โลกนี้ไม่มีพื้นที่ให้กับความยุติธรรม การล้างแค้นเท่านั้นที่คู่ควร
มาร์คพาแบมแบมลงไปยังนรกใต้พิภพผ่านการเดินทางผ่านเงาที่ตลอดทั้งเส้นทางเต็มไปด้วยความมืดมิดและกลิ่นไอแห่งความตาย ร่างบางพยายามขืนตัว ส่งเสียงกรีดร้อง เข้าประทุษร้ายอีกฝ่ายสารพัดให้ปล่อยตัวเขาไป สัญชาตญาณที่ซ่อนอยู่ในอกกำลังร้องเตือนถึงความไม่ปลอดภัย
ผู้ชายคนนี้อันตราย…
ถึงจะไม่อยากยอมรับว่าอีกฝ่ายน่ากลัว ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่ละเลยความเป็นจริงแล้วฝังกลบความกลัวด้วยการหลอกตัวเองเขารู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์กึ่งเทพธรรมดา เขาทรงพลังและเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่ยิ่งผลักดันให้พลังอำนาจยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนเขายังหวาดหวั่น ซ้ำร้ายยังคาดเดาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรต่อไป สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้จึงยากที่จะคาดเดาได้
“โอ้!..” เสียงอุทานดังขึ้น สีหน้าดูตกใจ หากแต่นัยน์ตาคู่คมกลับเต็มไปด้วยความขบขัน
“นายกลัวฉันหรอเนี่ย” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ยและสมเพชความหวาดกลัวของร่างบาง ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก….” น้ำเสียงนั้นเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นัยน์ตาคมกล้าฉายแววสนุกสนาน รอยยิ้มมัจจุราชถูกวาดขึ้นที่กลีบปากหนา ข้อนิ้วแกร่งไล้ไปตามผิวแก้มเนียน ร่างบางรีบสะบัดหน้าหนี
“เพราะนี่มันยังเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ฉันยังไม่ให้นายเจอความกลัวที่แท้จริงหรอก!!!” เสียงทุ้มตวาดลั่นพร้อมกับฉุดกระชากร่างบางไปตามทาง แบมแบมพยายามขืนตัวออก ดิ้นสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม
“ปล่อย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!! ฉันบอกให้ปล่อย!!” เสียงหวานตวาดกลับ มือเล็กพยายามแกะมืออีกฝ่าย เรียกประจุไฟฟ้าให้ไหลวิ่งวนรอบข้อมือเตรียมที่จะช็อตให้ได้รับความเจ็บปวด
“หวังว่านายจะฉลาดพอที่จะรู้สถานการณ์ของตัวเองนะแบมแบม…” มาร์คหันเสี้ยวหน้ามาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่มีผลต่อการสั่นไหวของหัวใจให้หยุดชะงักพร้อมกับดึงสติให้หันไปมองรอบๆ
“……….” ร่างบางถึงกับนิ่งงัน หันมองไปทางไหนก็เจอแต่เหล่าดวงวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขา พวกมันต่างจับจ้องมาที่เขาอย่างเคียดแค้น แรงอาฆาตรุนแรงเสียจนคุกคามหัวใจของเขาให้สั่นไหวและตรึงห้วงความรู้สึกให้อยู่ในอารมณ์ตื่นตระหนกและพรั่นพรึง
ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีวันนี้
ไม่น่าเชื่อว่าบุตรแห่งซุสจะต้องกลัวเกรง
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะต้องยอมให้กับบุตรแห่งเทพเจ้ากระจอกนั่น!!!
ครืนนน!
ฉับพลันนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โครงกระดูกผุดขึ้นมาจากรอยแยก ซากศพที่เน่าเฟะ เลอะไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองเข้ารุมจับข้อเท้าแบมแบมเอาไว้ พร้อมกับส่งเสียงคำรามอย่างน่าสะพรึงกลัวราวกับกำลังถ่ายทอดคำขู่และแรงโทสะของฮาเดส เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในใต้พิภพ
“ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะรับรู้แล้วว่าพวกเรามาที่นี่” เสียงทุ้มนั่นเอ่ยขึ้น รอยยิ้มถูกวาดขึ้นที่กลีบปาก ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังยอดพระราชวังที่แทงออกมาจากกลุ่มหมอกแห่งความตาย เหล่าภูตผีลอยวนอยู่รอบๆ ฝูงปีศาจจากทุกขุมนรกคอยบินโฉบรักษาความปลอดภัยอยู่โดยรอบ กลิ่นไอของความตายและมืดมนแผ่กระจายจนเขาที่ยืนอยู่ไกลออกไปหลายร้อยกิโลฯยังสัมผัสได้
“ไปหาท่านพ่อฉันหน่อยเป็นไง? เผื่อนายจะอยากเจอหน้าเทพเจ้ากระจอกที่นายว่า” ร่างสูงพูดเสียงเย็น รอยยิ้มมีความสุขเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นการแสยะยิ้มให้โดยฉับพลัน หมอกแห่งความตายเริ่มม้วนตัวลอยคละคลุ้งโอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ ก่อนที่ร่างสูงจะพาอีกฝ่ายเดินทางผ่านเงาไปยังพระราชวังที่ตั้งอยู่ใจกลางของนรกใต้พิภพ…
แบมแบมอยากกรีดร้อง…
เขาอยากทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะเป็นการระบายความเครียดและความหวาดกลัวนี้ เบื้องหน้าที่ประจักษ์อยู่ตอนนี้คือพระราชวังที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ด้วยตัวพระราชวังที่ถูกทำขึ้นมาจากเหล็กสีดำทมิฬอันน่าพรั่นพรึง โดยภายในมีใบหน้าของเหล่าดวงวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ สายตานับร้อยๆคู่คอยจ้องมองให้อึดอัด ซ้ำร้ายที่เหนือหมอกแห่งความตายขึ้นไปยังมีกลุ่มปีศาจมีปีกเฝ้าจับตามองลงมาอยู่อย่างจับผิด
“ไม่ได้เจอกันซะนานนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากคนข้างตัว ดวงตาคู่คมทอดมองเหล่ากลุ่มปีศาจสาวสามตัวที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มของหน่วยลาดตระเวนทางอากาศ น้ำเสียงของเขายากที่จะบอกได้ว่ารู้สึกเช่นไรกับการพบกันครั้งนี้
“เจ้า” เสียงเหล่าปีศาจดังขึ้นอย่างขุ่นข้องราวกับข้องใจว่าคนตรงหน้านี่ใช่คนที่ตนรู้จักจริงหรือไม่ก่อนที่จะสยายปีกบินโฉบลงมาประจันหน้าด้วย
“เจ้าจริงๆน่ะหรือ” ปีศาจตัวตรงกลางพูดขึ้น แบมแบมแทบอยากจะหวีดร้องออกมาเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อเบื้องหน้าคือปีศาจที่สุดแสนจะอัปลักษณ์จนใครก็ตามที่พบเห็นไม่อาจทนดูพวกมันได้ ใบหน้าน่าสะอิดสะเอียน ดวงตาที่แดงเลือดทอประกายคลุ้มคลั่ง ปากฉีกยาวถึงใบหู กลิ่นปากที่เหม็นราวกับซากศพคละคลุ้ง ฟันที่อยู่ภายในคมกริบและเต็มไปด้วยเศษชิ้นเหนือที่ไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไร เส้นผมของมันเป็นงูหลายพันตัวขนพันไปมาจนดูเผินๆอาจคล้ายเมดูซา ทว่ายังสามารถแยกได้จากปีกค้างคาวสีดำมันแผลบขนาดใหญ่ที่สยายอยู่ด้านหลังนั้น
