ้าฆ่าตอนนี้  ข้าจะไม่ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง” เขาออกคำสั่งอย่างอ่อนแรงพลางเหลือบตามองบาดแผล ถ้าฆ่าเหยี่ยวตัวนั้นตอนนี้การลงทัณฑ์ของเขาก็จะจบ วัฏจักรการคืนชีพที่ต้องกลับมามีชีวิตขึ้นมาใหม่ในทุกๆเช้าเพื่อให้ถูกเหยี่ยวจิกกินตับตัวเองจนตายก็จะหายไปด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า แผลของเขาตอนนี้ก็จะไม่หายไป เขาจะต้องหาทางรักษามันเอง ซึ่งไม่มีทางทำได้แน่


ขอรับ  ข้าจะไล่มันให้ออกไปเท่านั้น


“เรื่องที่ ข้า สั่ง เจ้า ละ อั่ก! ได้เรื่องยังไงบ้าง” เขาต้องคอยกระซิบถามวิญญาณตนนั้นอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาคู่คมคอยกวาดมองท้องฟ้าเบื้องบนราวกับหวาดระแวงว่าจะมีใครจับตามองเขาอยู่รึเปล่า


คืบหน้าแล้วขอรับ เราหาตัวเด็กคนนั้นพบแล้ว


“หึ ดี… ฉันจะได้กลับไปทวงความยุติธรรมที่ฉันต้องได้รับสักที!!!” เสียงทุ้มประกาศขึ้นอย่างเย็นเหยียบ นัยน์ตาคู่คมจับจ้องไปที่ท้องฟ้าอย่างเคียดแค้น ไฟแห่งโทสะแผดเผามอดไหม้ร่างและจิตใจให้ว่างเปล่าแล้วแทนที่ด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่มีอะไรจะต้านทานเอาไว้ได้



      ถ้าไม่มีมัน เขาก็ไม่ต้องมาเผชิญเรื่องแบบนี้

      ถ้าไม่มีมัน เขาก็คงจะใช้ชีวิตสุขสบายอย่างที่ควรจะเป็นไปแล้ว!!!

      ร่างสูงนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้เขาต้องมาลงเอยอยู่ที่นี่โดยไร้ความผิด ไร้ข้อกล่าวหา และไร้เหตุผล


     วันนั้นเป็นวันครีษมายัน(วันที่กลางวันยาวนานที่สุด)  ซุสมีคำสั่งให้ทั้งสิบสองเทพโอลิมเปี่ยนเข้าประชุมตามวาระ และโดยปกติแล้วฮาเดสและเทพที่อยู่ในนรกโลกัณฑ์ทั้งหมดจะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเข้าร่วมประชุมยังสรวงสวรรค์ด้วย ปีนั้นเองก็เช่นกัน พวกเราคนของความตายทุกคนใช้ชีวิตอย่างปกติอยู่ใต้ผืนพิภพ  ไม่มีความน้อยใจ เศร้าสร้อย หรือชิงชัง เราต่างรู้และเข้าใจว่าพวกเราเป็นดั่งเฉกเช่นนางฟ้าองค์ที่สิบสามในนิทานของพวกมนุษย์ที่ไม่เป็นที่ต้องการ แต่ทว่าความเงียบสงบนั้นกลับเปลี่ยนไป เมื่อเทพเจ้าองค์หนึ่งเดินทางมาเยือนเราพร้อมกับซองกระดาษสีขาวอันมีสัญลักษณ์ของซุสตีตราประทับอยู่ด้านหน้า



“ข้ามีจดหมายจากซุสมาถึงพวกท่าน” เฮอร์มีสเทพเจ้าแห่งการส่งสารและหัวขโมยเอ่ยบอกด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ฮาเดสที่เฝ้ามองอยู่สบตากับลูกชายเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม


“ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้นล่ะ เฮอร์มีส”


“ข้าว่าท่านอ่านจดหมายนี้เองดีกว่า” เทพเจ้ายื่นจดหมายซองนั้นให้ ฮาเดสเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนที่จะคลี่กระดาษขึ้นอ่าน ฉับพลันนั้นท้องพระโรงก็สว่างวาบ สายฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วก่อนที่ตัวอักษรกรีกโบราณจะค่อยๆปรากฏขึ้นบนหน้ากระดาษอย่างช้าๆ


     ในนามของข้า มหาเทพซุส ราชาแห่งทวงเทพทั้งปวงมีคำสั่งให้ ฮาเดสเทพเจ้าแห่งความตาย และบุตรของเขา ต้วนอี้เอิน ขึ้นไปยังมหาวิหารแห่งโอลิมปัสทันทีที่ได้รับจดหมายฉบับนี้
                                                                                                                                   ซุส


“ท่านพ่อครับ…” มาร์คเอ่ยขึ้น ดวงตาคู่คมสบเข้ากับดวงตาคู่ทรงพลังของผู้เป็นพ่อ ไม่ว่านี่จะเป็นคำเชิญประเภทไหน แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ดูไม่น่าไว้ใจเท่าไรนัก


“ข้าไม่ใคร่คิดว่านี่เป็นเรื่องดีนัก”  เฮอร์มีสออกความเห็นเรียกให้สองพ่อลูกต้องหันไปมองเขา


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”  


“………”


   คนถูกถามอ้ำอึ้ง สีหน้าของเฮอร์มีสไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ใบหน้าของเทพเจ้าหนุ่มที่มักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอตอนนี้กลับเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความกังวล  รัศมีที่เปล่งแสงเรืองรองอยู่รอบกายดูหม่นแสงลงไปอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้เฮอร์มีสเหมือนกำลังถูกความกลัวบางอย่างเข้าคุกคามอย่างไรอย่างนั้น


“เฮอร์มีส” ฮาเดสเรียกให้อีกฝ่ายกลับมาตอบคำถาม เทพเจ้าหนุ่มเม้มปากแน่น เงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


