ภายในรถบัสของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เหล่านักเรียนที่นั่งคลาคล่ำกันอยู่เต็มคันรถกำลังถูกความเบื่อหน่ายและเฉยชาเข้าควบคุม ทุกคนต่างพากันมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง จับจ้องละอองน้ำฝนและไอความเย็นจางๆที่จับเกาะบานหน้าต่างจนบดบังทัศนียภาพรอบๆให้กลายเป็นสีเทาฝ้าฟางราวกับภาพที่ถูกกระดาษไขเข้ามาบดบังจนเหล่านักเรียนหลายคนพากันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย กว่าสองชั่วโมงแล้วที่พวกเขาต้องนั่งจับเจาอยู่บนรถบัสเพราะการจราจรติดขัดเนื่องจากสายฝนที่กระหน่ำตกลงมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนได้ทำให้เกิดน้ำท่วมขังตามท้องถนนไปเสียแล้ว
“มาก็มาได้แค่แปบเดียว นี่ขากลับยังจะมาติดแหง็กอย่างนี้อีกหรอเนี่ย” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งบ่นกระปอดกระแปดในขณะที่ดวงตากลมโตคู่นั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้อารมณ์
“นั่นสิ ฝนตกอย่างนี้เค้าว่ามันจะหยุดยากด้วยนะ แล้วงี้กว่าพวกเราจะถึงโรงเรียนก็นานสิ”
“อือ คงจะอย่างนั้นแหละ เฮ้อ แย่จังเนอะ” สองเสียงสอดประสานกันอย่างพร้อมเพียงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
ร่างบางที่นั่งอยู่เกือบท้ายรถเหลือบมองเพื่อนร่วมห้องสองคนนั้นก่อนตวัดสายตาไปมองคราบละอองฝนที่จับเกาะบนหน้าต่างแล้วเอื้อมมือไปวางทาบช้าๆ ม่านหมอกที่เคยบดบังทัศนียภาพค่อยๆเลือนหายไป ละอองฝนถูกระเหยให้กลายเป็นไอน้ำ ภาพวิวทิวทัศน์ด้านนอกค่อยๆเด่นชัดสู่สายตา เด็กหนุ่มเหลือบมองด้วยแววตาเฉยชาไร้อารมณ์ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ตกแค่แปบเดียว ถึงกับน้ำท่วมเลยหรอ”
น้ำท่วมขังที่เป็นอุปสรรคให้การจราจรติดขัดขยับไหวกระเพื่อมไปมายามที่รถบัสของพวกเขาขยับผ่านอย่างเชื่องช้า ร่างบางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ก่อนจะถอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ผ่านมาเกือบชั่วโมงแต่เพิ่งขยับได้แค่ร้อยเมตรเนี่ยนะ
แบมแบมคิดในใจก่อนจะกลอกตาไปมา พลางบ่นกระปอดกระแปดในใจไปด้วย ถ้ารู้อย่างนี้เขาก็คงขึ้นเขาไปห้ามพวกเว็นตัสให้เร็วกว่านี้ น้ำจะได้ไม่ท่วม รถบัสของโรงเรียนเขาจะได้ไม่ต้องมานั่งติดแหง็กอยู่บนถนนที่อยู่ห่างเลยจากโรงเรียนของเขาไม่ถึงห้ากิโลฯดีเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่มือบางจะล้วงเอาหูฟังที่ถูกเสียบเข้ากับมือถือเรียบร้อยแล้วขึ้นมาฟังเพลง เพื่อคลายความเบื่อหน่าย
ทำนองดนตรีที่ชอบค่อยๆดังมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างเชื่องช้าๆ เปลือกตาสีมุกค่อยๆหลับลงปิดการมองเห็น ปล่อยความคิดให้ไหลไปตามจิตการเรื่อยเปื่อย นึกย้อนไปถึงภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของยอดเขาแห่งนั้นที่เขาเพิ่งขึ้นไปสัมผัสเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
เหนือยอดเขาขึ้นไปนั้นมันช่างสวยงาม ต้นไม้ ทุ่งหญ้า พืชพันธุ์ต่างๆ ทุกอย่างกลับถูกสรรค์สร้างเอาไว้อย่างลงตัวราวกับพระเจ้าเป็นคนรังสรรค์ความงดงามนี้จนยอดเขานั้นถูกขนานนามให้เป็นสรวงสวรรค์บนดินแดนมนุษย์ อันเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้คนมากมายอยากขึ้นไปพิสูจน์ ซึ่งแน่นอนว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น อยากจะดูให้เห็นกับตาว่าที่เขาว่าสวยเยี่ยงสรวงสวรรค์คาลัยนั้นจริงมั้ย จะงดงามเทียบเท่าโอลิมปัสของผู้เป็นพ่อของเขาได้จริงๆหรือ และจะสามารถมองเห็นที่ยอดเขาฝั่งตรงข้ามอันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ชักนำให้เขาอยากขึ้นไปที่นั้นได้จริงหรือ…
ยอดเขาที่สามารถมองเห็นยอดเขาคอเคซัสได้
นานมาแล้วเคยมีเรื่องเล่ามีมนุษย์กึ่งเทพคนหนึ่งถูกลงทัณฑ์ด้วยความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ ผู้ชายคนนั้นถูกจับตรึงไว้ที่ยอดเขานั้นโดยทุกๆวันก็จะมีเหยี่ยวยักษ์มาจิกกินตับของเขาจนทนพิษบาดแผลไม่ไหวต้องสลบตายไปอย่างเจ็บปวด หากแต่ความทรมานก็ไม่ปราณีเขาเท่านั้น ยังคงฉุดกระชากเขาขึ้นมาจากหลุมลึกแห่งความตายขึ้นมาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในทุกๆเช้าและต้องรับโทษทัณฑ์อันไร้ซึ่งความยุติธรรมนั้นตลอดไป
เขาอยากเห็นผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายที่เปรียบเสมือนเรื่องต้องห้ามของสรวงสวรรค์ โดยหลายปีมาแล้วที่บังเอิญไปได้ยินเรื่องเล่าของเขาคนนั้น แต่ไม่เคยได้รู้รายละเอียด หรือแม้กระทั่งคำตอบของคำถามที่สงสัย เรื่องของเขาคนนั้นดูราวกับเป็นเรื่องห้ามให้พูดถึง ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม ไม่มีใครกล้าอธิบาย แม้แต่ชื่อของผู้ชายคนนั้นยังไม่มีใครกล้าเรียก เพราะเคยมีเรื่องเล่าว่าหากใครเอ่ยชื่อของเขาออกมา ความฉิบหายจักบังเกิด ความเคียดแค้นของชายคนนั้นจะเสียดแทงลึกลงไปในจิตใจ ความตายอันน่าสะพรึงกลัวจะตามหลอกหลอน เสียงร้องอย่างทรมานของชายคนนั้นจะดังแว่วอยู่ในหูอยู่ตลอดเวลา ทุกคนจึงขนานนามให้เขาว่า นักโทษแห่งสรวงสวรรค์ เพื่อเรียกการเอ่ยชื่อที่แท้จริง
ไม่รู้ว่าเขาทำผิดอะไร
ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า
และไม่รู้แม้กระทั่งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่เขาก็ยังอยากรู้ อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าที่ยอดเขาฝั่งตรงข้ามนั่น มีบุรุษนิรนามที่ถูกทั่วทั้งโอลิมปัสขนานนามให้ว่า นักโทษแห่งสรวงสวรรค์ อยู่ตรงนั้นรึเปล่า
.