แบมแบมจำได้ว่านี่คือตัวอะไร…
ฮาร์ปี้ สัตว์เลี้ยงของฮาเดส
“ไม่ได้เจอกันแค่สามปี พวกคุณลืมผมกันหมดแล้วหรอเนี่ย” มาร์คหัวเราะอย่างขบขัน เหล่าปีศาจสาวพวกนั้นค่อยๆยืนหน้าเข้ามาใกล้ จมูกของพวกมันฟุดฟิดไปมาราวกับสุนัขที่กำลังดมกลิ่นพิสูจน์ว่าใช่เจ้านายของตนจริงมั้ย ร่างบางคอยลอบมองสลับกับเหลือบตาไปมองเหล่าดวงวิญญาณในกำแพงและเหล่าปีศาจที่บินอยู่เหนือกลุ่มหมอก ทุกตัวกำลังสนใจร่างสูง ไม่มีใครมองมาที่เขาสักคน
นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะหนีไปจากที่นี่ได้…
ไม่เหลือเวลาให้ลังเลแล้ว เขาจะต้องรีบอาศัยช่วงที่พวกมันไม่สนใจเขาอยู่ตอนนี้แล้วรีบชิงหลบหนี เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างบางก็ค่อยๆก้าวถอยหลังออกมาอย่างช้าๆ ดวงตาหยิ่งทะนงคอยเหลือบมองเหล่าปีศาจและดวงวิญญาณไปด้วย
“ล่าสุดที่พวกข้าเห็นเจ้า เจ้ายังเป็นแค่เด็กน้อยผู้อ่อนแอ ไม่มีแม้แต่พลังจะทำให้พวกเขาเคารพเจ้า” ปีศาจตัวตรงกลางพูดขึ้น ร่างบางค่อยๆก้าวอย่างช้าๆ
“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะรอดพ้นจากคอเคซัสได้” ตัวทางซ้ายพูดขึ้น
“ใช่ แล้วอะไรทำให้เจ้าเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้” ตัวทางขวาเอ่ยถาม แม้เรื่องที่พูดคุยกันอยู่ตอนนี้จะทำให้เขาสนใจ แต่ ณ วินาทีนี้ไม่ว่าอะไรจะน่าอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนก็ช่าง เขาจะต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้
แบมแบมค่อยๆก้าวถอยห่างออกไปอีก ดวงตากวาดมองไปรอบๆอย่างพยายามหาตัวช่วย เขาเป็นคนของผืนฟ้า เมื่อไรก็ตามที่อยู่กลางอากาศเขาย่อมจะได้เปรียบมากกว่า แต่ว่า… ณ ที่แห่งนี้ ใต้ผืนพิภพที่ไม่คุ้นชินแห่งนี้จะมีท้องฟ้าให้เขาโผนทะยานขึ้นไปได้อย่างไรกันล่ะ…
ร่างบางพยายามขบคิดหาทางออกอย่างเร็วจี๋ ในห้วงความคิดพยายามนึกถึงเหล่าตำนานเก่าแก่ของทุกเทพเจ้าที่เดินทางสัญจรไปมาอยู่นรกใต้พิภพว่ามีองค์ไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับท้องฟ้า ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มี แม้กระทั่งราชาแห่งสายลมผู้ที่สัญจรไปแล้วทุกที่ก็ยังไม่ชอบมาที่นี่ เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อน ราชาแห่งสายลม.. สายลม…จริงสิ สายลมคือสิ่งเดียวที่พัดพาไปทุกที่แม้แต่ในใต้พิภพนี่! ร่างบางลำพึงกับตัวเองในใจด้วยความลิงโลดก่อนจะร้องเรียกหาราชาแห่งสายลมขึ้นในใจ
ท่านเอโอลัส
“อะไรทำให้ผมเปลี่ยนไปน่ะหรอ” เสียงทุ้มของมาร์คดังขึ้นอีกครั้ง
ท่านเอโอลัส ได้ยินผมมั้ย ท่านเอโอลัส
“หึ ก็จะอะไรล่ะ นอกเสียจาก…”
ท่านเอโอลัส!! ได้โปรดช่วยผะ
“เด็กผู้ชายคนนั้น”
หมับ!
วูมมมมมม
สายลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาสร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าปีศาจสาว พวกมันแตกกระเจิงบินหนีขึ้นกลางอากาศ ร่างสูงของมาร์คเข้าจับแขนของร่างเล็กเอาไว้ ก่อนที่ราชันย์แห่งสายลมเอโอลัสจะปรากฏตัวขึ้นให้ประจักษ์แก่เบื้องหน้า
“นี่น่ะหรอ ที่นายเรียกมา” มาร์คพูดขึ้นก่อนจะเรียกซากศพขึ้นมาจากผืนดินเข้าตรึงร่างเทพเจ้าเอาไว้
“ท่านเอโอลัส!!” แบมแบมหวีดร้อง พยายามจะวิ่งเข้าไปช่วยแต่กลับถูกมาร์คกระชากเอาไว้
“หึ ถนัดเรื่องเล่ห์กลเหมือนพ่อไม่มีผิด ไอ้ลูกเทพสกปรก!”
“นายว่าอะไรนะ!! โอ๊ย!!” ถ้อยคำประทุษร้ายกลายเป็นเสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดเมื่อมาร์คบีบแก้มอีกฝ่ายแล้วกระชากให้หันไปมองยังเอโอลัสที่พยายามจะเข้ามาช่วย
“นี่น่ะหรอที่นายเรียกมาให้ช่วย ดูตอนนี่สิ แค่มันจะช่วยตัวเองมันยังทำไม่ได้เลย!” ร่างสูงเยาะเย้ย ออกคำสั่งให้เหล่าซากศพเข้าโจมตีราชันย์แห่งสายลมมากขึ้นจนร่างของเทพเจ้าค่อยๆทรุดลงกับพื้น
“แกกล้าดียังไงทำกับเทพเจ้าของฉันอย่างนั้น! ไอ้ลูกเทพกระจอก!!” ร่างบางตะคอก ร่างกายปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาจนวิ่งวุ่นวนรอบตัว ฝ่ามือบางเริ่มมีประกายไฟฟ้าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับอีกฝ่าย
“ดูเหมือนว่าฉันจะใจดีไปสินะ บุตรแห่งซุส” รอยยิ้มเยือกเย็นถูกวาดขึ้นที่กลีบปาก โซ่ตรวนสีทองจะพุ่งออกมาจากความมืด ปลายเส้นด้านหนึ่งพุ่งเข้าเกี่ยวพันมัดร่างของแบมแบมเอาไว้ ก่อนจะเลื้อยขึ้นไปล็อกรอบคอราวกับมีชีวิต ร่างบางดิ้นทุรนทุรายพยายามจะกระชากโซ่ออก ทว่ามันกลับยิ่งรอบรัดเกี่ยวพันแน่นขึ้นจนร่างทรุดฮวบลงกับพื้น
“หมดเวลาสำหรับการปราณีแล้วสิ” มาร์คประกาศก้องพร้อมกับกระชากโซ่กระตุกให้อีกคนเข้ามาหา
“จากนี้ฉันจะให้นายทรมานยิ่งกว่าตกอยู่ในขุมนรก!! เจ็บปวดยิ่งกว่าที่ฉันเคยได้รับ!!” โซ่ตรวนถูกกระชาก ร่างของแบมแบมขรูดไปกับพื้นตามแรงดึง มาร์คลากอีกฝ่ายเข้าไปในพระราชวังอย่างเดือนดาล
“ฮาร์ปี้!! จัดการเอโอลัสซะ!!” เสียงทรงพลังนั่นออกคำสั่ง เหล่าฮาร์ปี้กระพือปีกพร้อมมองสบตากันอย่างชั่งใจ ร่างบางภาวนาขอให้มันไม่เชื่อฟัง ขอให้มันไม่ทำตาม ฮาร์ปี้เชื่อฟังฮาเดสคนเดียวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้หรอกที่มันจะเชื่อฟังแค่มนุษย์กึ่งเทพคนหนึ่งธรรมดาๆ
“ย่อมได้” เสียงตอบรับของฮาร์ปี้ราวกับใบมีดที่ตัดขั้วหัวใจดวงน้อยที่สั่นระริก แบมแบมเหลียวหลังกลับไปมองยังเอโอลัส เทพเจ้าองค์นั้นเบิกตาโพลงก่อนที่จะหวีดร้องลั่นเมื่อเหล่าฮาร์ปี้บินโฉบเข้าโจมตี ร่างบางหลับตาหนีจากภาพที่เห็น ความตื่นกลัวเข้าคุกคามหัวใจให้สั่นสะท้าน
ฮาร์ปี้เป็นปีศาจที่เชื่อฟังแต่ฮาเดสคนเดียวเท่านั้น การที่ร่างสูงสามารถออกคำสั่งกับพวกมันได้ นั่นต้องหมายถึงอีกฝ่ายจะต้องทรงพลังมากพอที่จะควบคุมเหล่าปีศาจจากขุมนรกพวกนั้นได้…
ไม่อยากจะเชื่อเลย..