“ในที่ประชุมวันนี้…”


“……..” สองพ่อลูกต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อว่าเฮอร์มีสจะพูดอะไรต่ออีก


“มีการอ่านคำพยากรณ์ของเดลฟี(จิตวิญญาณแห่งคำพยากรณ์) ข้าไม่มั่นใจว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกท่านบ้าง เพราะตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจฟังมากนัก แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไร” เทพเจ้าเงยหน้าสบตากับฮาเดสอย่างจริงจัง ดวงตาสีเทาคู่นั้นฉายชัดถึงความเคร่งเครียดอันเป็นเครื่องยืนยันว่านี่ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง


“ข้าก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องดีทั้งนั้น”


              เกิดความเงียบอันน่าพรั่นพรึงแผ่คลุมไปทั่วทั้งท้องพระโรงของพระราชวังใต้พิภพนี้ ฮาเดสกำมือแน่น ไล้นิ้วลูบแหวนหัวกะโหลกสีดำที่สวมใส่อยู่อย่างคนที่กำลังใช้ความคิด  ร่างสูงของมาร์คนั่งนิ่งอยู่บนบัลลังก์เคียงข้างผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ใบหน้าหล่อคมคายกำลังขบคิดชั่งน้ำหนักเหตุและผล ส่วนได้ ส่วนเสียอย่างเร็วจี๋
         


              คนของความตายไม่เคยได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังโอลิมปัสเด็ดขาด นอกเสียจากวันอายัน(วันที่กลางคืนยาวนานที่สุด) แล้วนี่มีเหตุผลอะไรที่จะเรียกให้พวกเขาขึ้นไป ถ้าเพียงแต่….


นี่ไม่ใช่แผนของซุส



“ผมว่าเราไม่ควรไปที่นั้น” ชายหนุ่มออกความเห็น ฮาเดสส่ายหน้าปฏิเสธอย่างช้าๆ ดวงตาที่มองโลกมามากกว่าหลายพันปีสบตากับลูกชายของเขาด้วยแววตาจริงจัง ฝ่ามือใหญ่เอื้อมแตะแขนของร่างสูงเอาไว้


“เราควรจะไป อย่างน้อยจะได้รู้ว่าสิ่งที่เราสงสัยอยู่นี้คืออะไรกันแน่”


“แต่ท่านพ่อครับ”


“ท่านฮาเดส ข้าไม่เคยขัดใจท่าน แต่ครั้งนี้ข้าว่าลูกของท่านพูดถูก สถานการณ์เบื้องบนนั่นไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด”เฮอร์มีสออกความเห็น ซุกต้องกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างอยู่แน่ และไม่ว่าด้วยอะไร แผนการเหล่านั้นก็คงจะไม่ก่อผลดีแก่ฮาเดสและลูกแน่


“ข้าเองก็รับรู้ ว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าเอาตัวเขาไปเสี่ยงด้วยเลยสักนิด” เสียงทุ้มอันทรงพลังดังขึ้นอย่างเรียบเฉย ดวงตาคงแก่วัยทอดมองออกไปด้านนอกยังทุ่งหญ้าเอสโฟเดล(ดินแดนในนรกเป็นส่วนที่ไม่มีการลงทัณฑ์เกิดขึ้น แต่วิญญาณที่อยู่ณ ที่นี่ก็ไม่มีความสุขเช่นกัน ได้แต่ยืนอยู่เฉยๆ ลืมแม้กระทั่งตัวตนของตัวเองและทุกสิ่งทุกอย่างไปจนกว่าจะถึงเวลาที่จะได้ไปเกิดใหม่) อย่างไร้จุดหมาย ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยริ้วรอยจากวัยชราบ้างเล็กน้อยบัดนี้กลับดูบาดลึกและทรุดโทรมลงไปราวกับว่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นี้ส่งผลต่อร่างกายของเขา


“…………”


“แต่ข้าไม่ใช่คนขี้ขลาด และคนของความตายทุกคนเองก็เช่นกัน” ดวงตาคู่นั้นตวัดกลับมาสบตากับลูกชายอย่างแน่วแน่


“………”


“จงอย่าหนีปัญหา เผชิญหน้ากับมัน เพราะแม้กระทั่งความตายที่ใครๆต่างพากันหลีกหนี เรายังเผชิญหน้ากับมันได้อย่างกล้าหาญเลย” สิ้นเสียงนั้นร่างสูงก็หลับตาปิดการมองเห็น รวบรวมสติและผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอ นึกย้อนถึงคำสอนที่ฮาเดสเพิ่งพูดเมื่อสักครู่


จงอย่าหนีปัญหา เผชิญหน้ากับมัน เพราะแม้กระทั่งความตายที่ใครๆต่างพากันหลีกหนี

เรายังเผชิญหน้ากับมันได้อย่างกล้าหาญเลย


ใช่…


แม้แต่ความตาย เขายังกล้าเผชิญกับมันมาแล้วเลย


“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะขึ้นไปกับท่านพ่อด้วย” เปลือกตาสีมุกถูกลืมขึ้นเปิดออก นัยน์ตาคมเข้มดุดันสบตากับผู้เป็นพ่ออย่างแน่วแน่ ฮาเดสคลี่ยิ้มอย่างพอใจ แตกต่างจากเฮอร์มีสที่กำลังกระวนกระวาย


“พวกท่านคิดดีแล้วหรอ อีกฝ่ายเป็นถึงซุสนะ ท่านก็รู้ว่า”


“ใช่ ข้ารู้เฮอร์มีส ข้าถึงต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าน้องชายของข้าผู้นั้นกำลังคิดจะทำอะไรกับพี่ชายและหลานของเขา”