.
.
แต่ก็เปล่า…
ณ จุดที่เขายืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่เห็นอะไรเลย…
.
.
ที่ยอดเขานั่นไม่มีใครอยู่เลย
“ขอโทษนะ ตรงนี้มีคนนั่งรึเปล่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกเขาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เปลือกตาสีมุกลืมตาตื่น นัยน์ตาดำขลับเหลือบมองผู้มาใหม่ที่ไม่ได้รับอนุญาต ใบหน้ากลมมีรอยยิ้มเป็นมิตรประดับ ท่าทางดูน่าเข้าหา ทว่าดวงตาที่แฝงแววขี้เล่นดูเหมือนเด็กซุกซนกำลังคิดหาแผนการอะไรอยู่ตลอดเวลาทำให้ร่างบางไม่ค่อยชอบใจนัก คนแปลกหน้าคนนี้กำลังทำให้เขานึกถึงใครบางคน
“นายก็เห็นนี่ว่าไม่มี” เขาเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก พยายามคิดทบทวนว่าเคยเห็นแววตาอย่างนี้ที่ไหน แต่ก็คิดไม่ออก สุดท้ายเลยปล่อยความคลางแคลงใจไปกับความคิดแล้วฝังกลบมันด้วยข้อสรุปที่ว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมห้องสักคนหนึ่งของเขา
ร่างบางเบนสายตาไปมองนอกหน้าต่างโดยที่หูฟังยังคงเสียบคาไว้ที่หูและไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผู้มาใหม่ ทำราวกับว่าอีกฝ่ายคืออากาศธาตุ แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ ก็เขาเป็นคนแบบนี้ล่ะ ไม่สนใจใคร ไม่เอาใคร พื้นที่ว่างในจิตใจไม่เคยเว้นที่ไว้ให้สำหรับการเปิดใจเลือกคบใครเป็นเพื่อน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาได้บทเรียนและการเรียนรู้มาแล้วว่าการอยู่คนเดียวมันดีกว่ากันเป็นไหนๆ
เขาไม่ต้องการเพื่อน
ไม่ต้องการสังคม
มนุษย์พวกนั้นเป็นสิ่งที่ไว้ใจไม่ได้
“คิดอย่างนั้นจริงๆหรอ” ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ดวงตาขี้เล่นเหลือบตามามองเขา แบมแบมชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะหันหน้ามองออกไปยังนอกหน้าต่างต่อ
เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเสียงหัวเราะก็ดังมาจากคนข้างตัว ร่างบางตวัดสายตากลับไปมอง เด็กหนุ่มเพื่อนร่วมห้องคนนั้นยังคงขบขันอยู่กับอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ หมอนี่กำลังขำอะไร หัวเราะเยาะเขางั้นหรอ ไอ้บ้านี่มันประสาทหรือเปล่า
“นายหัวเราะอะไร” คิ้วได้รูปเริ่มขมวดเข้าหา แววตาเริ่มขุ่นเคืองด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงไม่หัวเราะขบขันอยู่
“ฉันถามว่านายหัวเราะอะไร!”
“นายกำลังคิดอย่างนั้นอยู่จริงๆน่ะหรอ อ๋า มันเป็นเรื่องที่ตลกมากๆเลยนะ ไม่ยอมมีเพื่อนเพราะไม่กล้าไว้ใจใคร”
“นี่นายเป็นใครกันแน่!” ร่างบางตวาดถาม กระชากอีกฝ่ายเข้ามาหาอย่างหาเรื่อง นัยน์ตาสีรัตติกาลจ้องอีกคนอย่างดุดัน จุดเดือดของโทสะที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วค่อยๆปะทุขึ้น เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่บริเวณนั้นเริ่มให้ความสนใจ ต่างพากันลอบดูสถานการณ์เกิดขึ้น
“นายเป็นใคร” เสียงทุ้มหวานกดต่ำ พยายามควบคุมความโกรธเกรี้ยวของตัวเองไม่ให้เผลอแสดงประจุไฟฟ้าออกมาเพราะยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดาหรืออย่างอื่น เพราะมันคงจะไม่ดีแน่ถ้าเขาไปช็อตใครด้วยกระแสไฟฟ้าหลายโวลต์ทั้งๆที่อีกฝ่ายเป็นมนุษย์
แต่ถ้าไม่ใช่…
ก็อีกเรื่องหนึ่ง..
“สมแล้วที่เป็นลูกซุส…” เสียงชายแปลกหน้าพูดขึ้นพร้อมวาดยิ้มให้ สัญชาตญาณกำลังร่ำร้องและร้องบอกถึงความไม่ปลอดภัย การเป็นบุตรแห่งซุสไม่เคยนำมิตรมาให้ บ่อยครั้งที่เขาต้องเจอกับศัตรูเก่าของพ่อหรือแม้กระทั้งเทพเจ้าที่ไม่พอใจในตัวผู้เป็นพ่อ
“แกเป็นใคร” แบมแบมพูดรอดไรฟัน ท่าทางขมขู่ราวกับเสือสาวที่กำลังฉุนเฉียวจนถึงขีดสุด
“ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก” อีกฝ่ายคลี่ยิ้มก่อนจะต้องนิ่วหน้าทันทีที่ร่างบางปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อตรอบคอของเขาให้ปวดหนึบ
“นายต้องการอะไร!”
“โว้ๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ ฉันไม่ได้มาร้าย ฉันมาดี”
“แล้วไอ้พวกที่มาร้ายที่ไหนจะบอกว่าตัวเองมาร้าย!” ร่างบางกระชากอีกฝ่ายเข้าหามากขึ้น ใบหน้าเริ่มฉายแววหัวเสีย
“ ก็จริงแฮ่ะ ลืมไปซะสนิทเลย อ่า แล้วนี่ฉันต้องบอกยังไงดีล่ะเนี่ย เฮ้ สวัสดีฉันเป็นคนดี ฉันมาดี สาบานได้”
“อย่ามากวนประสาทฉัน! ฉันถามว่าแกต้องการอะไร!!” ประจุไฟฟ้ารอบตัววิ่งวุ่น กลิ่นโลหะเริ่มคละคลุ้งทั่วบรรยากาศจนเหล่านักเรียนเริ่มอุดจมูก ประกายไฟฟ้าแลบแปลบปลาบช็อตรอบคออีกฝ่ายให้ได้เจ็บจี๊ดๆ
“โอ๊ย โอ๊ย นี่ถึงกับต้องช็อตกันเลยรึไงเนี่ย ฉันแค่นำสารเฮอร์มีสมาส่ง!!”
“นายว่าอะไรนะ”
“ฉันนำสารของเฮอร์มีสมาส่ง ซุสมีคำสั่งให้นายขึ้นไปหาเดี๋ยวนี้”
“ซุส ท่านพ่อ?” ร่างโปร่งเอ่ยทวนอย่างไม่เชื่อหู มือที่กำคอเสื้ออีกฝ่ายไว้อยู่ค่อยๆคลายออก
“ใช่น่ะสิ ในโลกนี้มันมีใครที่ชื่อว่าซุสนอกจากตาลุงนั่นอีกมั้ยเนี่ย!” ชายแปลกหน้าปัดปกเสื้อที่เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระพร้อมกับจัดให้เข้าที่เข้าทางด้วยท่าทางสบายๆไม่แยแสต่อสายตาที่ตวัดกลับมามองอย่างไม่พอใจของร่างบางสักนิด
“ท่านพ่อเรียกฉันขึ้นไปทำไม”
“ก็เพราะว่าตอนนี้นักโทษ เฮ้ ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องบอกนายนะ ฉันแค่เป็นคนส่งสารและพานายขึ้นบนนั้น!!”