ไม่อยากจะยอมรับเลย…
.
ว่าเขา
.
อ่อนแอกว่าอีกฝ่าย..
มาร์คกระตุกโซ่ตรวจเร่งเร้าให้อีกฝ่ายเดินตามมาเร็วขึ้น นัยน์ตาคู่คมเหลือบมองอย่างเยาะเย้ยทางสายตา กลีบปากได้รูปแสยะยิ้มร้ายราวกับสะใจที่เห็นบุตรแห่งเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์ต้องมามีสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้
“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ”
“…..” ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองอย่างเคียดแค้น มาร์คหัวเราะเยาะอย่างขบขันก่อนจะตวัดสายตามองด้วยแววตาที่เย็นชาดุจน้ำแข็ง
“ถูกโซ่ที่พ่อตัวเองเคยทำเพื่อตรึงฉันไว้ที่ยอดเขาพันธนาการเอาน่ะ!” ร่างบางเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจ นัยน์ตาหยิ่งยโสคู่นั้นเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
“หึ” ร่างสูงหัวเราะในลำคอก่อนจะกระตุกโซ่ให้เดินเร็วขึ้นอีกครั้ง
แบมแบมก้มมองโซ่สีทองที่พันธนาการตัวเองเอาไว้ เพิ่งสังเกตว่าแต่ละข้อของโซ่ที่สอดเกี่ยวกันอยู่นี้มีตราสัญลักษณ์สายฟ้า อันเป็นตราประจำกายของผู้เป็นพ่อของตนอยู่ คำถามมากมายผลุดขึ้นในหัวราวกับทุกความครหาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น พ่อของเขาโหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไร้เหตุผลได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ พันธนาการมนุษย์ผู้ซึ่งไร้ซึ่งความผิดด้วยโซ่แห่งสายฟ้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาตลอดเวลา และพร้อมที่จะช็อตเหยื่อให้ตายทันทีที่พยายามจะแกะออกเชียวหรือ…
ช่างโหดร้าย
โหดร้ายเหลือเกิน…
ร่างของแบมถูกมาร์คกระตุกโซ่เรียกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความคิด ดวงตาที่ยังคงแฝงแววหยิ่งยโสเหลือบมองแผ่นหลังของศัตรูที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย แม้ความสงสารจะเข้ามาสะกิดทักทายหัวใจให้สั่นไหว ทว่าก็ถูกความยุติธรรมเข้ามาฉุดรั้งอย่างรวดเร็ว เพราะถูกทารุณงั้นหรือ ถึงต้องลงทัณฑ์เขา เพราะถูกเอาเปรียบก่อนงั้นหรือ ถึงต้องกระทำตาม เพราะถูกกักขังไว้หรือ ถึงต้องย่ำยี
ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยสักนิด…
นั่นไม่ใช่ข้ออ้างของการกระทำทุเรศๆเช่นนี้ และเขาก็จะไม่มีทางอยู่รับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อตลอดชีวิต เขาจะต้องหาทางไปจากที่นี่ให้ได้ เขาจะต้องหนีจากปีศาจร้ายนี้ให้ได้!
“กลับมาแล้วหรอ ท่านอี้เอิน” เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากเขาให้ต้องหันไปมอง เทพเจ้าองค์หนึ่งที่ส่งยิ้มมาให้จากหน้าประตูท้องพระโรงเอ่ยทักทาย แวบแรกที่เห็นแบมแบมรู้สึกไม่ไว้ใจเลยสักนิด เทพเจ้าองค์นี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่น่าเข้าใกล้ แม้ว่ารูปโฉมของเขาจะงดงามราวกับอีรอส(หมายถึงคิวปิดในภาษากรีก) ทว่ากลับแผ่กลิ่นไอแห่งความตายออกมาอยู่ตลอดเวลา
“ไม่ได้เจอกันซะนานนะ ท่านทานาทอส ท่านพ่ออยู่ในนี้รึเปล่า” ทานาทอส… เขาเคยได้ยินชื่อนี้ ทานาทอส เทพเจ้าที่อยู่ในนรก เขามีหน้าที่ หน้าที่… ไม่ เขาคิดไม่ออก เขาจำไม่ได้ว่าเทพเจ้าองค์นี้มีหน้าที่ทำอะไร
“ ใช่ พาแขกมาด้วยสินะ” ทานาทอสพยักพเยิดมาทางเขา แวบหนึ่งที่ดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นสบตากับเขาหัวใจของเขาก็เหมือนถูกสั่นไหวด้วยความหดหู่ เศร้าหมอง สิ้นหวังและไร้หนทาง ความกังวลเกี่ยวกับถูกจับมานี่ดูหนักอึ้งขึ้นราวกับมีหินขนาดใหญ่มาทวงให้จมลงสู่ก้นบึ้งของจิตใจ ปัญหาทุกอย่างดูใหญ่หลวงเสียจนเขาหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ อยากจะตายๆไปเสีย
“ก็แค่นักโทษ” เสียงทุ้มของมาร์คดังขึ้น ถ้อยคำถากถางนั้นดูทำให้เขาห่อเหี่ยวและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“หึ หวังว่าท่านฮาเดสจะชอบนักโทษผู้นี้นะ” เทพเจ้าองค์นั้นพูดขึ้น พร้อมกับที่มาร์คเดินผ่านไป
หมับ!