                     เฮอร์มีสจำต้องหยุดพูด ไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง ไร้ซึ่งคำโต้เถียง ฮาเดสเป็นคนอย่างไรเขาย่อมรู้ดี เพราะหากเทพเจ้าองค์นี้ได้ลองลั่นวาจาไปแล้ว จะไม่มีวันหวนกลับเด็ดขาด เพราะเขาคือเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมและความตาย
ความตายไม่หวนกลับฉันใด วาจาสัตย์ก็ฉันนั้น



“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะนำทางพวกท่านขึ้นไปเอง”



----------------------------------------------------




                   ตั้งแต่เล็กจนโตมาร์คเคยมีโอกาสขึ้นมายังโอลิมปัสไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่มาร่วมฉลองวันอายัน  ที่นี่ถูกจัดและตกแต่งอย่างสวยงาม ภาพที่ใครเคยบรรยายถึงสรวงสวรรค์ไว้อย่างวิจิตรงดงามแค่ไหน เทียบไม่ได้เลยกับความจริงที่ได้เห็น มันสวยงาม หรูหรา งดงามราวกับภาพวาดจนภาษาใดๆในโลกมิอาจเอื้อมถึง เขาในตอนนั้นที่มีอายุเพียงหกขวบวิ่งสำรวจดูทุกอย่างไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่ได้เห็น พระราชวังของเทพองค์อื่นๆ เหล่านางฟ้าเทวดาผู้งดงาม ต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์ที่ชูช่อออกดอกส่งกลิ่นหอม เขาชอบทุกอย่างที่นั้น และไม่เคยหลงใหลมันน้อยลงเลยนับตั้งแต่วันนั้น แต่ทว่ายิ่งชื่นชมมันมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขามากขึ้นเท่านั้น



                   สรวงสวรรค์กับความตายไม่มีวันคู่กัน เป็นดั่งเส้นขนานที่ได้แต่เหลือบตาเชยชม แต่ไม่มีวันได้จับต้องมาครองคู่เหมือนดั่งเช่นตอนนี้



                   ร่างสูงเดินรุดไปตามเส้นทางที่เฮอร์มีสกำลังนำทางอยู่ สองข้างทางรายล้อมไปด้วยพระราชวังต่างๆของเหล่าสิบสองเทพโอลิมเปี่ยน ทางซ้ายมือเป็นของอะโฟรไดท์  ตัวพระราชวังทั้งหลังทำมาจากหินอ่อนสีชมพู ยามเมื่อใครก็ตามเดินผ่าน ฝนกลีบกุหลาบจะค่อยๆโปรยลงมาจากฟากฟ้า กลิ่นหอมอ่อนๆของเครื่องหอมคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เสียงเพลงอันอ่อนหวานที่ชวนให้นึกถึงรักครั้งแรกดังแว่วมาจากด้านใน


“เธอดูคนนั้นสิ นั่นบุตรมนุษย์กึ่งเทพแห่งความตายนี่” เสียงซุบซิบนินทาดังแว่วมาจากด้านใน นางอัปสรสองตนกำลังกระซิบกระซาบพูดถึงร่างสูงอยู่


“หล่อจังเลยเนอะ ถ้าได้มาเป็นคู่ครองก็คงจะดี”


                     คนถูกเอ่ยถึงพรูลมหายใจอย่างหนักหน่วง เร่งสาวเท้าให้เลยผ่านบริเวณพระราชวังของอะโฟไดท์จะได้หนีจากเสียงซุบซิบนั่นเสียที เขาไม่ชินเลยสักนิดที่มีคนชม และเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ควรจะมีความสุขยินดีปรีดาเลยสักนิด


                   ร่างสูงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทางเบื้องหน้าทอดไปยังพระราชวังของโพไซดอน ทางเดินที่อยู่รายล้อมเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นผืนทราย กลิ่นเกลือทะเลลอยคลุ้งกลบกลิ่นเครื่องหอม เสียงเพลงไพเราะค่อยๆถูกเสียงคลื่นแทนที่ ร่างสูงก้าวย้ำลงไปบนผืนทรายด้วยความรีบร้อน เร่งรุดให้รีบไปถึงมหาวิหารแห่งซุสที่ตั้งอยู่ถัดไป



                   ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไรบรรยากาศก็ยิ่งเลวร้ายลงขึ้นเท่านั้น ทางเดินที่เคยเป็นผืนทรายค่อยๆเลือนลางลงก่อนที่จะขาดหายไปช้าๆแล้วแทนที่ด้วยผืนฟ้า เบื้องล่างคือพื้นดินของโลกที่รอรับร่างของมนุษย์หรือสัตว์โง่ๆตัวหนึ่งที่เผลอผลัดตกลงไป เว็นตัสมากมายวิ่งวุ่นไปทั่ว บ้างแปรกายเป็นม้า บ้างกลายเป็นนกอินทรีย์ สายฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วราวกับทุกสิ่งทุกอย่างกำลังอารักขาและคุ้มกันให้กับมหาวิหารสีงาช้างที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางพายุสายฟ้า


มหาวิหารแห่งซุส…



“เราจะข้ามไปได้ยังไง” เขาเอ่ยถาม เท่าที่จำความได้ เขาไม่เคยเข้าไปถึงใจกลางนั้นเลยสักครั้ง


“ซุสออกแบบทุกทางเข้าออกที่นี่ให้มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นเพื่อรักษาความปลอดภัยของตัวเอง ดังนั้นเราคงต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว” ฮาเดสว่าเสียงเรียบ


“เราเรียกฮาร์ปี้ออกมาแล้วให้มันพาเราบินไปส่งที่นั่นไม่ได้หรอครับ”


“ถ้าทำอย่างนั้น ลูกจะทำให้พวกเว็นตัสโกรธ เพราะพวกมันเป็นพวกหวงอาณาเขต การบินเป็นวิธีสุดท้ายที่เราจะทำ” ว่าจบฮาเดสก็ก้าวเดินออกไปยังก้อนเมฆบางเบาเบื้องหน้า และแทนที่เขาจะตกก้อนเมฆกลับพยุงเขาให้สามารถเดินต่อไปได้ เทพเจ้าค่อยๆออกเดินไปตามทางที่มีเพียงก้อนเมฆบางเบาโรยตัวอยู่ และไม่ว่าด้วยบารมีหรือความทรงพลังทำให้เขาไปถึงที่หมายโดยที่ไม่เป็นอันตรายเลยสักนิด