“นักโทษ? เมื่อกี้นายจะพูดอะไรเกี่ยวกับนักโทษ”
“เมื่อกี้ฉันพูดว่านักโทษหรอ อ่า สงสัยนายคงได้ยินผิด โอ้ นี่ เลยเวลาที่ฉันกำหนดไว้แล้ว เราควรจะไปกันได้แล้ว” ชายแปลกหน้าที่อ้างตนว่าเป็นผู้ส่งสารเอ่ยบอกพร้อมกับฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้น หลังจากที่เหลือบตามองดูหน้าปัดนาฬิกาข้อมือหน้าตาประหลาดนั่น ร่างบางสะบัดข้อมือทิ้ง ขืนตัวไม่ยอมเดินตามอีกฝ่ายอย่างถือตน
“ เมื่อกี้นายพูดอะไรถึงนักโทษ!”
“ขอล่ะ อย่าเพิ่งถามตอนนี้ เราจะต้อง”
ครืนน ครืนนน
เสียงแผ่นดินไหวดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สิ่งก่อสร้างต่างๆสั่นคลอนไปตามแรงสั่นสะเทือน เหล่านักเรียนที่นั่งกันอยู่เต็มคันรถถูกแรงเหวี่ยงลงมาให้ล้มลงมากองกับพื้นทางเดิน ชายแปลกหน้าและแบมแบมรีบหาที่ยึดเกาะ เสียงโหยหวนของอะไรบางอย่างดังขึ้นอย่างสั่นประสาท ผู้คนรีบยกมือขึ้นปิดหู ท้องฟ้าสีครามค่อยๆถูกความมืดมิดอันน่าสะพรึงกลัวย้อมให้มืดมิด พื้นถนนแตกแยกเกิดรอยร้าว เหล่าโครงกระดูกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากผืนพิภพ ผู้คนพากันหวีดร้องสุดเสียง
“นั่น นั่น นั่นมันอะไรกันน่ะ” ร่างบางพึมพำขึ้นด้วยความหวาดกลัว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นท้องฟ้าถูกย้อมให้กลายเป็นสีดำอย่างนี้มาก่อน
“โอ๊ะโอ่ ดูเหมือนว่าเรากำลังเจอเข้ากับปัญหาใหญ่แล้ว” ชายปริศนาคนนั้นพูด
“นายหมายความว่ายังไง”
“ตามที่พูดน่ะสิ เรากำลังเจอปัญหาใหญ่แล้ว! และตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วด้วย หมอนั้นไม่ทำแค่เรียกความตายออกมาหรอก!” เขาพูดอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับรีบคว้าฮู๊ดของร่างบางแล้วออกแรงดึงไปตามทางเดิน
“เดี๋ยว! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! หมอนั่น แล้วหมอนั่น คือ”
บุตรแห่งซุส
เสียงโหยหวนของวิญญาณดังขึ้น เหล่าภูตผีค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา รถบัสทั้งคันกำลังถูกคุกคามด้วยกองทัพโครงกระดูกและภูตผี
“กรี๊ดดดด!!” เสียงกรีดร้องของนักเรียนผู้หญิงดังขึ้นเมื่อแสงสีดำประหลาดฟาดเข้าที่กลางลำรถ ผ่ารถบัสขนาดใหญ่ให้กลายเป็นสองท่อนโดยเฉียดจากจุดที่ร่างบางอยู่ไปเฉียดฉิว แบมแบมเงยหน้าขึ้นมองตามแนววิถี คลื่นแห่งความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา เข้ากลืนกินและดูดวิญญาณของทุกชีวิตให้กลืนไปกับความมืด เหล่านักเรียนต่างส่งเสียงหวีดร้องรีบตะเกียกตะกายวิ่งหนี
จงออกมา บุตรแห่งซุส
เสียงแหบแห้งของเหล่าดวงวิญญาณกู่ร้องโหยหวน ความโกรธแค้น ชิงชัง และอาฆาตอัดแน่นอยู่ในน้ำเสียง ความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา ทุกที่มันพาดผ่านสีสันและความมีชีวิตชีวาของทุกสรรพสิ่งกลับถูกความมืดมิดนั้นดูดกลืนแล้วฉาบทุกอย่างให้ตกอยู่ในความตายอันน่าสะพรึงกลัว ร่างของชายคนหนึ่งกำลังก้าวเดินมาหาเขาอย่างใจเย็น ไอแห่งความตายแผ่ซ่านออกมาจากคนคนนั้นเสียจนบดบังใบหน้าที่แท้จริง ทว่าประกายแววตาที่ทอแสงอยู่ท่ามกลางความมืดนั้นก็ทำให้เขารับรู้ถึงอีกฝ่ายได้
“นัยน์ตาสีทอง…”
“ใช่ นั่นล่ะ เขาเลย คนในตำนานคนนั้น!!”
“นายว่าอะไรนะ!!”
“เลิกตกใจสักทีเถอะน่า! จะตายกันอยู่แล้ว นี่จับฉันไว้ เราต้องรีบไปกันแล้ว!” หนุ่มหุ่นนักรักบี้คนนั้นโหวกเหวกโวยวาย พร้อมกับลากเขาลงมายังด้านนอกของรถ ขนนกสีเทาค่อยๆตกลงมาตามทาง นัยน์ตาหวานไล่มองตามก่อนจะต้องเบิกตาโพลงที่เห็นรองเท้าผ้าใบธรรมดาของเขาค่อยๆมีปีกกระพืออยู่ที่ข้อเท้า
“นายคือ…”
“อ่า ห๊ะ ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อย ฉันชื่อ แจ็คสัน เป็นบุตรแห่งเฮอร์มีส และตอนนี้เรามีโปรแกรมต้องไปทัวร์สวรรค์กันสักหนึ่งรอบ!” แจ็คสันพูดอย่างฉะฉานแข่งกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของภูตผี แขนแกร่งนั่นคว้าตัวเขาไว้แน่น เสียงกระพือปีกของรองเท้าดังขึ้นอย่างทรงพลังผิดจากรูปลักษณ์ที่เล็กจิ๋ว แจ็คสันพูดอะไรบางอย่างผ่านทางสายลมกับเขา แต่เสียงที่ดังอื้ออึงกลบเสียงมันจนหมดจนได้ยินเพียงแค่คำว่าไป! ก่อนที่การเคลื่อนที่อย่างฉับไวจะเกิดขึ้น
“แกคิดว่าจะหนีฉันไปได้งั้นหรอ…” เสียงทุ้มที่ก้องกังวานดังขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ แม้จะเปล่งคำพูดออกมาไม่กี่คำ ความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในอกก็เด่นชัดอยู่ในน้ำเสียง
“ต่อให้แกจะหนีไปไกลแค่ไหน ฉันก็จะตามไล่ล่าแกจนกว่าจะเจอ!!!” ฉับพลันนั้นผืนดินก็สั่นสะเทือน กองทัพโครงกระดูกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากใต้พิภพ ชายหนุ่มผู้มากับความตายออกคำสั่งให้เริ่มไล่ล่า
---------------------------------------------------
“เมื่อกี้นั่นมันอะไรกันน่ะ!!” ร่างบางที่ถูกพาเคลื่อนที่ฉับไวเอ่ยถามทันทีที่แจ็คสันเริ่มชะลอความเร็วลงหลังจากที่ตรวจดูแน่ใจแล้วว่าคงพ้นระยะที่อีกฝ่ายจะตามไล่ล่าได้
“แฮ่ก แฮ่ก โคตรเหนื่อยเลย” บุตรแห่งเฮอร์มีสหอบหายใจแรงด้วยความเหน็ดเหนื่อย แบมแบมเหลียวหลังกลับไปมองราวกับหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะตามทัน
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร นายรู้จักเขาด้วยหรอ แล้วทำไมเขาถึงไล่ตามฉัน แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย!”