จู่ๆทานาทอสก็จับบ่าของเขาเอาไว้ขณะที่กำลังจะเดินผ่าน เทพเจ้าโน้มหน้ามากระซิบ ร่างบางเบิกตาโพลงทันทีที่ได้ยิน เทพเจ้าหัวเราะชอบใจก่อนจะผละออกไป แบมแบมนึกขึ้นได้แล้วว่าเขาคือใคร ทานาทอส เทพเจ้าแห่งความตาย ผู้มีหน้าที่หยิบยื่นความตายให้กับสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่สามนางฟ้าแห่งโชคชะตาตัดสินให้หมดอายุขัยบนโลก
“จำคำที่ข้าบอกเอาไว้ให้ดีล่ะ บุตรแห่งซุส” ทานาทอสยังคงหัวเราะขบขัน ปีกสีดำอันทรงพลังนั้นกระพือปีกขึ้นก่อนจะโผบินเข้าสู่เงาสีดำทมิฬพร้อมกับตะโกนดังไปทั่วบริเวณ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ท่านอี้เอิน” เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วพร้อมกับเทพเจ้าองค์นั้นบินหายไปกับความมืด ฉับพลันนั้นบานประตูก็เปิดออก คบเพลิงสีซีดที่ดูคล้ายกับโครงกระดูกมนุษย์ไล่ลุกโชนสว่างวาบไปจนสุด หมอกแห่งความตายคละคลุ้งไปทั่ว ที่สุดโถงทางเดินมีบัลลังก์ขนาดมหึมาที่ทำมาจากโครงกระดูกมนุษย์ต่อกันจนเป็นลวดลายวิจิตรที่แฝงความน่าสยดสยอง เทพเจ้าองค์ที่เขาไม่อยากจะเจอมากที่สุดกำลังประทับอยู่บนนั้น นัยน์ตาสีทองทรงพลังกำลังจับจ้องมาที่เขาด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา
“สวัสดี บุตรแห่งซุส” ราชันย์แห่งนรกภพภูมิแห่งวิญญาณเปล่งเสียงอันทรงพลังและเย็นเยียบขึ้นทักทาย ร่างบางชะงักงันทำอะไรไม่ถูก ความตื่นตระหนกเข้าเกาะกุมหัวใจให้ร้อนรน เทพเจ้าองค์นี้อันตราย แค่เพียงเสียงของเขาก็ทรงพลังมากพอจะสั่นประสาทให้หวาดผวาได้แล้ว
“ลูกชายอุตส่าห์กลับมาทั้งที แต่ท่านพ่อกลับไปทักคนอื่นซะก่อน อย่างนี้ผมน่าจะหนีกลับขึ้นคอเคซัสอย่างเดิม” มาร์คหยอกล้อกับผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงรื่นเริงผิดกับเมื่อครู่
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมา” เทพเจ้าแย้มยิ้มก่อนจะตวัดสายตากลับมามองยังร่างบาง แบมแบมก้มหลบตาอย่างไม่กล้าเผชิญหน้า
“ท่านไม่มีบอกข่าวผมก่อนเล”
“แต่ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นบุตรแห่งซุสในสภาพเช่นนี้” ฮาเดสเอ่ยขึ้นหยุดทุกคำพูดและรอยยิ้มของมาร์คแต่กลับกระตุกร่างบางให้ต้องเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย เทพเจ้ามองเขาด้วยแววตาที่ต่างออกไปจากตอนแรก
“ท่านหมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของมาร์คแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม นัยน์ตาที่จ้องมองผู้เป็นพ่อฉายแววจริงจัง ฮาเดสเหลือบตากลับมาสบตากับลูกชายก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าไม่มีสิทธิกระทำกับเขาเยี่ยงทาสเช่นนี้” แบมแบมมองเทพเจ้าแห่งความตายองค์นี้ด้วยแววตาอันสั่นระริก ประกายแห่งความหวังที่เคยดับมอดไปแล้วกลับมาส่องสว่างในจิตใจขึ้นอีกครั้ง
“ท่านพ่อกำลังเกลี่ยกล่อมให้ผมปล่อยไอ้ลูกเทพเจ้าที่มันทำร้ายผมมาตลอดสามปีเต็มๆทั้งๆที่ไม่มีความผิดน่ะหรอครับ!”
“อี้เอิน”ฮาเดสเอ่ยปรามผู้เป็นลูก มาร์คเบือนหน้าไปทางอื่น สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ให้กลับมาคงที่อีกครั้ง ฮาเดสค่อยๆก้าวลงมาหาบุตรชายของตนจากบัลลังก์อย่างช้าๆ
“ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธแค้นและเกลียดชังคนของสายฟ้ามากเพียงใด”
“………..”
“ข้าเองก็เช่นกัน ตลอดสามปีที่ผ่านมา ไม่มีวินาทีไหนที่ข้าไม่ชิงชังน้องชายของข้า” ฮาเดสเอื้อมมือบีบไหล่ลูกชายเบาๆ แบมแบมก้มหลบตาอีกครั้ง ความรู้สึกระอาใจราวกับถูกตบหน้าด้วยวาจา
“…………..”
“แต่การล้างแค้นด้วยวิธีเช่นนี้ นั่นไม่ใช่วิธีที่มีเกียรติ สิ่งที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรไปจากซุสเลยสักนิด”
“ท่านพ่อ…” มาร์คหันกลับมาสบตากับผู้เป็นพ่อก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น
“ท่านพ่อกำลังจะบอกให้ผมหยุดงั้นหรอครับ”
“อี้เอิน” ฮาเดสหลับตาพรูลมหายใจพร้อมกับออกแรงบีบบ่าลูกชายมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นสบตาด้วย
“ตั้งแต่เล็กจนโตข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร ข้าพร่ำพูดกับเจ้ามาตลอดว่าจงดำรงชีวิตทุกอย่างอยู่บนความยุติธรรม และอย่าได้ไขว่คว้ากระทำทุกอย่างตามอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเป็นอันขาด”
“……..”
“แล้วดูตอนนี้สิ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่” เทพเจ้าชี้ให้เห็นถึงสภาพของแบมแบมที่ถูกโซ่พันธนาการจนร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล
“…….”
“จงจำไว้นะอี้เอิน ความตายยุติธรรมเสมอ คนของความตายก็เช่นกัน” เกิดความเงียบอันน่าสะอิดสะเอียนขึ้นหลังจากที่ฮาเดสเอ่ยประโยคนั้นจบ ร่างสูงไม่ยอมโต้ตอบอะไร เอาแต่ก้มหน้าซ่อนใบหน้าเอาไว้ในเงามืด ฮาเดสเหลือบมองลูกชายอย่างคาดหวังให้เข้าใจในคำสอน และกลับใจเสียใหม่ ในขณะที่แบมแบมก็เฝ้ารอคอยอย่างมีความหวัง มาร์คจะสำนึกได้มั้ย เขาจะเปลี่ยนใจรึเปล่า จะปล่อยเขาไปมั้ย จะเลิกอาฆาตเขาที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยรึเปล่า
“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นจากร่างสูง เรียกร้องให้ทุกคนต้องหันไปมอง เสียงหัวเราะค่อยๆดังขึ้นราวกับว่าเจ้าตัวกำลังขบขันอยู่กับอะไรบางอย่าง ใบหน้าหล่อคมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้เป็นพ่อ นัยน์ตาคมกล้าคู่นั้นฉายแววขบขัน
“ขอโทษจริงๆ…” เสียงทุ้มดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วทั้งท้องพระโรง เปลวไฟสีน้ำเงินค่อยๆสั่นไหวไปมาราวกับตอบสนองตามแรงอารมณ์ของเขา
“อี้เอิน…”
“ที่ผม….”
“……”
“เป็นลูกที่พ่อต้องการไม่ได้จริงๆ” รอยยิ้มชั่วร้ายถูกวาดขึ้นที่กลีบปาก นัยน์ตาสีรัตติกาลแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้าพร้อมกับมือใหญ่ที่กระตุกโซ่ตรวน กระชากให้ร่างบางเข้ามาหาก่อนที่เขาจะโอบเอวอีกฝ่ายเอาไว้แล้วหายวับไปกับความมืด
“ต้วนอี้เอิน!!!” ฮาเดสคำรามด้วยความตกใจระคนโกรธเกรี้ยว นัยน์ตาคู่ทรงพลังยังคงจับจ้องไปยังที่ที่ลูกเคยยืนอยู่ตรงนั้น ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่น เปลือกตาหลับลงปิดการมองเห็น ก่อนจะพยายามข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในอก
“ท่านครับ เกิดอะไรขึ้นหรอครับ!!” เหล่าข้าราชบริพารรีบกรูกันเข้ามาทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียง ฮาเดสสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะเปิดการมองเห็นขึ้นมาอีกครั้ง
“ส่งสารไปให้พวกสหายของลูกข้าทั้งหมด เรามีธุระต้องขอให้เขาช่วยสักหน่อยแล้ว” เพื่อนของต้วนอี้เอิน… จริงๆแล้วก็เป็นแค่มนุษย์กึ่งเทพธรรมดา ไม่ได้เป็นทายาทของเทพผู้ยิ่งใหญ่อะไรนักหรอก ก็แค่เฮอร์มีส หนึ่งในสิบสองเทพโอลิมปัส อโฟรไดท์ เทพีแห่งความงาม และ…
โพไซดอน
เจ้าแห่งมหาสมุทร และบิดาแห่งอาชาไนย!!!
มาร์คพาแบมแบมลงไปยังนรกใต้พิภพผ่านการเดินทางผ่านเงาที่ตลอดทั้งเส้นทางเต็มไปด้วยความมืดมิดและกลิ่นไอแห่งความตาย ร่างบางพยายามขืนตัว ส่งเสียงกรีดร้อง เข้าประทุษร้ายอีกฝ่ายสารพัดให้ปล่อยตัวเขาไป สัญชาตญาณที่ซ่อนอยู่ในอกกำลังร้องเตือนถึงความไม่ปลอดภัย
ผู้ชายคนนี้อันตราย…
ถึงจะไม่อยากยอมรับว่าอีกฝ่ายน่ากลัว ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่ละเลยความเป็นจริงแล้วฝังกลบความกลัวด้วยการหลอกตัวเองเขารู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์กึ่งเทพธรรมดา เขาทรงพลังและเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่ยิ่งผลักดันให้พลังอำนาจยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนเขายังหวาดหวั่น ซ้ำร้ายยังคาดเดาไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรต่อไป สถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้จึงยากที่จะคาดเดาได้
“โอ้!..” เสียงอุทานดังขึ้น สีหน้าดูตกใจ หากแต่นัยน์ตาคู่คมกลับเต็มไปด้วยความขบขัน
“นายกลัวฉันหรอเนี่ย” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ยและสมเพชความหวาดกลัวของร่างบาง ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก….” น้ำเสียงนั้นเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นัยน์ตาคมกล้าฉายแววสนุกสนาน รอยยิ้มมัจจุราชถูกวาดขึ้นที่กลีบปากหนา ข้อนิ้วแกร่งไล้ไปตามผิวแก้มเนียน ร่างบางรีบสะบัดหน้าหนี
“เพราะนี่มันยังเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ฉันยังไม่ให้นายเจอความกลัวที่แท้จริงหรอก!!!” เสียงทุ้มตวาดลั่นพร้อมกับฉุดกระชากร่างบางไปตามทาง แบมแบมพยายามขืนตัวออก ดิ้นสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม
“ปล่อย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!! ฉันบอกให้ปล่อย!!” เสียงหวานตวาดกลับ มือเล็กพยายามแกะมืออีกฝ่าย เรียกประจุไฟฟ้าให้ไหลวิ่งวนรอบข้อมือเตรียมที่จะช็อตให้ได้รับความเจ็บปวด
“หวังว่านายจะฉลาดพอที่จะรู้สถานการณ์ของตัวเองนะแบมแบม…” มาร์คหันเสี้ยวหน้ามาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่มีผลต่อการสั่นไหวของหัวใจให้หยุดชะงักพร้อมกับดึงสติให้หันไปมองรอบๆ
“……….” ร่างบางถึงกับนิ่งงัน หันมองไปทางไหนก็เจอแต่เหล่าดวงวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขา พวกมันต่างจับจ้องมาที่เขาอย่างเคียดแค้น แรงอาฆาตรุนแรงเสียจนคุกคามหัวใจของเขาให้สั่นไหวและตรึงห้วงความรู้สึกให้อยู่ในอารมณ์ตื่นตระหนกและพรั่นพรึง
ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีวันนี้
ไม่น่าเชื่อว่าบุตรแห่งซุสจะต้องกลัวเกรง
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะต้องยอมให้กับบุตรแห่งเทพเจ้ากระจอกนั่น!!!
ครืนนน!
ฉับพลันนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โครงกระดูกผุดขึ้นมาจากรอยแยก ซากศพที่เน่าเฟะ เลอะไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองเข้ารุมจับข้อเท้าแบมแบมเอาไว้ พร้อมกับส่งเสียงคำรามอย่างน่าสะพรึงกลัวราวกับกำลังถ่ายทอดคำขู่และแรงโทสะของฮาเดส เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในใต้พิภพ
“ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะรับรู้แล้วว่าพวกเรามาที่นี่” เสียงทุ้มนั่นเอ่ยขึ้น รอยยิ้มถูกวาดขึ้นที่กลีบปาก ดวงตาคู่คมจับจ้องไปยังยอดพระราชวังที่แทงออกมาจากกลุ่มหมอกแห่งความตาย เหล่าภูตผีลอยวนอยู่รอบๆ ฝูงปีศาจจากทุกขุมนรกคอยบินโฉบรักษาความปลอดภัยอยู่โดยรอบ กลิ่นไอของความตายและมืดมนแผ่กระจายจนเขาที่ยืนอยู่ไกลออกไปหลายร้อยกิโลฯยังสัมผัสได้
“ไปหาท่านพ่อฉันหน่อยเป็นไง? เผื่อนายจะอยากเจอหน้าเทพเจ้ากระจอกที่นายว่า” ร่างสูงพูดเสียงเย็น รอยยิ้มมีความสุขเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นการแสยะยิ้มให้โดยฉับพลัน หมอกแห่งความตายเริ่มม้วนตัวลอยคละคลุ้งโอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ ก่อนที่ร่างสูงจะพาอีกฝ่ายเดินทางผ่านเงาไปยังพระราชวังที่ตั้งอยู่ใจกลางของนรกใต้พิภพ…
แบมแบมอยากกรีดร้อง…
เขาอยากทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะเป็นการระบายความเครียดและความหวาดกลัวนี้ เบื้องหน้าที่ประจักษ์อยู่ตอนนี้คือพระราชวังที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา ด้วยตัวพระราชวังที่ถูกทำขึ้นมาจากเหล็กสีดำทมิฬอันน่าพรั่นพรึง โดยภายในมีใบหน้าของเหล่าดวงวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ สายตานับร้อยๆคู่คอยจ้องมองให้อึดอัด ซ้ำร้ายที่เหนือหมอกแห่งความตายขึ้นไปยังมีกลุ่มปีศาจมีปีกเฝ้าจับตามองลงมาอยู่อย่างจับผิด
“ไม่ได้เจอกันซะนานนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นจากคนข้างตัว ดวงตาคู่คมทอดมองเหล่ากลุ่มปีศาจสาวสามตัวที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มของหน่วยลาดตระเวนทางอากาศ น้ำเสียงของเขายากที่จะบอกได้ว่ารู้สึกเช่นไรกับการพบกันครั้งนี้
“เจ้า” เสียงเหล่าปีศาจดังขึ้นอย่างขุ่นข้องราวกับข้องใจว่าคนตรงหน้านี่ใช่คนที่ตนรู้จักจริงหรือไม่ก่อนที่จะสยายปีกบินโฉบลงมาประจันหน้าด้วย
“เจ้าจริงๆน่ะหรือ” ปีศาจตัวตรงกลางพูดขึ้น แบมแบมแทบอยากจะหวีดร้องออกมาเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อเบื้องหน้าคือปีศาจที่สุดแสนจะอัปลักษณ์จนใครก็ตามที่พบเห็นไม่อาจทนดูพวกมันได้ ใบหน้าน่าสะอิดสะเอียน ดวงตาที่แดงเลือดทอประกายคลุ้มคลั่ง ปากฉีกยาวถึงใบหู กลิ่นปากที่เหม็นราวกับซากศพคละคลุ้ง ฟันที่อยู่ภายในคมกริบและเต็มไปด้วยเศษชิ้นเหนือที่ไม่ทราบว่าเป็นตัวอะไร เส้นผมของมันเป็นงูหลายพันตัวขนพันไปมาจนดูเผินๆอาจคล้ายเมดูซา ทว่ายังสามารถแยกได้จากปีกค้างคาวสีดำมันแผลบขนาดใหญ่ที่สยายอยู่ด้านหลังนั้น
แบมแบมจำได้ว่านี่คือตัวอะไร…
ฮาร์ปี้ สัตว์เลี้ยงของฮาเดส
“ไม่ได้เจอกันแค่สามปี พวกคุณลืมผมกันหมดแล้วหรอเนี่ย” มาร์คหัวเราะอย่างขบขัน เหล่าปีศาจสาวพวกนั้นค่อยๆยืนหน้าเข้ามาใกล้ จมูกของพวกมันฟุดฟิดไปมาราวกับสุนัขที่กำลังดมกลิ่นพิสูจน์ว่าใช่เจ้านายของตนจริงมั้ย ร่างบางคอยลอบมองสลับกับเหลือบตาไปมองเหล่าดวงวิญญาณในกำแพงและเหล่าปีศาจที่บินอยู่เหนือกลุ่มหมอก ทุกตัวกำลังสนใจร่างสูง ไม่มีใครมองมาที่เขาสักคน
นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะหนีไปจากที่นี่ได้…
ไม่เหลือเวลาให้ลังเลแล้ว เขาจะต้องรีบอาศัยช่วงที่พวกมันไม่สนใจเขาอยู่ตอนนี้แล้วรีบชิงหลบหนี เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างบางก็ค่อยๆก้าวถอยหลังออกมาอย่างช้าๆ ดวงตาหยิ่งทะนงคอยเหลือบมองเหล่าปีศาจและดวงวิญญาณไปด้วย
“ล่าสุดที่พวกข้าเห็นเจ้า เจ้ายังเป็นแค่เด็กน้อยผู้อ่อนแอ ไม่มีแม้แต่พลังจะทำให้พวกเขาเคารพเจ้า” ปีศาจตัวตรงกลางพูดขึ้น ร่างบางค่อยๆก้าวอย่างช้าๆ
“ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะรอดพ้นจากคอเคซัสได้” ตัวทางซ้ายพูดขึ้น
“ใช่ แล้วอะไรทำให้เจ้าเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้” ตัวทางขวาเอ่ยถาม แม้เรื่องที่พูดคุยกันอยู่ตอนนี้จะทำให้เขาสนใจ แต่ ณ วินาทีนี้ไม่ว่าอะไรจะน่าอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนก็ช่าง เขาจะต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้
แบมแบมค่อยๆก้าวถอยห่างออกไปอีก ดวงตากวาดมองไปรอบๆอย่างพยายามหาตัวช่วย เขาเป็นคนของผืนฟ้า เมื่อไรก็ตามที่อยู่กลางอากาศเขาย่อมจะได้เปรียบมากกว่า แต่ว่า… ณ ที่แห่งนี้ ใต้ผืนพิภพที่ไม่คุ้นชินแห่งนี้จะมีท้องฟ้าให้เขาโผนทะยานขึ้นไปได้อย่างไรกันล่ะ…
ร่างบางพยายามขบคิดหาทางออกอย่างเร็วจี๋ ในห้วงความคิดพยายามนึกถึงเหล่าตำนานเก่าแก่ของทุกเทพเจ้าที่เดินทางสัญจรไปมาอยู่นรกใต้พิภพว่ามีองค์ไหนบ้างที่เกี่ยวข้องกับท้องฟ้า ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มี แม้กระทั่งราชาแห่งสายลมผู้ที่สัญจรไปแล้วทุกที่ก็ยังไม่ชอบมาที่นี่ เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อน ราชาแห่งสายลม.. สายลม…จริงสิ สายลมคือสิ่งเดียวที่พัดพาไปทุกที่แม้แต่ในใต้พิภพนี่! ร่างบางลำพึงกับตัวเองในใจด้วยความลิงโลดก่อนจะร้องเรียกหาราชาแห่งสายลมขึ้นในใจ
ท่านเอโอลัส
“อะไรทำให้ผมเปลี่ยนไปน่ะหรอ” เสียงทุ้มของมาร์คดังขึ้นอีกครั้ง
ท่านเอโอลัส ได้ยินผมมั้ย ท่านเอโอลัส
“หึ ก็จะอะไรล่ะ นอกเสียจาก…”
ท่านเอโอลัส!! ได้โปรดช่วยผะ
“เด็กผู้ชายคนนั้น”
หมับ!
วูมมมมมม
สายลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาสร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าปีศาจสาว พวกมันแตกกระเจิงบินหนีขึ้นกลางอากาศ ร่างสูงของมาร์คเข้าจับแขนของร่างเล็กเอาไว้ ก่อนที่ราชันย์แห่งสายลมเอโอลัสจะปรากฏตัวขึ้นให้ประจักษ์แก่เบื้องหน้า
“นี่น่ะหรอ ที่นายเรียกมา” มาร์คพูดขึ้นก่อนจะเรียกซากศพขึ้นมาจากผืนดินเข้าตรึงร่างเทพเจ้าเอาไว้
“ท่านเอโอลัส!!” แบมแบมหวีดร้อง พยายามจะวิ่งเข้าไปช่วยแต่กลับถูกมาร์คกระชากเอาไว้
“หึ ถนัดเรื่องเล่ห์กลเหมือนพ่อไม่มีผิด ไอ้ลูกเทพสกปรก!”
“นายว่าอะไรนะ!! โอ๊ย!!” ถ้อยคำประทุษร้ายกลายเป็นเสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดเมื่อมาร์คบีบแก้มอีกฝ่ายแล้วกระชากให้หันไปมองยังเอโอลัสที่พยายามจะเข้ามาช่วย
“นี่น่ะหรอที่นายเรียกมาให้ช่วย ดูตอนนี่สิ แค่มันจะช่วยตัวเองมันยังทำไม่ได้เลย!” ร่างสูงเยาะเย้ย ออกคำสั่งให้เหล่าซากศพเข้าโจมตีราชันย์แห่งสายลมมากขึ้นจนร่างของเทพเจ้าค่อยๆทรุดลงกับพื้น
“แกกล้าดียังไงทำกับเทพเจ้าของฉันอย่างนั้น! ไอ้ลูกเทพกระจอก!!” ร่างบางตะคอก ร่างกายปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาจนวิ่งวุ่นวนรอบตัว ฝ่ามือบางเริ่มมีประกายไฟฟ้าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับอีกฝ่าย
“ดูเหมือนว่าฉันจะใจดีไปสินะ บุตรแห่งซุส” รอยยิ้มเยือกเย็นถูกวาดขึ้นที่กลีบปาก โซ่ตรวนสีทองจะพุ่งออกมาจากความมืด ปลายเส้นด้านหนึ่งพุ่งเข้าเกี่ยวพันมัดร่างของแบมแบมเอาไว้ ก่อนจะเลื้อยขึ้นไปล็อกรอบคอราวกับมีชีวิต ร่างบางดิ้นทุรนทุรายพยายามจะกระชากโซ่ออก ทว่ามันกลับยิ่งรอบรัดเกี่ยวพันแน่นขึ้นจนร่างทรุดฮวบลงกับพื้น
“หมดเวลาสำหรับการปราณีแล้วสิ” มาร์คประกาศก้องพร้อมกับกระชากโซ่กระตุกให้อีกคนเข้ามาหา
“จากนี้ฉันจะให้นายทรมานยิ่งกว่าตกอยู่ในขุมนรก!! เจ็บปวดยิ่งกว่าที่ฉันเคยได้รับ!!” โซ่ตรวนถูกกระชาก ร่างของแบมแบมขรูดไปกับพื้นตามแรงดึง มาร์คลากอีกฝ่ายเข้าไปในพระราชวังอย่างเดือนดาล
“ฮาร์ปี้!! จัดการเอโอลัสซะ!!” เสียงทรงพลังนั่นออกคำสั่ง เหล่าฮาร์ปี้กระพือปีกพร้อมมองสบตากันอย่างชั่งใจ ร่างบางภาวนาขอให้มันไม่เชื่อฟัง ขอให้มันไม่ทำตาม ฮาร์ปี้เชื่อฟังฮาเดสคนเดียวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้หรอกที่มันจะเชื่อฟังแค่มนุษย์กึ่งเทพคนหนึ่งธรรมดาๆ
“ย่อมได้” เสียงตอบรับของฮาร์ปี้ราวกับใบมีดที่ตัดขั้วหัวใจดวงน้อยที่สั่นระริก แบมแบมเหลียวหลังกลับไปมองยังเอโอลัส เทพเจ้าองค์นั้นเบิกตาโพลงก่อนที่จะหวีดร้องลั่นเมื่อเหล่าฮาร์ปี้บินโฉบเข้าโจมตี ร่างบางหลับตาหนีจากภาพที่เห็น ความตื่นกลัวเข้าคุกคามหัวใจให้สั่นสะท้าน
ฮาร์ปี้เป็นปีศาจที่เชื่อฟังแต่ฮาเดสคนเดียวเท่านั้น การที่ร่างสูงสามารถออกคำสั่งกับพวกมันได้ นั่นต้องหมายถึงอีกฝ่ายจะต้องทรงพลังมากพอที่จะควบคุมเหล่าปีศาจจากขุมนรกพวกนั้นได้…
ไม่อยากจะเชื่อเลย..
ไม่อยากจะยอมรับเลย…
.
ว่าเขา
.
อ่อนแอกว่าอีกฝ่าย..
มาร์คกระตุกโซ่ตรวจเร่งเร้าให้อีกฝ่ายเดินตามมาเร็วขึ้น นัยน์ตาคู่คมเหลือบมองอย่างเยาะเย้ยทางสายตา กลีบปากได้รูปแสยะยิ้มร้ายราวกับสะใจที่เห็นบุตรแห่งเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์ต้องมามีสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้
“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ”
“…..” ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองอย่างเคียดแค้น มาร์คหัวเราะเยาะอย่างขบขันก่อนจะตวัดสายตามองด้วยแววตาที่เย็นชาดุจน้ำแข็ง
“ถูกโซ่ที่พ่อตัวเองเคยทำเพื่อตรึงฉันไว้ที่ยอดเขาพันธนาการเอาน่ะ!” ร่างบางเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความตกใจ นัยน์ตาหยิ่งยโสคู่นั้นเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง
“หึ” ร่างสูงหัวเราะในลำคอก่อนจะกระตุกโซ่ให้เดินเร็วขึ้นอีกครั้ง
แบมแบมก้มมองโซ่สีทองที่พันธนาการตัวเองเอาไว้ เพิ่งสังเกตว่าแต่ละข้อของโซ่ที่สอดเกี่ยวกันอยู่นี้มีตราสัญลักษณ์สายฟ้า อันเป็นตราประจำกายของผู้เป็นพ่อของตนอยู่ คำถามมากมายผลุดขึ้นในหัวราวกับทุกความครหาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น พ่อของเขาโหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไร้เหตุผลได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ พันธนาการมนุษย์ผู้ซึ่งไร้ซึ่งความผิดด้วยโซ่แห่งสายฟ้าที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาตลอดเวลา และพร้อมที่จะช็อตเหยื่อให้ตายทันทีที่พยายามจะแกะออกเชียวหรือ…
ช่างโหดร้าย
โหดร้ายเหลือเกิน…
ร่างของแบมถูกมาร์คกระตุกโซ่เรียกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความคิด ดวงตาที่ยังคงแฝงแววหยิ่งยโสเหลือบมองแผ่นหลังของศัตรูที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย แม้ความสงสารจะเข้ามาสะกิดทักทายหัวใจให้สั่นไหว ทว่าก็ถูกความยุติธรรมเข้ามาฉุดรั้งอย่างรวดเร็ว เพราะถูกทารุณงั้นหรือ ถึงต้องลงทัณฑ์เขา เพราะถูกเอาเปรียบก่อนงั้นหรือ ถึงต้องกระทำตาม เพราะถูกกักขังไว้หรือ ถึงต้องย่ำยี
ไม่ใช่ ไม่ใช่เลยสักนิด…
นั่นไม่ใช่ข้ออ้างของการกระทำทุเรศๆเช่นนี้ และเขาก็จะไม่มีทางอยู่รับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อตลอดชีวิต เขาจะต้องหาทางไปจากที่นี่ให้ได้ เขาจะต้องหนีจากปีศาจร้ายนี้ให้ได้!
“กลับมาแล้วหรอ ท่านอี้เอิน” เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากเขาให้ต้องหันไปมอง เทพเจ้าองค์หนึ่งที่ส่งยิ้มมาให้จากหน้าประตูท้องพระโรงเอ่ยทักทาย แวบแรกที่เห็นแบมแบมรู้สึกไม่ไว้ใจเลยสักนิด เทพเจ้าองค์นี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่น่าเข้าใกล้ แม้ว่ารูปโฉมของเขาจะงดงามราวกับอีรอส(หมายถึงคิวปิดในภาษากรีก) ทว่ากลับแผ่กลิ่นไอแห่งความตายออกมาอยู่ตลอดเวลา
“ไม่ได้เจอกันซะนานนะ ท่านทานาทอส ท่านพ่ออยู่ในนี้รึเปล่า” ทานาทอส… เขาเคยได้ยินชื่อนี้ ทานาทอส เทพเจ้าที่อยู่ในนรก เขามีหน้าที่ หน้าที่… ไม่ เขาคิดไม่ออก เขาจำไม่ได้ว่าเทพเจ้าองค์นี้มีหน้าที่ทำอะไร
“ ใช่ พาแขกมาด้วยสินะ” ทานาทอสพยักพเยิดมาทางเขา แวบหนึ่งที่ดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นสบตากับเขาหัวใจของเขาก็เหมือนถูกสั่นไหวด้วยความหดหู่ เศร้าหมอง สิ้นหวังและไร้หนทาง ความกังวลเกี่ยวกับถูกจับมานี่ดูหนักอึ้งขึ้นราวกับมีหินขนาดใหญ่มาทวงให้จมลงสู่ก้นบึ้งของจิตใจ ปัญหาทุกอย่างดูใหญ่หลวงเสียจนเขาหมดหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ อยากจะตายๆไปเสีย
“ก็แค่นักโทษ” เสียงทุ้มของมาร์คดังขึ้น ถ้อยคำถากถางนั้นดูทำให้เขาห่อเหี่ยวและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“หึ หวังว่าท่านฮาเดสจะชอบนักโทษผู้นี้นะ” เทพเจ้าองค์นั้นพูดขึ้น พร้อมกับที่มาร์คเดินผ่านไป
หมับ!
จู่ๆทานาทอสก็จับบ่าของเขาเอาไว้ขณะที่กำลังจะเดินผ่าน เทพเจ้าโน้มหน้ามากระซิบ ร่างบางเบิกตาโพลงทันทีที่ได้ยิน เทพเจ้าหัวเราะชอบใจก่อนจะผละออกไป แบมแบมนึกขึ้นได้แล้วว่าเขาคือใคร ทานาทอส เทพเจ้าแห่งความตาย ผู้มีหน้าที่หยิบยื่นความตายให้กับสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตที่สามนางฟ้าแห่งโชคชะตาตัดสินให้หมดอายุขัยบนโลก
“จำคำที่ข้าบอกเอาไว้ให้ดีล่ะ บุตรแห่งซุส” ทานาทอสยังคงหัวเราะขบขัน ปีกสีดำอันทรงพลังนั้นกระพือปีกขึ้นก่อนจะโผบินเข้าสู่เงาสีดำทมิฬพร้อมกับตะโกนดังไปทั่วบริเวณ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ท่านอี้เอิน” เสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วพร้อมกับเทพเจ้าองค์นั้นบินหายไปกับความมืด ฉับพลันนั้นบานประตูก็เปิดออก คบเพลิงสีซีดที่ดูคล้ายกับโครงกระดูกมนุษย์ไล่ลุกโชนสว่างวาบไปจนสุด หมอกแห่งความตายคละคลุ้งไปทั่ว ที่สุดโถงทางเดินมีบัลลังก์ขนาดมหึมาที่ทำมาจากโครงกระดูกมนุษย์ต่อกันจนเป็นลวดลายวิจิตรที่แฝงความน่าสยดสยอง เทพเจ้าองค์ที่เขาไม่อยากจะเจอมากที่สุดกำลังประทับอยู่บนนั้น นัยน์ตาสีทองทรงพลังกำลังจับจ้องมาที่เขาด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา
“สวัสดี บุตรแห่งซุส” ราชันย์แห่งนรกภพภูมิแห่งวิญญาณเปล่งเสียงอันทรงพลังและเย็นเยียบขึ้นทักทาย ร่างบางชะงักงันทำอะไรไม่ถูก ความตื่นตระหนกเข้าเกาะกุมหัวใจให้ร้อนรน เทพเจ้าองค์นี้อันตราย แค่เพียงเสียงของเขาก็ทรงพลังมากพอจะสั่นประสาทให้หวาดผวาได้แล้ว
“ลูกชายอุตส่าห์กลับมาทั้งที แต่ท่านพ่อกลับไปทักคนอื่นซะก่อน อย่างนี้ผมน่าจะหนีกลับขึ้นคอเคซัสอย่างเดิม” มาร์คหยอกล้อกับผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงรื่นเริงผิดกับเมื่อครู่
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าจะต้องมา” เทพเจ้าแย้มยิ้มก่อนจะตวัดสายตากลับมามองยังร่างบาง แบมแบมก้มหลบตาอย่างไม่กล้าเผชิญหน้า
“ท่านไม่มีบอกข่าวผมก่อนเล”
“แต่ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นบุตรแห่งซุสในสภาพเช่นนี้” ฮาเดสเอ่ยขึ้นหยุดทุกคำพูดและรอยยิ้มของมาร์คแต่กลับกระตุกร่างบางให้ต้องเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย เทพเจ้ามองเขาด้วยแววตาที่ต่างออกไปจากตอนแรก
“ท่านหมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของมาร์คแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม นัยน์ตาที่จ้องมองผู้เป็นพ่อฉายแววจริงจัง ฮาเดสเหลือบตากลับมาสบตากับลูกชายก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าไม่มีสิทธิกระทำกับเขาเยี่ยงทาสเช่นนี้” แบมแบมมองเทพเจ้าแห่งความตายองค์นี้ด้วยแววตาอันสั่นระริก ประกายแห่งความหวังที่เคยดับมอดไปแล้วกลับมาส่องสว่างในจิตใจขึ้นอีกครั้ง
“ท่านพ่อกำลังเกลี่ยกล่อมให้ผมปล่อยไอ้ลูกเทพเจ้าที่มันทำร้ายผมมาตลอดสามปีเต็มๆทั้งๆที่ไม่มีความผิดน่ะหรอครับ!”
“อี้เอิน”ฮาเดสเอ่ยปรามผู้เป็นลูก มาร์คเบือนหน้าไปทางอื่น สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ให้กลับมาคงที่อีกครั้ง ฮาเดสค่อยๆก้าวลงมาหาบุตรชายของตนจากบัลลังก์อย่างช้าๆ
“ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธแค้นและเกลียดชังคนของสายฟ้ามากเพียงใด”
“………..”
“ข้าเองก็เช่นกัน ตลอดสามปีที่ผ่านมา ไม่มีวินาทีไหนที่ข้าไม่ชิงชังน้องชายของข้า” ฮาเดสเอื้อมมือบีบไหล่ลูกชายเบาๆ แบมแบมก้มหลบตาอีกครั้ง ความรู้สึกระอาใจราวกับถูกตบหน้าด้วยวาจา
“…………..”
“แต่การล้างแค้นด้วยวิธีเช่นนี้ นั่นไม่ใช่วิธีที่มีเกียรติ สิ่งที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรไปจากซุสเลยสักนิด”
“ท่านพ่อ…” มาร์คหันกลับมาสบตากับผู้เป็นพ่อก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น
“ท่านพ่อกำลังจะบอกให้ผมหยุดงั้นหรอครับ”
“อี้เอิน” ฮาเดสหลับตาพรูลมหายใจพร้อมกับออกแรงบีบบ่าลูกชายมากขึ้นกว่าเดิม ก่อนที่จะค่อยๆลืมตาขึ้นสบตาด้วย
“ตั้งแต่เล็กจนโตข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร ข้าพร่ำพูดกับเจ้ามาตลอดว่าจงดำรงชีวิตทุกอย่างอยู่บนความยุติธรรม และอย่าได้ไขว่คว้ากระทำทุกอย่างตามอารมณ์ความรู้สึกของตนเองเป็นอันขาด”
“……..”
“แล้วดูตอนนี้สิ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่” เทพเจ้าชี้ให้เห็นถึงสภาพของแบมแบมที่ถูกโซ่พันธนาการจนร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผล
“…….”
“จงจำไว้นะอี้เอิน ความตายยุติธรรมเสมอ คนของความตายก็เช่นกัน” เกิดความเงียบอันน่าสะอิดสะเอียนขึ้นหลังจากที่ฮาเดสเอ่ยประโยคนั้นจบ ร่างสูงไม่ยอมโต้ตอบอะไร เอาแต่ก้มหน้าซ่อนใบหน้าเอาไว้ในเงามืด ฮาเดสเหลือบมองลูกชายอย่างคาดหวังให้เข้าใจในคำสอน และกลับใจเสียใหม่ ในขณะที่แบมแบมก็เฝ้ารอคอยอย่างมีความหวัง มาร์คจะสำนึกได้มั้ย เขาจะเปลี่ยนใจรึเปล่า จะปล่อยเขาไปมั้ย จะเลิกอาฆาตเขาที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยรึเปล่า
“หึหึ” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นจากร่างสูง เรียกร้องให้ทุกคนต้องหันไปมอง เสียงหัวเราะค่อยๆดังขึ้นราวกับว่าเจ้าตัวกำลังขบขันอยู่กับอะไรบางอย่าง ใบหน้าหล่อคมค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตาผู้เป็นพ่อ นัยน์ตาคมกล้าคู่นั้นฉายแววขบขัน
“ขอโทษจริงๆ…” เสียงทุ้มดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วทั้งท้องพระโรง เปลวไฟสีน้ำเงินค่อยๆสั่นไหวไปมาราวกับตอบสนองตามแรงอารมณ์ของเขา
“อี้เอิน…”
“ที่ผม….”
“……”
“เป็นลูกที่พ่อต้องการไม่ได้จริงๆ” รอยยิ้มชั่วร้ายถูกวาดขึ้นที่กลีบปาก นัยน์ตาสีรัตติกาลแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเจิดจ้าพร้อมกับมือใหญ่ที่กระตุกโซ่ตรวน กระชากให้ร่างบางเข้ามาหาก่อนที่เขาจะโอบเอวอีกฝ่ายเอาไว้แล้วหายวับไปกับความมืด
“ต้วนอี้เอิน!!!” ฮาเดสคำรามด้วยความตกใจระคนโกรธเกรี้ยว นัยน์ตาคู่ทรงพลังยังคงจับจ้องไปยังที่ที่ลูกเคยยืนอยู่ตรงนั้น ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่น เปลือกตาหลับลงปิดการมองเห็น ก่อนจะพยายามข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในอก
“ท่านครับ เกิดอะไรขึ้นหรอครับ!!” เหล่าข้าราชบริพารรีบกรูกันเข้ามาทันทีหลังจากที่ได้ยินเสียง ฮาเดสสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะเปิดการมองเห็นขึ้นมาอีกครั้ง
“ส่งสารไปให้พวกสหายของลูกข้าทั้งหมด เรามีธุระต้องขอให้เขาช่วยสักหน่อยแล้ว” เพื่อนของต้วนอี้เอิน… จริงๆแล้วก็เป็นแค่มนุษย์กึ่งเทพธรรมดา ไม่ได้เป็นทายาทของเทพผู้ยิ่งใหญ่อะไรนักหรอก ก็แค่เฮอร์มีส หนึ่งในสิบสองเทพโอลิมปัส อโฟรไดท์ เทพีแห่งความงาม และ…
โพไซดอน
เจ้าแห่งมหาสมุทร และบิดาแห่งอาชาไนย!!!