“เอาล่ะ ถึงตาพวกเราแล้ว” เฮอร์มีสว่าก่อนจะออกเดินอย่างไร้ซึ่งความกลัว


“เดี๋ยว แล้วผมจะไปยังไง ผมไม่ใช่เทพเจ้านะ”


“แค่เดินไปตามก้อนเมฆก็พอ” เฮอร์มีสเอ่ยบอกก่อนจะเริ่มออกเดินไปตามก้อนเมฆที่เคลื่อนไหวอยู่เสมอ เทพเจ้าต้องคอยกระโดดสับเปลี่ยนก้อนเมฆไปมากว่าที่จะไปถึงจุดหมายได้ มาร์คก้มมองไปยังเบื้องล่างอย่างชั่งใจ ดูยังไงก็ไม่น่าจะรองรับเขาได้ถ้าก้าวลงไปเขาต้องล่วงลงกลายเป็นศพข้างล่างแน่


“อ้อ ฉันลืมบอกไป” เสียงของเฮอร์มีสดังมาจากอีกฟากฝั่งของทางเดินล่องหนนี่


“เจ้าต้องคิดว่าก้อนเมฆนั่นหนักแน่นและแน่นหนาพอที่เจ้าจะเหยียบลงไป เพราะถ้าเจ้าเชื่อตามกฎวิทยาศาสตร์เมื่อไร “


“……”


“เจ้าจะได้ล่วงลงไปทันที” เฮอร์มีสยิ้มกว้างให้ มาร์คมองสบตาอย่างพรั่นพรึงพลางก้มมองลงไปข้างล่าง….


ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางไหนแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องใช้เส้นทางนี้



ร่างสูงสูดลมหายใจลึก รวบรวมสมาธิและสติทั้งหมดให้มารวมอยู่ที่จิตใจเป็นจุดเดียว กำหนดจิตสั่งการให้จินตนาการว่าก้อนเมฆคือแผ่นหินแน่นหนาแล้วกลั้นใจเหยียบย้ำบนก้อนเมฆ


           สัมผัสแรกที่รับรู้ เขาไม่ชอบมันเลยสักนิด เหมือนเรากำลังเหยียบย้ำไปบนก้อนสายไหมที่บางเบาที่สุดในโลก มันทั้งไร้น้ำหนัก ไร้ความมั่นคง โปร่งแสงมองทะลุลงไปถึงพื้นโลกใต้เท้าที่รอรับร่างที่แหลกละเอียดของเขาอยู่  อีกทั้งอากาศโดยรอบยังยังโอบล้อมไปด้วยสายลมกรรโชกที่คอยพัดขมขู่จิตใจให้ตื่นกลัวตลอดเวลาเสียจนมาร์คต้องคอยสะกดจิตตัวเองด้วยการสั่งห้ามใจไม่คิดถึงความเบาบางของมันแล้วแทนที่ความลังเลทุกอย่างด้วยการคิดว่านี่คือแผ่นหิน ร่างสูงก้าวย่างต่อไปเรื่อยๆอย่างระมัดระวัง คอยกระโดดข้ามไปยังก้อนเมฆก้อนถัดไป เดินผ่านเหล่าเว็นตัสที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่รอบตัวไปทั่วคอยหลบเลี่ยงที่จะเผลอมองลงไปข้างล่างก่อนจะรีบจ้ำอ้าวแล้วรีบกระโดดไปยังกรอบประตูของมหาวิหารได้ในที่สุด
         


          สาบานได้เลยว่าถ้ามีโอกาสเป็นอีกครั้งที่สอง เขาจะไม่เลือกมาที่นี่อีกแน่นอน เพราะลำพังแค่รู้สึกไม่ปลอดภัยจากการอยู่ห่างจากนรกใต้พิภพว่าแย่แล้ว ให้ขึ้นมาเดินเหินกลางอากาศอย่างนี้ยิ่งแย่กว่า เขาจะไม่มีวันมาที่นี่อีกแน่นอน ไม่มีวัน



“เอาล่ะ ในที่สุดเรามาถึงกันแล้ว มหาวิหารแห่งซุส” เสียงของเฮอร์มีสดังขึ้นเรียกสติของร่างสูงให้กลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มหันกลับไปมองยังมหาวิหารเบื้องหน้าพลางเบิกตากว้างเล็กน้อย ที่ประจักษ์อยู่เบื้องหน้าคือพระราชวังแห่งทวยเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด งดงามที่สุด และขณะเดียวกัน.... ก็อันตรายที่สุด


“ยินดีต้อนรับสู่สถานที่ประชุมวันอายันครั้งนี้ ในนามของซุสมีคำสั่งให้เชิญพวกท่านไปยังที่ประชุม ณ บัดนี้” เฮอร์มีสประกาศก้อง สายฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วทั้งบริเวณ อสนีบาตฟาดเข้ากลางลานโล่งหินอ่อน แสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นจนแสบตา บานประตูแก้มเจียระไนที่ถูกสลักลวดลายนกอินทรีย์และสายฟ้าปรากฏขึ้นประจักษ์ยังเบื้องหน้า  มาร์คเหลือบสบตากับผู้เป็นพ่อก่อนที่เสียงเฮอร์มีสจะดังขึ้น