“เฮ้ เฮ้ ใจเย็น ฉันตอบไม่ทัน” หนุ่มหุ่นนักลักบี้เอ่ยตอบขณะที่ยังคงเคลื่อนที่อย่างฉับไวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ความไวรวดเร็วมากเสียจนวิวทิวทัศน์โดยรอบกลายเป็นเพียงเส้นสีหลากสีเส้นที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนยากที่จะมองออกว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด และอีกไกลแค่ไหนจะถึงยังที่หมาย
“ผู้ชายคนนั้นคือใคร” ร่างบางเอ่ยถามอย่างวาดมาดผู้นำ แจ็คสันเหลือบมองก่อนจะเบือนสายตาหลบนัยน์ตาทรงพลังคู่นั้นที่จับจ้อง
“ก็อยากจะตอบล่ะนะ แต่ฉันไม่ได้มีหน้าที่มาเฉลยทุกอย่างให้นาย ฉันเป็นแค่”
“ผู้ชายคนนั้นคือใคร” ประโยคเดิมถูกเอ่ยถาม ร่างบึกบึนถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
“ขอโทษจริงๆ ฉันได้รับคำสั่งมาแค่พานายขึ้นไปยังสวรรค์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่นายถามซุสคงอธิบายเอง”
“ฉันบอกว่า”
“พวกมันตามมาแล้ว” บุตรแห่งเฮอร์มีสเอ่ยแทรกขึ้น ดวงตาเหลือบมองไปยังพื้นด้านล่าง เหล่ากระทัพโครงกระดูกกำลังตะเกียกตะกายคลานตามพวกเขา เบ้าตากลวงโบ๋ของมันกำลังจับจ้อง กรามที่ดูไม่สมประกอบกำลังส่งเสียงดังกึกกักราวกับว่าพวกมันกำลังรายงานเจ้านายที่อยู่ห่างไกลออกไปอยู่
“แย่แน่ๆ… หมอนั่นเคลื่อนที่ผ่านเงาได้ ถ้าเป็นอย่างนี้มีหวังได้ถูกจับตัวก่อนจะถึงโอลิมปัสชัวร์” เคลื่อนที่ผ่านเงา… ร่างบางทวนคำพูดของอีกฝ่ายอีกครั้ง เคลื่อนที่ผ่านเงา นอกจากฮาเดสแล้วในโลกนี้ก็มีคนที่ทำได้อยู่คนเดียวนั่นก็คือ…
นักโทษแห่งสรวงสวรรค์
“ผ ผ ผู้ชายคนนั้น เขาคือ นักโทษแห่งสรวง”
“ไว้ค่อยเล่า!! เกาะไว้แน่นๆ เราต้องบินความเร็วสูงสุดกันแล้ว!!!” สิ้นเสียงนั้นร่างบางก็ถูกอีกฝ่ายกระชับเข้าหาตัวก่อนทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาเหมือนถูกฉุดกระชากไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเส้นสีที่ขมุกขมัวยิ่งกว่าเก่า อวัยวะภายในเหมือนถูกฉุดกระชากให้ออกจากร่าง ทุกอย่างตีรวนกันอยู่ในท้องจนแทบจะอาเจียนออกมาทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น
“อ อ อ่อก อะ!” แบมแบมทรุดฮวบรีบวิ่งหากระถางต้นไม้ อาหารทุกอย่างที่กินไปถูกขย้อนออกมาจนหมด ร่างบางรีบยึดจับขอบกระถางเอาไว้แล้วหลับตาลงให้อาการเวียนหัวอย่างรุนแรงทุเลาลง
“โทษที รีบบอกไปว่ามันจะแฮ๊งค์นิดหน่อย” หนุ่มรักบี้ฉีกยิ้มกว้างที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนสำนึกผิดเลยสักนิด
“คราวหลังนายก็ บอก ฉัน ด้วย!!”
“แล้วจะบอกนะ เอาล่ะ ตอนนี้เรารีบไปหาซุสกันเถอะ เพราะฉันไม่มั่นใจเท่าไรว่าที่นี่จะปลอดภัย” แจ็คสันพูดในขณะที่สายตาดวงตาใจดีคู่นั้นจับจ้องไปยังทิศตะวันตก ร่างบางค่อยๆเบือนสายตามองตามก่อนที่ความสะพรึงกลัวจะเข้าเขย่าขวัญให้หัวใจสั่นไหว ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกนั่นกำลังมีคลื่นแห่งความตายสีดำทมิฬแผ่ขยายและมุ่งตรงมาที่นี่
“ ปกติคนของความตายขึ้นมาที่นี่ไม่ได้ยกเว้นแค่วันอายันไม่ใช่หรอ” ร่างบางพึมพำด้วยเสียงอันเบาหวิว ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเผชิญหน้ากับความกลัวรูปแบบไหนที่อันตรายและน่าพรั่นพรึงเท่านี้มาก่อน
แจ็คสันมองภาพเบื้องหน้าก่อนจะหันกลับมาสบตากับอีกฝ่าย นัยน์ตาที่เคยแฝงแววสนุกสนานและทีเล่นทีจริงถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียดและกลัดกลุ้ม
“เสียใจด้วยที่ต้องพูดนะ”
“นายหมายความว่ายังไง”
“วันนี้คือวันอายัน”
---------------------------------------------------------------
เสียงโหยหวนของภูตผีดังขึ้น ท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่กี่เมตรเริ่มกลายเป็นสีดำทมิฬ เหล่าสิ่งมีชีวิตต่างพากันหวีดร้องกระเจิดกระเจิงวิ่งหนีด้วยความแตกตื่น โลกกว่าครึ่งใบที่ถูกกองทัพแห่งภูตผีพาดผ่านถูกย้อมให้กลายเป็นสีเทา สรวงสวรรค์ที่ไม่เคยอับแสงหมองหม่นโดยไอแห่งความตาย บรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นเร่งเร้าให้คนทั้งสองรีบวิ่งไปตามทางเดินของเทือกเขาโอลิมปัสที่ค่อยๆถูกสั่นคลอนด้วยแรงสั่นสะเทือนจากใต้ผืนพิภพ
โอลิมปัสเริ่มเข้าสู่ความโกลาหล เหล่าเทพเจ้าและเทพีน้อยใหญ่พากันออกมายืนดูหายนะที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา ทุกองค์ล้วนพากันแตกตื่น ส่งเสียงหวีดร้องตกใจ บ้างพึมพำพรั่นพรึง บ้างเริ่มหาที่ซ่อนและหลบหนีจึงก่อเกิดเป็นภาพแห่งความวุ่นวายที่ทุกคนแห่กันออกจากโอลิมปัสในขณะที่มีเพียงมนุษย์กึ่งเทพสองคนเท่านั้นกลับวิ่งสวนทางขึ้นไปยังมหาวิหารของมหาเทพซุสลอยเด่นอยู่ไม่ไกล
“มาก็มาได้แค่แปบเดียว นี่ขากลับยังจะมาติดแหง็กอย่างนี้อีกหรอเนี่ย” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งบ่นกระปอดกระแปดในขณะที่ดวงตากลมโตคู่นั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้อารมณ์