“ข้าเตือนพวกท่านแล้วว่าอย่ามาที่นี่” เทพเจ้าเอ่ยบอกก่อนจะเปิดบานประตู สายฟ้าแล่นแปลบปลาบออกมาทั่วก่อนที่จะเผยให้เห็นโถงประชุมที่มีบัลลังก์ทั้งสิบสองเทพโอลิมเปี่ยนรายล้อมอยู่ ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ร่างสูงของมาร์คและฮาเดสที่ยืนอยู่ใจกลาง มหาเทพซุสนั่งมองอยู่เบื้องหน้า แววตาไร้ซึ่งความปรานี  โทสะและความรู้สึกอะไรบางอย่างที่น่าครั่นคร้ามเด่นชัดอยู่ในนัยน์ตาสีเทาพายุคู่นั้น


“มาเสียทีนะ ต้วนอี้เอิน” ชื่อเต็มของชายหนุ่มถูกมหาเทพเปล่งขึ้น รางสังหรณ์อะไรบางอย่างส่งเสียงร้องเตือนถึงความไม่ปลอดภัย ปกติซุสไม่เคยจำชื่อของเขาได้ เพราะคนของความตายมักไม่เป็นที่น่าจดจำของใครทั้งนั้น


“ท่านเรียกผมกับท่านพ่อขึ้นมาที่นี่ทำไม” คนถูกย้อนถามยกยิ้มเยาะ สีหน้าบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความไม่เป็นมิตร นัยน์ตาคู่ทรงพลังคู่นั้นตวัดกลับมาสบตาด้วย


“เมื่อครู่ข้าให้เดลฟี่ทำนายดวงชะตาของข้าให้ฟัง รู้มั้ย เดลฟีทำนายว่าอย่างไร” ฮาเดสกับมาร์คสบตากันเล็กน้อยก่อนที่ฮาเดสจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น


“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา”


“หึ เกี่ยวสิ เกี่ยวมากทีเดียว เพราะในคำพยากรณ์กลับพูดถึงชื่อของลูกเจ้าเอาไว้ด้วย!”


“……………….”



แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Sat Oct 31, 2015 8:08 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง

http://0ctogus.forumth.com

0ctogus

0ctogus
Admin



“ยามเมื่อผืนฟ้าถูกย้อมด้วยความตาย
สวรรค์คาลัยจักสั่นคลอน
ใต้พิภพย้อนคืนขึ้นสู่  
พายุหรือความตายจักพ่ายแพ้
สิ่งล้ำค่าจักถูกแย่งชิง  
มนุษย์กึ่งเทพคุมชะตา
ต้วนอี้เอินจักเป็นภัยแก่ท้องนภา”


เกิดความกระสับกระส่ายทั่วทั้งท้องพระโรงราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องสั่นประสาทและทำให้เทพเจ้าที่มีอายุมากว่าหลายพันปีตื่นตระหนกได้ ขึ้น เพราะตั้งแต่มีคำพยากรณ์ออกมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่เดลฟีจะระบุชี้ชัดถึงชื่อบุคคลใดมาก่อนเพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว คำพยากรณ์มักจะเป็นคำกลอนที่ไม่มีใครถอดความได้จนกระทั่งที่เหตุการณ์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว แต่แล้วทำไม…


     คำพยากรณ์บทนี้ถึงมีการพูดถึงชื่อของมนุษย์กึ่งเทพคนนี้อย่างชัดเจน….



“หึ” ฮาเดสส่งเสียงหัวเราะในลำคอขึ้นอย่างไม่ยี่หระต่ออารมณ์ของซุส ราวกับว่าคำพูดของราชาแห่งเทพองค์นี้เป็นเพียงคำพูดขบขันที่ไม่มีค่าพอจะให้จริงจังด้วย



“เจ้าหัวเราะอะไร ฮาเดส!”



“หึ” เทพเจ้าแห่งความตายยิ้มเยาะ ตวัดสายตาสบกับผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายแท้ๆแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังและเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ


“ เจ้านี่ช่างไร้สาระ…”  


“เจ้าว่าอย่างไรนะ ฮาเดส!!” ซุสตวาดลั่น สายฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วท้องพระโรงจนเกิดเสียงลั่นดังเปี๊ยะๆกึกก้องกัมปนาทให้สั่นไหว เทพเจ้าแห่งความตายยกยิ้มอย่างไม่แยแส โต้ตอบตอกกลับด้วยการเรียกกองทัพโครงกระดูกจากนรกใต้พิภพ พื้นหินอ่อนสั่นสะเทือน ความมืดอนธการเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ กลิ่นไอแห่งความตายคละคลุ้ง เสียงโหยหวนของภูติผีดังหลอกหลอน  สายลมเย็นยะเยือกโหมพัด โครงกระดูกนับร้อยค่อยๆคลานขึ้นมาจากรอยแยก


“เจ้าไม่ใช่ราชาที่ข้าจำเป็นจะต้องเคารพอีกตลอดไป” สิ้นเสียงนั้นฮาเดสก็สั่งการให้เหล่ากองทัพโครงกระดูกพุ่งจู่โจม ซุสเรียกอสนีบาตเข้าฟาดฟัน การปะทะอย่างรุนแรงก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่สั่นไหวไปทั่วทั้งท้องพระโรง เทพเจ้าแห่งความตายรีบอาศัยจังหวะชุลมุนวุ่นวายเข้าคว้าตัวลูกชายเอาไว้


“รีบหนีไปซะ คนอย่างซุสไม่มีทางปล่อยเจ้าไปเฉยๆแน่ เขาต้องจ้องจะกำจัดเจ้า รีบหนีไปซะตั้งแต่ตอนนี้ ทางนี่พ่อจะขัดขวางไว้ให้เอง”


“แต่ท่านพ่อครับ!!!”


เปรี้ยง!!


เสียงฟ้าผ่าดังไปทั่วทั้งท้องพระโรง


“เหลือเวลาไม่มากแล้ว  รีบหนีซะ!!!” เทพเจ้าแห่งความตายผลักลูกให้ออกห่าง


“แต่ท่านพ่อ”


“ถือว่านี่คือคำขอร้อง”


“……” สองพ่อลูกสบตากัน เสียงปะทะระหว่างโครงกระดูกและสายฟ้ายังคงดังกึกก้อง มาร์คกำมือแน่น หลับตาปิดการมองเห็น ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างจำใจ


“ผมจะหนีรอดไปให้ได้”


เปรี้ยง!!!


อสนีบาตฟาดเข้าใส่ ฮาเดสผลักลูกให้พ้นเขตอันตรายก่อนจะเรียกสองง่ามอาวุธประจำกายออกมาตวัดฟาดความมืดมิดเข้าดูดกลืนสายฟ้าก่อนที่ซุสจะคำรามดังกึกก้องด้วยความโกรธเกรี้ยว


“เจ้าคิดจะหนีข้าไปได้งั้นหรอ!! เหล่าเทพโอลิมปัส จงจำมัน!!!” เกิดความลังเลกันในกลุ่มเทพเจ้า เทพเจ้าบางองค์อึกอักที่จะทำตาม พวกเขาสบตากันอย่างประเมินแล้วเพิกเฉยต่อคำสั่งของซุส ทว่านั่นก็ไม่ใช่เทพเจ้าทั้งหมด เพราะยังมีเทพเจ้าอีกหลายองค์ที่ทำตามคำสั่งของซุส


“ขอโทษทีนะ ข้าก็ไม่ได้อยากจะทำนักหรอก แต่ข้าต้องการผลงานเพื่อลบล้างความผิดที่ข้าเคยก่อไว้”ไดโอนีซุส(เทพเจ้าแห่งไวน์และการเกษตร)พูดขึ้นก่อนจะเรียกเถาองุ่นขนาดมหึมาจากพื้นแล้วพุ่งทะยานหมายจะเข้าคว้าร่างของมาร์คเอาไว้



         ร่างสูงที่กระเสือกกระสนวิ่งหนีเรียกภูตผีขึ้นมาตอบโต้ต่อกร ทว่าไดโอนีซุสแข่งแกร่งเกินไป ซ้ำร้ายยังมีคนคอยช่วยหนุนอย่างอะเทมิส(เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์) และอพอลโล (เทพแห่งดวงอาทิตย์และดนตรี)ที่ยิงธนูคอยสกัด เฮรา(ชายาแห่งซุส เทพีผู้ดูแลการสมรส)คอยเสกเครื่องกีดขวางมากมายเข้าใส่  และยังมีดีมิเทอร์ (เทพีแห่งการเก็บเกี่ยว โดยตามตำนานแล้วดีมิเทอร์เกลียดชังฮาเดส เนื่องด้วยฮาเดสลักพาตัวเพอร์ซิโฟเน่ ธิดาของเธอไปเป็นชายายังนรกใต้พิภพ)ที่คอยจะสาปให้เขากลายเป็นพืชพันธุ์ทางการเกษตรต่างๆ


“ท่านดีมิเทอร์…”


“จงอย่าเอ่ยชื่อของข้าด้วยปากของหน่อเนื้อเทพผู้ชั่วร้ายนั่น!” เทพีตวาดลั่น เงื้อมือขึ้นหมายจะเสกให้เขากลายเป็นข้าวโพด มาร์ครีบผงะถอยหลังจนสะดุดล้ม รีบเงื้อแขนขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณ ทว่าเพียงชั่วเสี้ยววินาทีนั้นกลับมีฝูงนกกระดาษจากที่ไหนไม่รู้เข้ามาขวางกั้นไว้เสียก่อน


“รีบหนีไปซะ บุตรแห่งฮาเดส! ตรงนี้ข้าจะต้านเอาไว้เอง” เฮอร์มีสบินโฉบมาขวางกั้นเอาไว้ เคาะคะดูเซียสกับพื้น(อาวุธประจำกายของเฮอร์มีส มีลักษณะเป็นไม้คทาถูกพันไว้ด้วยงูสองตัวอันเป็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์)  เรียกให้เหล่าหนูมากมายขึ้นมาจากพื้นเข้ากัดกินทำลายพืชผลทางการเกษตร


“เฮอร์มีส!!!”


“ต้องขอโทษที่ต้องบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ” เทพแห่งการสื่อสารยกยิ้มยียวน ไดโอนีซุสที่โดนลูกหลงด้วยหวีดร้องลั่นด้วยความฉุนเฉียว


“ข้าจะไม่มีวันไว้ชีวิตเจ้า! เฮอร์มีส!!”


“ถ้าคิดว่าทำได้ก็เอาสิ” เสียงเทพเจ้าอีกองค์ดังขึ้น อะโฟรไดท์เทพีแห่งความงามพูดขึ้นอย่างแข็งกร้าวพร้อมด้วยเทพเอรีส เทพแห่งสงคราม เฮเฟสตัส เทพแห่งการช่างและไฟ อธีนา เทพีแห่งปัญญา โพไซดอน เทพแห่งมหาสมุทรเข้าสมทบเคียงข้าง เงื้ออาวุธขึ้นเตรียมจะต่อกร


“พวกเจ้าโง่หรือเปล่าที่คิดจะปกป้องเด็กคนนั้น!!!” เฮราตวาดลั่นท่ามกลางเสียงต่อสู้ระหว่างฮาเดสและซุสที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว


“พวกข้าไม่ได้โง่ พวกเจ้าต่างหากที่เชื่อทำตามคำสั่งโดยไม่ยึดหลักเหตุผลและความถูกต้อง” โพไซดอนตอกกลับ ตรีศูลอาวุธคู่กายค่อยๆมีสายน้ำอันเชี่ยวกราดไหลวนอยู่โดยรอบ


“ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็คงต้องจัดการกับพวกเจ้า ให้สิ้นซาก!!!” สิ้นเสียงนั้นการปะทะก็เกิดขึ้น  เหล่าเทพเข้าฟาดฟัน อาวุธประจำกายสำแดงเดช ลำแสงสะเก็ดไฟสว่างวาบ ภารานุภาพอันทรงพลังระเบิดเข้าใส่กันจนเกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท


       เถาวัลย์ และพืชพันธ์เข้าปะทะกับฝูงหนูและแมลงทั้งหลาย พลธนูที่ถูกระดมยิงถูกเผาให้มอดไหม้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์  เหล่าข้าราชบริพารของเฮราถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดของโพไซดอนกวาดเกลี้ยงไม่เหลือซาก ฮาเดสเรียกอสูรกายอย่างฮาร์ปี้ขึ้นมาต่อกรกับเหล่าอินทรีย์ยักษ์ของซุส



“รีบหนีไปซะ บุตรแห่งฮาเดส” เฮอร์มีสเอ่ยบอก ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะรีบร้อนวิ่งออกจากเขตท้องพระโรง มุ่งตรงไปยังทางเชื่อมแห่งท้องฟ้าที่เดินเข้าผ่านมาในตอนแรกโดยทิ้งการต่อสู้ฟาดฟันกันระหว่างทวยเทพไว้เบื้องหลัง


เปรี้ยง!!!


จู่ๆเสียงอสนีบาตรก็ฟาดฟันลงมายังพื้นท้องพระโรง แรงสั่นสะเทือนทำให้ทั้งพระราชวังสั่นไหว  เกิดรอยแยกร้าวไปทั่วทั้งอาคาร ร่างสูงของมาร์คเหลียวกลับมองยังเบื้องหลัง ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวจนสุดขีดเข้าเขย่าขวัญ ฉุดกระชากและเหนี่ยวรั้งให้เขาขยับไปไหนไม่ได้


“ท่านพ่อ!!!!” เสียงทุ้มหวีดร้องลั่น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าสั่นสะเทือนหัวใจให้สั่นไหว ฮาเดสถูกอสนีบาตของซุสฟาดฟันใส่ร่าง เทพเจ้าทรุดฮวบกับพื้น อิคอร์(เลือดของผู้เป็นอมตะ)ไหลหลั่งรินอาบลดย้อมพื้นหินอ่อนสีงาช้าให้กลายเป็นสีทองเจิดจ้า


“ท ท ท่านพ่อ” ร่างสูงรีบถลาวิ่งกลับเข้าไป หัวใจสลัดทิ้งทุกคำพูดของพ่อและเฮอร์มีส  สั่งการเพียงสิ่งเดียวว่าให้เข้าไปหาพ่อ


“ห ห หนีไป”เทพเจ้าแห่งความตายเอ่ยบอกกับลูกด้วยเสียงอันสั่นระริก พยายามอาจหาญฝืนสังขารเงื้อมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้หันหลังกลับแล้วรีบไปจากที่นี่ ทว่ากลับโดนซุสฟาดสายฟ้าใส่แล้วผลักหลบให้พ้นทาง


“ท่านพ่อ!!!!”


“หึ มนุษย์นี่ช่างอ่อนแอเสียจริง เพียงแค่ทำร้ายคนสำคัญของชีวิตก็พร้อมที่จะสละทุกอย่างเพื่อเข้าช่วยเหลือ ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก  เหล่าเทพโอลิมเปี่ยน จงจับมันซะ!!!” ฉับพลันนั้นเหล่าเทพเจ้าที่เข้าทางฝ่ายซุสก็รีบพุ่งตรงเข้ามาหา อาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนถูกความตื่นตระหนกเข้าคุกคาม เข้าจับกุมมาร์คเอาไว้ไม้ให้ดิ้นหนีไปไหนได้



                    เทพเจ้าองค์อื่นเริ่มได้สติ ตั้งท่าจะพุ่งเข้ามาแย่งชิง ทว่ากลับโดนเทพเจ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้าจับกุมเอาไว้เช่นกัน มหาเทพแห่งสรวงสวรรค์แย้มยิ้ม ส่งเสียงหัวเราะอย่างผู้ชนะในลำคอ พร้อมกับค่อยๆย่างสามขุมเข้ามาหาอย่างใจเย็น นัยน์ตาสีเทาพายุคู่นั้นมองเหยื่อที่ถูกจับกุมอยู่ด้วยแววตาสมเพชระคนสะใจ บีบคางแล้วบังคับให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย


“ ในที่สุด ข้าก็จับเจ้าได้สักที  บุรุษในคำพยากรณ์” ฝ่ามือแกร่งเพิ่มแรงบีบเสียจนใบหน้าของร่างสูงเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทว่าแม้จะทรมานสักเพียงใด ศักดิ์ศรีที่ภาคภูมิและความเกลียดชังที่มากล้นก็ไม่อาจถูกบั่นทอนลดลงให้เสื่อมคลายได้


“ปล่อยท่านพ่อของผมเดี๋ยวนี้” นัยน์ตาคมจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ ความโกรธแค้นและชิงชังถูกถ่ายทอดมาทางสายตาอย่างไม่มีปิดบัง



       ซุสหัวเราะอย่างไม่ยี่หระ มองร่างสูงราวกับเป็นตัวตลกที่แสนจะน่าสมเพช ออกแรงบีบสันกรามแรงขึ้นจนความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วร่าง พร้อมกับกระชากให้เข้ามาสบตาในระยะประชิด


“เป็นเหยื่อของข้าแล้วยังจะปากดีอีกงั้นหรอ” เสียงนั้นพูดรอดไรฟันอย่างเยือกเย็นก่อนจะสะบัดร่างของเขาให้กระเด็นไปกระแทกกับเสาร์หินอ่อนจนกระอักเลือด ทรุดฮวบลงแทบเท้าของเอรีส เทพแห่งสงครามผู้โหดเหี้ยม


“จงจับมันไปไว้ที่เขาคอเคซัส และลงโทษเยื้องที่โพรเมทิอัสได้รับ!” มหาเทพประกาศดังกึกก้อง


“ไม่!!!” ฮาเดสกู่ร้องด้วยความคุ้มคลั่ง พยายามฝืนสังขารขึ้นหมายจะฟาดฟันกับซุสให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ ทว่ามหาเทพกลับเสกโซ่เหล็กขนาดยักษ์เข้าตีตรวนร่างของเทพเจ้าแห่งความตายเอาไว้


“ท่านพ่อ!!!” มาร์คถลาร่างจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกเอรีสคว้าร่างเอาไว้


“หุบปากซะ!! ธุระของเจ้าไม่ใช่การเข้าไปช่วยเขา!!!”