“นั่นสิ ฝนตกอย่างนี้เค้าว่ามันจะหยุดยากด้วยนะ แล้วงี้กว่าพวกเราจะถึงโรงเรียนก็นานสิ”
“อือ คงจะอย่างนั้นแหละ เฮ้อ แย่จังเนอะ” สองเสียงสอดประสานกันอย่างพร้อมเพียงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
ร่างบางที่นั่งอยู่เกือบท้ายรถเหลือบมองเพื่อนร่วมห้องสองคนนั้นก่อนตวัดสายตาไปมองคราบละอองฝนที่จับเกาะบนหน้าต่างแล้วเอื้อมมือไปวางทาบช้าๆ ม่านหมอกที่เคยบดบังทัศนียภาพค่อยๆเลือนหายไป ละอองฝนถูกระเหยให้กลายเป็นไอน้ำ ภาพวิวทิวทัศน์ด้านนอกค่อยๆเด่นชัดสู่สายตา เด็กหนุ่มเหลือบมองด้วยแววตาเฉยชาไร้อารมณ์ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ตกแค่แปบเดียว ถึงกับน้ำท่วมเลยหรอ”
น้ำท่วมขังที่เป็นอุปสรรคให้การจราจรติดขัดขยับไหวกระเพื่อมไปมายามที่รถบัสของพวกเขาขยับผ่านอย่างเชื่องช้า ร่างบางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ก่อนจะถอดถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ผ่านมาเกือบชั่วโมงแต่เพิ่งขยับได้แค่ร้อยเมตรเนี่ยนะ
แบมแบมคิดในใจก่อนจะกลอกตาไปมา พลางบ่นกระปอดกระแปดในใจไปด้วย ถ้ารู้อย่างนี้เขาก็คงขึ้นเขาไปห้ามพวกเว็นตัสให้เร็วกว่านี้ น้ำจะได้ไม่ท่วม รถบัสของโรงเรียนเขาจะได้ไม่ต้องมานั่งติดแหง็กอยู่บนถนนที่อยู่ห่างเลยจากโรงเรียนของเขาไม่ถึงห้ากิโลฯดีเสียด้วยซ้ำ
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่มือบางจะล้วงเอาหูฟังที่ถูกเสียบเข้ากับมือถือเรียบร้อยแล้วขึ้นมาฟังเพลง เพื่อคลายความเบื่อหน่าย
ทำนองดนตรีที่ชอบค่อยๆดังมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างเชื่องช้าๆ เปลือกตาสีมุกค่อยๆหลับลงปิดการมองเห็น ปล่อยความคิดให้ไหลไปตามจิตการเรื่อยเปื่อย นึกย้อนไปถึงภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของยอดเขาแห่งนั้นที่เขาเพิ่งขึ้นไปสัมผัสเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
เหนือยอดเขาขึ้นไปนั้นมันช่างสวยงาม ต้นไม้ ทุ่งหญ้า พืชพันธุ์ต่างๆ ทุกอย่างกลับถูกสรรค์สร้างเอาไว้อย่างลงตัวราวกับพระเจ้าเป็นคนรังสรรค์ความงดงามนี้จนยอดเขานั้นถูกขนานนามให้เป็นสรวงสวรรค์บนดินแดนมนุษย์ อันเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้คนมากมายอยากขึ้นไปพิสูจน์ ซึ่งแน่นอนว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น อยากจะดูให้เห็นกับตาว่าที่เขาว่าสวยเยี่ยงสรวงสวรรค์คาลัยนั้นจริงมั้ย จะงดงามเทียบเท่าโอลิมปัสของผู้เป็นพ่อของเขาได้จริงๆหรือ และจะสามารถมองเห็นที่ยอดเขาฝั่งตรงข้ามอันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ชักนำให้เขาอยากขึ้นไปที่นั้นได้จริงหรือ…
ยอดเขาที่สามารถมองเห็นยอดเขาคอเคซัสได้
นานมาแล้วเคยมีเรื่องเล่ามีมนุษย์กึ่งเทพคนหนึ่งถูกลงทัณฑ์ด้วยความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ ผู้ชายคนนั้นถูกจับตรึงไว้ที่ยอดเขานั้นโดยทุกๆวันก็จะมีเหยี่ยวยักษ์มาจิกกินตับของเขาจนทนพิษบาดแผลไม่ไหวต้องสลบตายไปอย่างเจ็บปวด หากแต่ความทรมานก็ไม่ปราณีเขาเท่านั้น ยังคงฉุดกระชากเขาขึ้นมาจากหลุมลึกแห่งความตายขึ้นมาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในทุกๆเช้าและต้องรับโทษทัณฑ์อันไร้ซึ่งความยุติธรรมนั้นตลอดไป
เขาอยากเห็นผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายที่เปรียบเสมือนเรื่องต้องห้ามของสรวงสวรรค์ โดยหลายปีมาแล้วที่บังเอิญไปได้ยินเรื่องเล่าของเขาคนนั้น แต่ไม่เคยได้รู้รายละเอียด หรือแม้กระทั่งคำตอบของคำถามที่สงสัย เรื่องของเขาคนนั้นดูราวกับเป็นเรื่องห้ามให้พูดถึง ไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม ไม่มีใครกล้าอธิบาย แม้แต่ชื่อของผู้ชายคนนั้นยังไม่มีใครกล้าเรียก เพราะเคยมีเรื่องเล่าว่าหากใครเอ่ยชื่อของเขาออกมา ความฉิบหายจักบังเกิด ความเคียดแค้นของชายคนนั้นจะเสียดแทงลึกลงไปในจิตใจ ความตายอันน่าสะพรึงกลัวจะตามหลอกหลอน เสียงร้องอย่างทรมานของชายคนนั้นจะดังแว่วอยู่ในหูอยู่ตลอดเวลา ทุกคนจึงขนานนามให้เขาว่า นักโทษแห่งสรวงสวรรค์ เพื่อเรียกการเอ่ยชื่อที่แท้จริง
ไม่รู้ว่าเขาทำผิดอะไร
ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า
และไม่รู้แม้กระทั่งว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่เขาก็ยังอยากรู้ อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าที่ยอดเขาฝั่งตรงข้ามนั่น มีบุรุษนิรนามที่ถูกทั่วทั้งโอลิมปัสขนานนามให้ว่า นักโทษแห่งสรวงสวรรค์ อยู่ตรงนั้นรึเปล่า
.
.
.
แต่ก็เปล่า…
ณ จุดที่เขายืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่เห็นอะไรเลย…
.
.
ที่ยอดเขานั่นไม่มีใครอยู่เลย
“ขอโทษนะ ตรงนี้มีคนนั่งรึเปล่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกเขาให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ เปลือกตาสีมุกลืมตาตื่น นัยน์ตาดำขลับเหลือบมองผู้มาใหม่ที่ไม่ได้รับอนุญาต ใบหน้ากลมมีรอยยิ้มเป็นมิตรประดับ ท่าทางดูน่าเข้าหา ทว่าดวงตาที่แฝงแววขี้เล่นดูเหมือนเด็กซุกซนกำลังคิดหาแผนการอะไรอยู่ตลอดเวลาทำให้ร่างบางไม่ค่อยชอบใจนัก คนแปลกหน้าคนนี้กำลังทำให้เขานึกถึงใครบางคน
“นายก็เห็นนี่ว่าไม่มี” เขาเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก พยายามคิดทบทวนว่าเคยเห็นแววตาอย่างนี้ที่ไหน แต่ก็คิดไม่ออก สุดท้ายเลยปล่อยความคลางแคลงใจไปกับความคิดแล้วฝังกลบมันด้วยข้อสรุปที่ว่าผู้ชายคนนี้คงเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมห้องสักคนหนึ่งของเขา
ร่างบางเบนสายตาไปมองนอกหน้าต่างโดยที่หูฟังยังคงเสียบคาไว้ที่หูและไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผู้มาใหม่ ทำราวกับว่าอีกฝ่ายคืออากาศธาตุ แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ ก็เขาเป็นคนแบบนี้ล่ะ ไม่สนใจใคร ไม่เอาใคร พื้นที่ว่างในจิตใจไม่เคยเว้นที่ไว้ให้สำหรับการเปิดใจเลือกคบใครเป็นเพื่อน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาได้บทเรียนและการเรียนรู้มาแล้วว่าการอยู่คนเดียวมันดีกว่ากันเป็นไหนๆ
เขาไม่ต้องการเพื่อน
ไม่ต้องการสังคม
มนุษย์พวกนั้นเป็นสิ่งที่ไว้ใจไม่ได้
“คิดอย่างนั้นจริงๆหรอ” ชายแปลกหน้าเอ่ยถาม ดวงตาขี้เล่นเหลือบตามามองเขา แบมแบมชักสีหน้าไม่พอใจก่อนจะหันหน้ามองออกไปยังนอกหน้าต่างต่อ
เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเสียงหัวเราะก็ดังมาจากคนข้างตัว ร่างบางตวัดสายตากลับไปมอง เด็กหนุ่มเพื่อนร่วมห้องคนนั้นยังคงขบขันอยู่กับอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ หมอนี่กำลังขำอะไร หัวเราะเยาะเขางั้นหรอ ไอ้บ้านี่มันประสาทหรือเปล่า
“นายหัวเราะอะไร” คิ้วได้รูปเริ่มขมวดเข้าหา แววตาเริ่มขุ่นเคืองด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงไม่หัวเราะขบขันอยู่
“ฉันถามว่านายหัวเราะอะไร!”
“นายกำลังคิดอย่างนั้นอยู่จริงๆน่ะหรอ อ๋า มันเป็นเรื่องที่ตลกมากๆเลยนะ ไม่ยอมมีเพื่อนเพราะไม่กล้าไว้ใจใคร”
“นี่นายเป็นใครกันแน่!” ร่างบางตวาดถาม กระชากอีกฝ่ายเข้ามาหาอย่างหาเรื่อง นัยน์ตาสีรัตติกาลจ้องอีกคนอย่างดุดัน จุดเดือดของโทสะที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้วค่อยๆปะทุขึ้น เพื่อนร่วมชั้นที่นั่งอยู่บริเวณนั้นเริ่มให้ความสนใจ ต่างพากันลอบดูสถานการณ์เกิดขึ้น
“นายเป็นใคร” เสียงทุ้มหวานกดต่ำ พยายามควบคุมความโกรธเกรี้ยวของตัวเองไม่ให้เผลอแสดงประจุไฟฟ้าออกมาเพราะยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดาหรืออย่างอื่น เพราะมันคงจะไม่ดีแน่ถ้าเขาไปช็อตใครด้วยกระแสไฟฟ้าหลายโวลต์ทั้งๆที่อีกฝ่ายเป็นมนุษย์
แต่ถ้าไม่ใช่…
ก็อีกเรื่องหนึ่ง..
“สมแล้วที่เป็นลูกซุส…” เสียงชายแปลกหน้าพูดขึ้นพร้อมวาดยิ้มให้ สัญชาตญาณกำลังร่ำร้องและร้องบอกถึงความไม่ปลอดภัย การเป็นบุตรแห่งซุสไม่เคยนำมิตรมาให้ บ่อยครั้งที่เขาต้องเจอกับศัตรูเก่าของพ่อหรือแม้กระทั้งเทพเจ้าที่ไม่พอใจในตัวผู้เป็นพ่อ
“แกเป็นใคร” แบมแบมพูดรอดไรฟัน ท่าทางขมขู่ราวกับเสือสาวที่กำลังฉุนเฉียวจนถึงขีดสุด
“ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก” อีกฝ่ายคลี่ยิ้มก่อนจะต้องนิ่วหน้าทันทีที่ร่างบางปล่อยกระแสไฟฟ้าช็อตรอบคอของเขาให้ปวดหนึบ
“นายต้องการอะไร!”
“โว้ๆ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ ฉันไม่ได้มาร้าย ฉันมาดี”
“แล้วไอ้พวกที่มาร้ายที่ไหนจะบอกว่าตัวเองมาร้าย!” ร่างบางกระชากอีกฝ่ายเข้าหามากขึ้น ใบหน้าเริ่มฉายแววหัวเสีย
“ ก็จริงแฮ่ะ ลืมไปซะสนิทเลย อ่า แล้วนี่ฉันต้องบอกยังไงดีล่ะเนี่ย เฮ้ สวัสดีฉันเป็นคนดี ฉันมาดี สาบานได้”
“อย่ามากวนประสาทฉัน! ฉันถามว่าแกต้องการอะไร!!” ประจุไฟฟ้ารอบตัววิ่งวุ่น กลิ่นโลหะเริ่มคละคลุ้งทั่วบรรยากาศจนเหล่านักเรียนเริ่มอุดจมูก ประกายไฟฟ้าแลบแปลบปลาบช็อตรอบคออีกฝ่ายให้ได้เจ็บจี๊ดๆ
“โอ๊ย โอ๊ย นี่ถึงกับต้องช็อตกันเลยรึไงเนี่ย ฉันแค่นำสารเฮอร์มีสมาส่ง!!”
“นายว่าอะไรนะ”
“ฉันนำสารของเฮอร์มีสมาส่ง ซุสมีคำสั่งให้นายขึ้นไปหาเดี๋ยวนี้”
“ซุส ท่านพ่อ?” ร่างโปร่งเอ่ยทวนอย่างไม่เชื่อหู มือที่กำคอเสื้ออีกฝ่ายไว้อยู่ค่อยๆคลายออก
“ใช่น่ะสิ ในโลกนี้มันมีใครที่ชื่อว่าซุสนอกจากตาลุงนั่นอีกมั้ยเนี่ย!” ชายแปลกหน้าปัดปกเสื้อที่เพิ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระพร้อมกับจัดให้เข้าที่เข้าทางด้วยท่าทางสบายๆไม่แยแสต่อสายตาที่ตวัดกลับมามองอย่างไม่พอใจของร่างบางสักนิด
“ท่านพ่อเรียกฉันขึ้นไปทำไม”
“ก็เพราะว่าตอนนี้นักโทษ เฮ้ ฉันไม่ได้มีหน้าที่ต้องบอกนายนะ ฉันแค่เป็นคนส่งสารและพานายขึ้นบนนั้น!!”