“อ อ อย่าทำลูกของข้า ถ้าเจ้าจะทำ ให้ทำที่ข้า” ฮาเดสละล่ำละลักเอ่ยบอกกับซุส ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายแท้ๆของตนอย่างยากลำบาก อิคอร์สีทองไหลรินออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์มากมาย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ละความพยายามที่จะขอรับโทษนั้นไว้เอง



           โพรเมทิอัส ไททัน(เทพเจ้ายุคก่อน)ใครๆก็ต่างรู้ว่าถูกลงทัณฑ์อย่างไม่สมเหตุสมผล และการลงทัณฑ์ของเขาก็แสนทารุนเสียจนไม่มีมนุษย์หรือแม้แต่เทพเจ้าองค์ใดกล้าจินตนาการถึงความเจ็บปวด…


เขาถูกจับติดตรึงไว้บนยอดเขาคอเคซัส และถูกเหยี่ยวยักษ์คอยจิกกินตับทุกวัน ซึ่งเขาจะต้องตายและฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ในทุกๆเช้าเพื่อรับการลงทัณฑ์นี้ไปตลอดกาล


“ความห่วงใยของเจ้าช่างน่าปลาบปลื้มเสียจริง แต่ฮาเดส ข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายเจ้า ข้าแค่ต้องการลูกของเจ้า!” ซุสประกาศเสียงกร้าว


“จับเจ้าไปไว้ที่นั่นน่ะดีที่สุดแล้ว ความเจ็บปวดจะรบกวนจิตใจเจ้าไม่ให้คิดหาแผนการหลบหนี ยอดเขาคอเคซัสที่สูงชะลูดจะทำให้ข้าจับตาดูเจ้าได้ตลอดเวลา แล้วเจ้าก็จะได้หนีหลุดออกมาทำร้ายคนของท้องฟ้าตามคำทำนายไม่ได้  บุตรแห่งฮาเดส”


“อั่ก” ชายหนุ่มสำลักออกมาเป็นเลือด ทว่านัยน์ตากลับจับจ้องไปที่ซุสอย่างเคียดแค้น


“จงจำคำของผมเอาไว้ให้ดี”


“………”


“วันนี้ท่านเป็นผู้ชนะ แต่หากวันใดที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำจากความตาย วันนั้นผมจะกลับมาทวงความยุติธรรมที่ผมจะต้องได้รับ!!”


“ไม่มีวัน!!! จงจับมันไปที่เขาคอเคซัสซะ!!!!”



                       แล้วจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ก็เริ่มขึ้น….


การลงทัณฑ์ที่ไร้เหตุผล


ความยุติธรรมที่ถูกบิดเบือน


ความเคียดแค้นที่ลุกโชนอยู่ในอก


ทุกๆสิ่ง ทุกอย่าง ค่อยๆกัดเสาะหัวใจที่บริสุทธิ์ของบุตรแห่งฮาเดสให้บิดเบี้ยว ผลึกแห่งคุณธรรมหลุดลอกร่อนออกเป็นผุยผง ความเคียดแค้นค่อยๆลุกโชนแผดเผา  มอดไหม้เด็กหนุ่มที่เคยขาวสะอาดให้กลายเป็นชายหนุ่มผู้อัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้น


“ฉันอยู่อย่างนี้มานานเท่าไรแล้วนะ….” เสียงทุ้มดังขึ้นขณะที่ยังหลับตาฟังเสียงสายลมที่พัดผ่านและทุกสรรพสิ่งรอบกายด้วยใจที่เงียบสงบ ภูตผีข้ารับใช้ยังคงหมอบต่ำอยู่แทบเท้า เหยี่ยวที่คอยจิกกินตับของเขาทุกๆวันเห็นบินแต่ไกลมาจากขอบฟ้าที่ค่อยๆถูกแสงอาทิตย์กรีดความมืดออกเป็นริ้วๆแล้วแทนที่ด้วยแสงสว่างรับรุ่งอรุณ


เหยี่ยวตัวนั้นกลับมาแล้ว


เสียงวิญญาณเอ่ยบอก ร่างสูงยังคงมีทีท่าเรียบเฉยและนิ่งสงบ  ไม่กระวนกระวายต่อภัยที่กำลังบินโฉบเข้ามาหาตนเรื่อยๆเลยสักนิด


“มันถึงเวลาหรือยังนะ ที่ฉันจะได้ออกไปจากที่นี่สักที”


แคว๊ก แคว๊ก


เสียงเหยี่ยวส่งเสียงร้องอย่างมาดร้าย ร่างสูงเงื้อมือขึ้นสูงก่อนจะบีบคอของเหยี่ยวยักษ์ตัวนั้นให้แหลกคามือทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่


“ฉันชักจะเบื่อที่นี่ขึ้นทุกทีแล้วสิ” เสียงนั้นพูดขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่ลืมตาตื่น ดวงตาสีรัตติกาลแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้า กลิ่นไอแห่งความตายคละคลุ้งไปทั่ว ความมืดมิดอนธการแผ่รัศมีออกมาจากร่าง ย้อมสีฟ้าของท้องฟ้าให้กลายเป็นสีดำทมิฬ  บดบังความสว่างของพระอาทิตย์ โอบล้อมรัดรึงท้องฟ้าเหนือยอดเขาคอเคซัสให้กลายเป็นท้องฟ้าแห่งความตาย


“ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปทวงความยุติธรรมเสียที”

http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