“นักโทษ? เมื่อกี้นายจะพูดอะไรเกี่ยวกับนักโทษ”
“เมื่อกี้ฉันพูดว่านักโทษหรอ อ่า สงสัยนายคงได้ยินผิด โอ้ นี่ เลยเวลาที่ฉันกำหนดไว้แล้ว เราควรจะไปกันได้แล้ว” ชายแปลกหน้าที่อ้างตนว่าเป็นผู้ส่งสารเอ่ยบอกพร้อมกับฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้น หลังจากที่เหลือบตามองดูหน้าปัดนาฬิกาข้อมือหน้าตาประหลาดนั่น ร่างบางสะบัดข้อมือทิ้ง ขืนตัวไม่ยอมเดินตามอีกฝ่ายอย่างถือตน
“ เมื่อกี้นายพูดอะไรถึงนักโทษ!”
“ขอล่ะ อย่าเพิ่งถามตอนนี้ เราจะต้อง”
ครืนน ครืนนน
เสียงแผ่นดินไหวดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สิ่งก่อสร้างต่างๆสั่นคลอนไปตามแรงสั่นสะเทือน เหล่านักเรียนที่นั่งกันอยู่เต็มคันรถถูกแรงเหวี่ยงลงมาให้ล้มลงมากองกับพื้นทางเดิน ชายแปลกหน้าและแบมแบมรีบหาที่ยึดเกาะ เสียงโหยหวนของอะไรบางอย่างดังขึ้นอย่างสั่นประสาท ผู้คนรีบยกมือขึ้นปิดหู ท้องฟ้าสีครามค่อยๆถูกความมืดมิดอันน่าสะพรึงกลัวย้อมให้มืดมิด พื้นถนนแตกแยกเกิดรอยร้าว เหล่าโครงกระดูกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากผืนพิภพ ผู้คนพากันหวีดร้องสุดเสียง
“นั่น นั่น นั่นมันอะไรกันน่ะ” ร่างบางพึมพำขึ้นด้วยความหวาดกลัว ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นท้องฟ้าถูกย้อมให้กลายเป็นสีดำอย่างนี้มาก่อน
“โอ๊ะโอ่ ดูเหมือนว่าเรากำลังเจอเข้ากับปัญหาใหญ่แล้ว” ชายปริศนาคนนั้นพูด
“นายหมายความว่ายังไง”
“ตามที่พูดน่ะสิ เรากำลังเจอปัญหาใหญ่แล้ว! และตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วด้วย หมอนั้นไม่ทำแค่เรียกความตายออกมาหรอก!” เขาพูดอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับรีบคว้าฮู๊ดของร่างบางแล้วออกแรงดึงไปตามทางเดิน
“เดี๋ยว! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! หมอนั่น แล้วหมอนั่น คือ”
บุตรแห่งซุส
เสียงโหยหวนของวิญญาณดังขึ้น เหล่าภูตผีค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา รถบัสทั้งคันกำลังถูกคุกคามด้วยกองทัพโครงกระดูกและภูตผี
“กรี๊ดดดด!!” เสียงกรีดร้องของนักเรียนผู้หญิงดังขึ้นเมื่อแสงสีดำประหลาดฟาดเข้าที่กลางลำรถ ผ่ารถบัสขนาดใหญ่ให้กลายเป็นสองท่อนโดยเฉียดจากจุดที่ร่างบางอยู่ไปเฉียดฉิว แบมแบมเงยหน้าขึ้นมองตามแนววิถี คลื่นแห่งความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา เข้ากลืนกินและดูดวิญญาณของทุกชีวิตให้กลืนไปกับความมืด เหล่านักเรียนต่างส่งเสียงหวีดร้องรีบตะเกียกตะกายวิ่งหนี
จงออกมา บุตรแห่งซุส
เสียงแหบแห้งของเหล่าดวงวิญญาณกู่ร้องโหยหวน ความโกรธแค้น ชิงชัง และอาฆาตอัดแน่นอยู่ในน้ำเสียง ความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา ทุกที่มันพาดผ่านสีสันและความมีชีวิตชีวาของทุกสรรพสิ่งกลับถูกความมืดมิดนั้นดูดกลืนแล้วฉาบทุกอย่างให้ตกอยู่ในความตายอันน่าสะพรึงกลัว ร่างของชายคนหนึ่งกำลังก้าวเดินมาหาเขาอย่างใจเย็น ไอแห่งความตายแผ่ซ่านออกมาจากคนคนนั้นเสียจนบดบังใบหน้าที่แท้จริง ทว่าประกายแววตาที่ทอแสงอยู่ท่ามกลางความมืดนั้นก็ทำให้เขารับรู้ถึงอีกฝ่ายได้
“นัยน์ตาสีทอง…”
“ใช่ นั่นล่ะ เขาเลย คนในตำนานคนนั้น!!”
“นายว่าอะไรนะ!!”
“เลิกตกใจสักทีเถอะน่า! จะตายกันอยู่แล้ว นี่จับฉันไว้ เราต้องรีบไปกันแล้ว!” หนุ่มหุ่นนักรักบี้คนนั้นโหวกเหวกโวยวาย พร้อมกับลากเขาลงมายังด้านนอกของรถ ขนนกสีเทาค่อยๆตกลงมาตามทาง นัยน์ตาหวานไล่มองตามก่อนจะต้องเบิกตาโพลงที่เห็นรองเท้าผ้าใบธรรมดาของเขาค่อยๆมีปีกกระพืออยู่ที่ข้อเท้า
“นายคือ…”
“อ่า ห๊ะ ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อย ฉันชื่อ แจ็คสัน เป็นบุตรแห่งเฮอร์มีส และตอนนี้เรามีโปรแกรมต้องไปทัวร์สวรรค์กันสักหนึ่งรอบ!” แจ็คสันพูดอย่างฉะฉานแข่งกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของภูตผี แขนแกร่งนั่นคว้าตัวเขาไว้แน่น เสียงกระพือปีกของรองเท้าดังขึ้นอย่างทรงพลังผิดจากรูปลักษณ์ที่เล็กจิ๋ว แจ็คสันพูดอะไรบางอย่างผ่านทางสายลมกับเขา แต่เสียงที่ดังอื้ออึงกลบเสียงมันจนหมดจนได้ยินเพียงแค่คำว่าไป! ก่อนที่การเคลื่อนที่อย่างฉับไวจะเกิดขึ้น
“แกคิดว่าจะหนีฉันไปได้งั้นหรอ…” เสียงทุ้มที่ก้องกังวานดังขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ แม้จะเปล่งคำพูดออกมาไม่กี่คำ ความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในอกก็เด่นชัดอยู่ในน้ำเสียง
“ต่อให้แกจะหนีไปไกลแค่ไหน ฉันก็จะตามไล่ล่าแกจนกว่าจะเจอ!!!” ฉับพลันนั้นผืนดินก็สั่นสะเทือน กองทัพโครงกระดูกตะเกียกตะกายขึ้นมาจากใต้พิภพ ชายหนุ่มผู้มากับความตายออกคำสั่งให้เริ่มไล่ล่า
---------------------------------------------------
“เมื่อกี้นั่นมันอะไรกันน่ะ!!” ร่างบางที่ถูกพาเคลื่อนที่ฉับไวเอ่ยถามทันทีที่แจ็คสันเริ่มชะลอความเร็วลงหลังจากที่ตรวจดูแน่ใจแล้วว่าคงพ้นระยะที่อีกฝ่ายจะตามไล่ล่าได้
“แฮ่ก แฮ่ก โคตรเหนื่อยเลย” บุตรแห่งเฮอร์มีสหอบหายใจแรงด้วยความเหน็ดเหนื่อย แบมแบมเหลียวหลังกลับไปมองราวกับหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะตามทัน
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร นายรู้จักเขาด้วยหรอ แล้วทำไมเขาถึงไล่ตามฉัน แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย!”
“เฮ้ เฮ้ ใจเย็น ฉันตอบไม่ทัน” หนุ่มหุ่นนักลักบี้เอ่ยตอบขณะที่ยังคงเคลื่อนที่อย่างฉับไวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ความไวรวดเร็วมากเสียจนวิวทิวทัศน์โดยรอบกลายเป็นเพียงเส้นสีหลากสีเส้นที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนยากที่จะมองออกว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด และอีกไกลแค่ไหนจะถึงยังที่หมาย
“ผู้ชายคนนั้นคือใคร” ร่างบางเอ่ยถามอย่างวาดมาดผู้นำ แจ็คสันเหลือบมองก่อนจะเบือนสายตาหลบนัยน์ตาทรงพลังคู่นั้นที่จับจ้อง
“ก็อยากจะตอบล่ะนะ แต่ฉันไม่ได้มีหน้าที่มาเฉลยทุกอย่างให้นาย ฉันเป็นแค่”
“ผู้ชายคนนั้นคือใคร” ประโยคเดิมถูกเอ่ยถาม ร่างบึกบึนถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
“ขอโทษจริงๆ ฉันได้รับคำสั่งมาแค่พานายขึ้นไปยังสวรรค์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่นายถามซุสคงอธิบายเอง”
“ฉันบอกว่า”
“พวกมันตามมาแล้ว” บุตรแห่งเฮอร์มีสเอ่ยแทรกขึ้น ดวงตาเหลือบมองไปยังพื้นด้านล่าง เหล่ากระทัพโครงกระดูกกำลังตะเกียกตะกายคลานตามพวกเขา เบ้าตากลวงโบ๋ของมันกำลังจับจ้อง กรามที่ดูไม่สมประกอบกำลังส่งเสียงดังกึกกักราวกับว่าพวกมันกำลังรายงานเจ้านายที่อยู่ห่างไกลออกไปอยู่
“แย่แน่ๆ… หมอนั่นเคลื่อนที่ผ่านเงาได้ ถ้าเป็นอย่างนี้มีหวังได้ถูกจับตัวก่อนจะถึงโอลิมปัสชัวร์” เคลื่อนที่ผ่านเงา… ร่างบางทวนคำพูดของอีกฝ่ายอีกครั้ง เคลื่อนที่ผ่านเงา นอกจากฮาเดสแล้วในโลกนี้ก็มีคนที่ทำได้อยู่คนเดียวนั่นก็คือ…
นักโทษแห่งสรวงสวรรค์
“ผ ผ ผู้ชายคนนั้น เขาคือ นักโทษแห่งสรวง”
“ไว้ค่อยเล่า!! เกาะไว้แน่นๆ เราต้องบินความเร็วสูงสุดกันแล้ว!!!” สิ้นเสียงนั้นร่างบางก็ถูกอีกฝ่ายกระชับเข้าหาตัวก่อนทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาเหมือนถูกฉุดกระชากไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเส้นสีที่ขมุกขมัวยิ่งกว่าเก่า อวัยวะภายในเหมือนถูกฉุดกระชากให้ออกจากร่าง ทุกอย่างตีรวนกันอยู่ในท้องจนแทบจะอาเจียนออกมาทันทีที่เท้าแตะถึงพื้น
“อ อ อ่อก อะ!” แบมแบมทรุดฮวบรีบวิ่งหากระถางต้นไม้ อาหารทุกอย่างที่กินไปถูกขย้อนออกมาจนหมด ร่างบางรีบยึดจับขอบกระถางเอาไว้แล้วหลับตาลงให้อาการเวียนหัวอย่างรุนแรงทุเลาลง
“โทษที รีบบอกไปว่ามันจะแฮ๊งค์นิดหน่อย” หนุ่มรักบี้ฉีกยิ้มกว้างที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนสำนึกผิดเลยสักนิด
“คราวหลังนายก็ บอก ฉัน ด้วย!!”
“แล้วจะบอกนะ เอาล่ะ ตอนนี้เรารีบไปหาซุสกันเถอะ เพราะฉันไม่มั่นใจเท่าไรว่าที่นี่จะปลอดภัย” แจ็คสันพูดในขณะที่สายตาดวงตาใจดีคู่นั้นจับจ้องไปยังทิศตะวันตก ร่างบางค่อยๆเบือนสายตามองตามก่อนที่ความสะพรึงกลัวจะเข้าเขย่าขวัญให้หัวใจสั่นไหว ท้องฟ้าทางทิศตะวันตกนั่นกำลังมีคลื่นแห่งความตายสีดำทมิฬแผ่ขยายและมุ่งตรงมาที่นี่
“ ปกติคนของความตายขึ้นมาที่นี่ไม่ได้ยกเว้นแค่วันอายันไม่ใช่หรอ” ร่างบางพึมพำด้วยเสียงอันเบาหวิว ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเผชิญหน้ากับความกลัวรูปแบบไหนที่อันตรายและน่าพรั่นพรึงเท่านี้มาก่อน
แจ็คสันมองภาพเบื้องหน้าก่อนจะหันกลับมาสบตากับอีกฝ่าย นัยน์ตาที่เคยแฝงแววสนุกสนานและทีเล่นทีจริงถูกแทนที่ด้วยความเคร่งเครียดและกลัดกลุ้ม
“เสียใจด้วยที่ต้องพูดนะ”
“นายหมายความว่ายังไง”
“วันนี้คือวันอายัน”
---------------------------------------------------------------
เสียงโหยหวนของภูตผีดังขึ้น ท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่กี่เมตรเริ่มกลายเป็นสีดำทมิฬ เหล่าสิ่งมีชีวิตต่างพากันหวีดร้องกระเจิดกระเจิงวิ่งหนีด้วยความแตกตื่น โลกกว่าครึ่งใบที่ถูกกองทัพแห่งภูตผีพาดผ่านถูกย้อมให้กลายเป็นสีเทา สรวงสวรรค์ที่ไม่เคยอับแสงหมองหม่นโดยไอแห่งความตาย บรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นเร่งเร้าให้คนทั้งสองรีบวิ่งไปตามทางเดินของเทือกเขาโอลิมปัสที่ค่อยๆถูกสั่นคลอนด้วยแรงสั่นสะเทือนจากใต้ผืนพิภพ
โอลิมปัสเริ่มเข้าสู่ความโกลาหล เหล่าเทพเจ้าและเทพีน้อยใหญ่พากันออกมายืนดูหายนะที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาหา ทุกองค์ล้วนพากันแตกตื่น ส่งเสียงหวีดร้องตกใจ บ้างพึมพำพรั่นพรึง บ้างเริ่มหาที่ซ่อนและหลบหนีจึงก่อเกิดเป็นภาพแห่งความวุ่นวายที่ทุกคนแห่กันออกจากโอลิมปัสในขณะที่มีเพียงมนุษย์กึ่งเทพสองคนเท่านั้นกลับวิ่งสวนทางขึ้นไปยังมหาวิหารของมหาเทพซุสลอยเด่นอยู่ไม่ไกล
แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Mon Nov 02, 2015 3:52 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง