0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

ตอนที่1 ห้องใต้ดิน

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

0ctogus

0ctogus
Admin

นานมาแล้วเคยมีคนบอกผมว่าทุกประวัติศาสตร์มักมีเรื่องราวบางส่วนที่หายไปเสมอ ไม่ว่าจะถูกจงใจหรือพลั้งเผลอให้หายไปก็ตาม

และแน่นอน ผมก็เป็นเหมือนอย่างคุณ เราไม่เคยสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา ผมไม่เคยสนใจว่าพวกมันหายไปไหน ส่วนที่หายไปคืออะไร และไม่เคยอยากรู้ความจริงทั้งหมด ปล่อยให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าจากอดีตที่แสนน่าเบื่อที่ผ่านเข้ามาในสมองแล้วตกผลึกเป็นเพียงความทรงจำอันแสนจะเลือนลาน ทว่าวันหนึ่ง ความคิดของผมก็ถูกทำให้เปลี่ยนไป เมื่อ…


ผมดันกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่หายไป…..

ของอีกโลกโลกหนึ่ง



-------------------------------------------------


ตอนที่1 ห้องใต้ดิน



“ขอโทษครับๆ หลีกทางหน่อยครับๆ ผมกำลังรีบ โอ้!!! คุณผู้หญิง ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ พอดีผมกำลังจ เฮ้!!! เฮ้!! อย่าเพิ่งออกนะ …….โอ้ว!!! ให้ตายเถอะ!!!”ผมตะโกนโหวกเหวกโวยวายกลางลานรถไฟพร้อมกับวิ่งกระหืดกระหอบฝ่าฝูงชนที่คลาคล่ำเต็มสถานีตามขบวนรถไฟที่กำลังจะขับออกจากชานชลาไปอย่างไม่ใยดีผู้โดยสารตัวเล็กๆอย่างผม


“เฮ้ รอก่อนสิ เฮ้!!” สองมือพยายามโบกไม้โบกมือพร้อมกับกระโดดหย็องแหย็ง ยืดตัวหวังให้คนขับเห็น แต่ก็ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ เมื่อขบวนรถไฟเริ่มขับออกไปเรื่อยๆ หนำซ้ำตอนนี้ ผู้โดยสารคนอื่นๆที่อยู่บนรถไฟและรอบข้างชานชลาก็เริ่มหันมาสนใจผมกันหมดแล้ว โอ้ ไม่นะ ผมจะต้องไม่ชวดขบวนรถไฟขบวนนี้

“โอ้ ดูเหมือนว่าเรากำลังมีคนต้องการความช่วยเหลือนะ” เสียงของชายชราคนหนึ่งร้องทักผมจากตู้รถไฟ ท่าทางของเขาดูเหมือนลุงซานต้าใจดีๆคนหนึ่ง ต่างกันตรงที่เขาไม่ได้สวมชุดแดงและมีถุงของขวัญขนาดใหญ่ไพล่หลังแต่กลับมีถุงราสเบอร์รี่สดๆอยู่เต็มถุงแทน

“กระโดดขึ้นมาสิ เดี๋ยวฉันจะช่วยจับ เฮ้ ถ้าเธอไม่กระโดดขึ้นมาตอนนี้ ก็จะไม่มีโอกาสกระโดดอีกแล้วนะ”ลุงท่าทางประหลาดคนนั้นตะโกนบอกพร้อมกับซ้ำทับอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าของผม มือเหี่ยวย่นข้างที่ไม่ได้จับถุงราสเบอร์รี่กวักมือเรียกหย็อยๆ
โอเค มันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะทำ นับว่าโคตรเสี่ยงเลยแหละ แต่ถ้าเทียบกับการชวดเงิน และต้องเสียเงินซื้อตั๋วใหม่อีกรอบ แถมพ่วงต่อความซวยด้วยการต้องโดนคุณป้าที่รักของผมด่าแล้ว ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรทำอย่างยิ่ง



“เอาก็เอาวะ” ผมสูดหายใจลึกแล้วหันไปพูดกับลุงซานต้า

“คุณลุงหลบทีครับ ผมต้องการพื้นที่!!” ผมตะโกนบอกพร้อมโบกมือให้ลุงเขยิบออกไป คุณลุงซานต้ารีบถอยห่างออกจากบริเวณนั้น ผมสูดหายใจรวบรวมความกล้าและบ้าบิ่นที่สะสมมาอย่างล้นปรี่ของตัวเองเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอื้อมมือไปจับราวระหว่างโบกี้ไว้เป็นหลักยึดแล้วเหวี่ยงตัวเข้ามาข้างใน ร่างของผมกลิ้งลุนๆเหมือนลูกเบสบอลที่ถูกเหวี่ยง ตัวของผมกระแทกเข้ากับขาเก้าอี้จนดังปั่ก! ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหวีดว๊ายของผู้โดยสารที่ฟังจากเสียงแล้วคงไม่พ้นเป็นพวกวัยรุ่น แล้วจบลงที่ผมนอนแผ่หลากลางทางเดินด้วยสภาพที่ไม่น่าดูสักเท่าไร


“โอ่ยยย” ผมร้องอวดครวญ ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วเอื้อมมือไปลูบที่สีข้างที่ถูกกระแทกเบาๆ ก่อนจะถกเสื้อขึ้นดู โอ้โห…. เขียวซะอย่างกับโดนต่อย แต่ก็ยังดีที่ไม่เลือดตกยางออก ไม่งั้นล่ะวุ่นแน่ อย่างน้อยผมก็คงต้องเลิกนอนตะแคงข้างขวาไปอีกสองสามคืนเท่านั้น


“นี่พ่อหนุ่ม” เสียงลุงซานต้าเรียกให้ผมหันไปสนใจ สายตาดูเหมือนสำรวจหาอะไรบางอย่างจนผมต้องหันมองซ้ายมองขวาตามไปด้วย

“กระเป๋าของเธอล่ะพ่อหนุ่ม”


“ห๊ะ!!! กระเป๋า!!!!”ผมทะลึ่งตัวลุกพรวด โผล่หน้าไปดูที่ด้านนอก เจ้ากระเป๋าเดินทางซอมซ่อของผมยืนสงบนิ่งอยู่ที่ชานชาลา ในขณะที่รถไฟเคลื่อนตัวออกมาจากชานชาลาแล้ว ให้ตาย ลืมได้ยังไงวะเนี่ย!! แล้วอย่างนี้ผมจะใส่เสื้อผ้าอะไรกันล่ะ ต้องทนใส่ชุดนี่ไปตลอดงั้นหรอ โอ๊ย ไอ้แบมเอ๊ย!!

“กระเป๋าแสนรักล่ะสิ”คุณลุงเอ่ยถามทำลายอารมณ์เสียดายของผม


“ไม่รักก็เหมือนรักครับ เพราะมีอยู่ใบเดียว เฮ้อ….กระเป๋าของผม”ผมพูดอย่างอดมลายตายอยาก ก่อนจะมองเจ้ากระเป๋าตาละห้อย อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี มาจากกันง่ายๆแบบนี้เนี่ยนะ


“เฮ้ๆ ของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้น่า”มือเหี่ยวย่นตบบ่าผมเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ ใบหน้าใจดีคลี่ยิ้มอบอุ่นมาให้ผม


“ปัญหาคือไม่มีเงินซื้อน่ะสิครับ”ผมบอกก่อนจะเบ้ปากแล้วทรุดนั่งลงกับเก้าอี้ที่ว่างข้างๆคุณลุง ลุงซานต้าโบกมือเป็นเชิงไม่สนใจแล้วจึงเปลี่ยนเรื่อง


“แล้วนี่เราจะไปไหนรึ เห็นขนของมาซะเยอะเชียว”


“ย้ายบ้านน่ะครับ”


“ย้ายด้วยตัวคนเดียวงั้นหรอ!”คุณลุงถามอย่างตกใจ ผมรีบโบกมือเป็นพัลวัน


“เปล่าครับ คุณป้าผมล่วงหน้าไปก่อนแล้วท่านมีธุระต้องมาทำ แต่ผมติดเรื่องเรียนนิดหน่อยก็เลยตามไปทีหลัง”


“อ๋ออ ฉันคิดว่าเธอไปคนเดียวเสียอีก”


“ถ้าป้าผมรู้ว่าผมลืมกระเป๋าไว้ที่ชานชาลามีหวังตายแน่เลย”


“ฮ่ะฮ่า ป้าของเธอจะต้องไม่ว่าอะไรหรอก เชื่อฉันสิ”


“ขอให้เป็นอย่างนั้นนะครับ” ผมตอบรับ และขอให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะตามปกติแล้ว ป้าต้องไม่เป็นอย่างที่ลุงบอกแน่ อย่างน้อยก็ต้องมีว่าสักสองสามประโยค และด้วยปกติแล้วมันก็ไม่จบแค่นั้นแน่นอน ป้าจะต้องบ่นผมยาวเป็นบทสวดแน่ๆ และสุดท้ายก็จะลงเอยด้วยคำว่า ‘ครั้งหน้าฉันขอเรื่องที่มันวุ่นวายน้อยกว่านี้อีกนะ!’ และแน่นอน…ครั้งหน้าของป้าไม่เคยวุ่นวายน้อยลงเลย

ป้าของผมเป็นคนเจ้าระเบียบตามแบบฉบับของคุณครูวัยใกล้เกษียณ แต่ถึงเธอจะดุแค่ไหน ผมก็รักเธอนะ เพราะในชีวิตของผม นอกจากเธอแล้ว ผมก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก พ่อกับแม่ของผมก็เสียไปตั้งแต่ผมเกิดด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่ป้าไม่อยากจะเล่า และผมก็ไม่อยากเซ้าซี้จะถามต่อ เพราะฉะนั้นผมจึงรักเธอมาก และพยายามจะไม่หาเรื่องปวดหัวให้เธอมากที่สุด แต่แน่ล่ะ ถ้าแบมแบมคนนี้ไม่ก่อเรื่อง ก็คงไม่ใช่แบมแบม ตัวป่วนของบ้านแน่ๆ



การย้ายบ้านครั้งนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าไร อืมมม จะอธิบายยังไงดีล่ะ คือป้าก็ไม่ได้ไม่บอกเหตุผลว่าทำไมต้องย้าย แต่เหตุผลของป้าก็ไม่ได้ฟังดูน่าเข้าใจง่ายเสียเท่าไร เพราะป้าบอกกับผมว่า ‘แบมแบม อีกสองวันเราจะย้ายบ้านกันนะ ป้าเจอที่น่าอยู่กว่าแล้ว’ นั่นแหละเหตุผลที่เธอบอกกับผม ฟังซะน่างงยิ่งกว่างง แถมยังฉุกละหุกซะผมแทบจะเตรียมตัวไม่ทัน เพราะฉะนั้นกว่าจะจัดการทุกอย่างได้ก็แทบไม่เหลือเวลาให้บอกลาเพื่อนที่โรงเรียนหรือแม้แต่คุณลุงพอสลี่และคุณนายฟิกเกอร์พอร์ตเพื่อนบ้านของเราเลย

ผมหันไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง ภาพหนึ่งในเมืองหลวงที่ติดอันดับเมืองที่สวยงามที่สุดในโลกสะท้อนอยู่ในแววตาและความทรงจำของผม เอาจริงๆแล้วลอนดอนก็ไม่ใช่เมืองที่น่าอยู่อะไรขนาดนั้น แต่กลับกันมันก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว มหานครแห่งนี้เปรียบเสมือนประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิต สถานที่ท่องเที่ยวมากมายยังคงมนตร์ขลังเหมือนเมื่อหลายสิบหลายร้อยปีก่อน ลอนดอนอายส์ยังคงตั้งตระหง่านเป็นอนุสรณ์ให้คนลอนดอนระลึกว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป บิกเบนยังคงสะท้อนภาพของบิกเบนหลังเก่าที่ถูกไฟไหม้ไปเมื่อนานมาแล้ว พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ยังคงอบอวลไปด้วยมนตร์ขลังของความโบราณตั้งแต่ครั้นที่มันถูกสร้างขึ้นในปีคริสตศักราชหนึ่งพันสิบหก เมืองหลวงแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจกันหรอก คนส่วนใหญ่ชอบมองอะไรที่เป็นปัจจุบันเสียมากกว่า จนหลงลืมไปว่าที่มีปัจจุบันที่สวยงามได้เป็นเพราะมีอดีตที่มั่นคง

ขบวนรถไฟค่อยๆพาผมไกลห่างออกจากลอนดอนมากขึ้นเรื่อยๆ ดูๆไปแล้วก็ทั้งใจหายและดีใจอยู่เหมือนกัน ลอนดอนเป็นเมืองที่สวย สะดวกสบาย แต่แย่หน่อยตรงที่คนไม่ได้ถูกยกระดับตามไปด้วย หลายครั้งที่ผมเคยถูกดูถูก หลายครั้งที่ผู้คนพร้อมใจกันไม่ช่วยเหลือคนลำบาก แต่ก็บ่อยครั้งที่พวกเขาเรียกร้องความยุติธรรมให้กัน และบ่อยครั้งที่ความเสมอภาคเกิดขึ้นในสังคมแห่งนี้

ภาพวิวทิวทัศน์ความศิวิไลของสังคมเมืองกรุงค่อยๆถูกกลืนกินและแทนที่ด้วยความเงียบสงบของชนบทอย่างเชื่องช้า ทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มพลิ้วไหวล้อสายลมที่พัดผ่าน สายน้ำใสสะอาดตัดผ่านคอยให้ความชุ่มชื่น ผืนป่าที่เริ่มแทรมด้วยสีส้มแดงอบอวลไปด้วยกรุ่นกลิ่นแห่งความสดชื่น อากาศเดือนตุลาคมเริ่มมีลมหนาวพัดผ่านมาให้ทุกคนได้เย็นสบาย ทว่านั่นไม่ใช่สำหรับผม…

อากาศหนาวไม่เคยเป็นมิตรกับผม

ผมไม่ชอบอากาศหนาวเลยสักนิด มันทำให้ผมไม่สบายและหงุดหงิด แต่ป้ามักจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะปกติตรงไหนเลย เด็กผู้ชายอายุสิบเก้าปี อยู่ที่นี่มาก็ตั้งแต่เกิด ใส่เสื้อมิดชิดและไม่เคยบ้าจี้ไปเล่นหิมะ แต่ดันเป็นหวัดทุกทีที่เข้าหน้าหนาว จะบอกว่าไม่ชินสภาพอากาศก็ไม่ใช่ อ่อนแอนี่ยิ่งไม่ใช่ สรุปทุกวันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าร่างกายผมเป็นอะไรกันแน่



ติ๊ง ติ๊ง
“อีกสิบนาทีจะถึงสถานีกอสเตอร์ ขอให้ผู้โดยสารเตรียมตัวลง”
เสียงระฆังแจ้งเตือนดังขึ้นพร้อมกับเสียงพนักงานบอกผู้โดยสาร ผมเหลือบมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ขบวนรถไฟกำลังเคลื่อนผ่านใต้สะพานหินแกรนิตสีเทาไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้าเขตชานชาลา ป้ายชื่อสถานีที่เห็นอยู่ไกลๆย้ำเตือนผมอีกครั้งว่าได้ยินที่พนักงานประกาศไม่ผิด----ผมต้องลงสถานีนี้

“ลงสถานีนี้หรอหลาน” คุณลุงที่เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ตื่นขึ้นมาถามผมที่กำลังจะเตรียมตัวลง


“ครับ คุณลุงล่ะครับ”


“อีกไกลโขเลย”


“โห อย่างนี้คุณลุงก็ต้องนั่งคนเดียวอีกนานเลยสิ ไม่มีผมนั่งด้วย อย่าเพิ่งเหงานะครับคุณลุง”ผมพูดติดตลก คุณลุงกลั้วหัวเราะพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดผม


“นั่นน่ะสิ คงเหงาน่าดู แล้วนี่ต่อไปเราจะขึ้นรถไฟก็มาให้ตรงเวลานะ พ่อหนุ่ม”


“ฮ่าๆ ครับ ไม่เลทแล้ว”ผมตอบกลับก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืน ขบวนรถไฟค่อยๆจอดเทียบชานชาลา


“โชคดีนะ”


“คุณลุงก็เหมือนกันนะครับ”ผมบอกก่อนจะโค้งศีรษะลาแล้วเดินผละลงรถไฟไป




หน้าสถานีรถไฟมีรถแท็กซี่จอดอยู่คันเดียว ดูจากสภาพแล้วอายุรถคันนี้ต้องมากกว่าผมแน่ๆ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ยังไงก็ไฟท์บังคับ โถ่ คุณจะหาแท็กซี่ดีๆได้จากไหนในชนบทกันล่ะ ผมเดินตรงไปยังแท็กซี่คันนั้น ทันทีที่เปิดประตูรถเข้ามาผมก็แทบอยากจะปิดประตูแล้วออกมาทันที นี่มันเศษเหล็กวิ่งได้ชัดๆ จะไปส่งผมถึงที่ได้จริงๆใช่มั้ยเนี่ย แต่จะให้ออกไปทั้งๆที่เข้ามาแล้วก็ดูจะใจร้ายกับคุณลุงที่หันมายิ้มแป้นให้ผมไปหน่อย สุดท้ายผมเลยต้องจำใจยื่นที่อยู่ให้ลุงเขาดู คุณลุงพยักหน้าสองสามทีก่อนจะขับรถออกไป



รถเริ่มขับออกจากเขตเมืองไปเรื่อยๆ สองข้างทางจากที่มีแต่ตึกทรงโบราณกลายเป็นธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร นี่ถ้ามีเก้งกวางโผล่ออกมาสักตัวผมจะไม่แปลกใจเลยนะเนี่ย ก็เล่นชนบทซะขนาดนี้ ป้าผมนี่ก็สรรหาบ้านใหม่ซะจริงๆเลย


Rrrrrr Rrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ขอบคุณสวรรค์ที่แบมแบมคนนี้ไม่บ้าจี้ยัดมันใส่กระเป๋าเดินทาง ไม่งั้นล่ะ ซวย!!



“ฮัลโหลครับป้า”


“แบมแบม ถึงไหนแล้ว นี่ไม่ได้ไปก่อสร้างวีรกรรมที่ไหนอีกใช่มั้ย ทำไมช้าแบบนี้”เสียงของป้ากรอกมาตามสาย ผมต้องรีบยกโทรศัพท์ออกห่าง


“ลุงครับ เราอยู่ตรงไหนแล้วหรอครับ” เอ่ยถามพร้อมกับเลื่อนมือปิดโทรศัพท์ไม่ให้ป้าได้ยินด้วย


“โอ้! ใกล้ถึงแล้วล่ะ”ผมพยักหน้าก่อนจะกลับไปคุยโทรศัพท์ต่อ


“ใกล้ถึงแล้วครับป้า”


“ดีแล้ว ก็คิดว่าเราไปซนที่ไหนอีก นี่ๆ ถ้าเราเห็นบ้านใหม่นะ ป้าว่าเราจะต้องชอบมากแน่ๆ”


“โหหห ขนาดนั้นเลยหรอป้า ป้าโม้อีกแล้วรึเปล่าเนี่ย” ผมตอบขณะที่แท็กซี่ก็หักเลี้ยวขึ้นสะพานหินเก่าๆที่ด้านล่างเป็นคลองสายเล็กๆที่ใสแจ๋วจนมองเห็นปลาที่แหวกว่าย


“มันมีของให้เราพังเยอะน่ะสิ ฮ่าๆ”


“โหย ป้าอะ เห็นผมเป็นจอมทำลายล้างหรอ”ผมโวยวายพร้อมกับตีหน้ายุ่ง ก็จริงนี่ ป้าชอบพูดอย่างนี้ทุกที อย่างกับผมเป็นเด็กห้าขวบชอบทำลายข้าวของงั้นล่ะ



ครืนนนน ครืนนน คึก คึก คึก


จู่ๆรถก็ส่งเสียงแปลกๆระหว่างที่เรากำลังขับขึ้นสะพาน โอ้ ไม่นะ อย่าบอกว่ารถมาพังตอนอยู่กลางสะพานเนี่ยนะ!!!


“รถเป็นอะไรหรอครับ”


“อ อ เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกๆ แปบหนึ่งนะ เดี๋ยวลุงขอลงไปดูก่อน”คุณลุงพูดก่อนจะวิ่งลงไปเปิดกระโปรงรถ ทันทีที่เปิดออก ควันจากเครื่องในมะเร็งกินของมันก็ลอยคลุ้งไปทั่ว จนกลิ่นเหม็นไหม้ลอยเข้ามาในตัวรถ


อื้อหือ ไม่ มี อะ ไร หรอก


“รถเสียหรอแบมแบม” เสียงของป้าดังลอดสายออกมา


“น่าจะอย่างนั้นแหละป้า แต่คงไม่อะไรหรอกมั้ง ป้าครับ เดี๋ยวแค่นี้ก่อน ผมลงไปช่วยคุณลุงเขาดูดีกว่า” ผมบอกตอนที่เห็นว่าท่าทางของคุณลุงที่กำลังง่วนอยู่กับการตรวจสภาพรถดูไม่ดีสักเท่าไร คือก็ไม่ได้มีความรู้อะไรหรอกครับ แต่ลงไปช่วยหน่อยก็ไม่เสียหาย


“มันเป็นอะไรหรอครับคุณลุง”


“ไม่รู้สิ เฮ้อ มาเสียอะไรตอนนี้นะ เดี๋ยวเธอรออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวลุงไปหยิบอุปกรณ์หลังรถแปบนึง”คุณลุงว่าก่อนจะวิ่งไปที่หลังรถ ในขณะที่ผมก็ได้แต่จับสายนู่น ดูสายนี้มั่วไปหมด เกิดมาชาตินี้ยังไม่เคยขับรถเลย ประสาอะไรกับซ่อมรถเล่า นี่ที่ลงมาเพราะอยากจะช่วยแค่นั้นล่ะ เผื่อผมจะมีประโยชน์มั่ง

ผมนั่งดูสายไปเรื่อยๆ หยิบสายที่แทบไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้างดูอย่างไม่รู้ว่ามันเสียหายอะไรบ้าง ก่อนจะเจอเข้ากับสายหนึ่งที่มีลมรั่วออกมา ขยับมันสองสามที พร้อมกับเพ่งว่ามันมีรูอยู่ตรงไหน

“ระวัง!!!”ลุงตะโกนดังมาจากท้ายรถ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมหันไปมองเขา ก่อนจะหันมองตามสายตาของเขาที่มองมาที่ผมด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด แล้วฉับพลันนั้นที่ผมเห็นว่าเขาตกใจอะไรผมก็ถึงกลับผงะ รีบชักมือที่จับเครื่องยนต์อยู่กลับทันที----ไฟ ไฟ ไฟกำลังครอกมือผมอยู่โดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย…


“เธอเป็นอะไรรึเปล่า โอเคมั้ย” ลุงรีบปรี่เข้ามาหาผม ผมมองมือตัวเองด้วยความตกใจ ส่วนหนึ่งเกิดจากไฟครอก แต่ที่ตกใจมากกว่านั้นคือ….มือผมกลับไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีแม้แต่แผลไฟไหม้หรือรอยแดงสักนิดเลยด้วยซ้ำ


“ผ ผ ผ ผม ผม ไม่เป็นไรครับ อ อ เอ่อ ลุง ลุง ลุงซ่อมรถเถอะครับ เดี๋ยว เดี๋ยวผมไปล้างมือก่อน”ผมบอกคุณลุงพร้อมกับซ่อนมือไว้ด้านหลัง รีบเดินออกมาโดยไม่รอให้คุณลุงได้ตอบกลับอะไร ก่อนจะก้มมองมือตัวเองที่ยังคงดูเหมือนปกติทุกอย่าง แทบไม่มีร่องรอยอะไรที่บ่งบอกให้รู้เลยว่าเคยถูกไฟครอก


มัน มัน มันไม่ใช่เรื่องปกติ ไฟครอกขนาดนั้น แต่ทำไมถึงไม่มีแผลเลยล่ะ มันเกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมถึงทนไฟขนาดนั้นได้ แทบไม่มีทางที่คนปกติจะทนได้เลย…


ผมก้มมองมือของตัวเองอย่างทำอะไรไม่ถูก ยิ่งมันปกติมากเท่าไร หัวใจผมก็ยิ่งว้าวุ่นเท่านั้น ไม่มีใครทนไฟได้ขนาดนั้นหรอก แค่ประกายไฟเล็กๆจากไฟแช็คคนปกติยังดับมันด้วยมือเปล่าไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อกี้ เมื่อกี้มัน…มันแทบจะลุกโหมท่วมแขนของผมแล้ว แต่ทำไม ทำไม ทำไมผมถึงได้ไม่รู้สึกตัว กลับกัน…

ลึกๆผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันอย่างน่าประหลาด


“บ้าน่า” พึมพำบอกกับตัวเองเบาๆพร้อมกับบอกไล่ความคิดฟุ้งซ่านไร้สาระแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองค้างไว้ก่อนจะสูดหายใจลึกให้เต็มปอดเพื่อหวังให้หัวสมองปลอดโปร่งเลิกคิดเรื่องบ้าๆนี่สักที

“เราก็แค่คิดมากไปเอง ไม่มีอะไรหรอก” ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่านั่นไม่ใช่ ‘การคิดไปเอง’…

หลังจากนั้นผมก็นั่งรอคุณลุงอีกสักพัก ระหว่างนั้นคุณป้าก็โทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้างก่อนที่รถจะกลับมาใช้ได้ ตอนที่คุณป้าเริ่มโทรมาหาผมเป็นครั้งที่สอง คุณลุงถามผมถึงแผลโดนไฟครอกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่มั่นใจเท่าไร ตาของเขาคอยเหลือบมองมาที่มือของผม ผมแสร้งพันมือด้วยผ้าพันคอที่สวมมาอย่างลวกๆแล้วซ่อนมันอยู่ใต้เสื้อแจ็กแก็ต ตอนแรกลุงยืนยันว่าจะพาไปส่งที่โรงพยาบาลโดยไม่คิดค่ารถ แต่ผมเถียงหัวชนฝาว่าไม่ ถ้าไป ยังไงก็ต้องซวยแน่…

“เอาอย่างนั้นหรอ สรุปจะไม่ไปจริงๆหรอ” คุณลุงสบตาถามผมผ่านกระจกมองหลัง

“ครับ ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่เป็นอะไร”

ลุงพยักหน้ารับแต่ดูจากสีหน้าแล้วดูค่อยไม่เชื่อสักเท่าไร ก็แน่ล่ะ ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่เชื่อ เล่นโดนไฟครอกขนาดนั้น แผลมันต้องไม่ใช่แค่ผองแต่ต้องลุกลามและใหญ่กว่านั้นมากแน่นอน แต่จะให้ผมตอบอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะลุงต้องพาผมไปส่งโรงพยาบาลแน่ แล้วพอถึงตอนนั้นเรื่องมันก็จะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่



ลุงขับรถต่อไปอีกราวๆสิบห้านาที โดยที่ระหว่างทางพวกเราแทบไม่พูดอะไรกันเลย ทั้งรถบรรยากาศเลยเต็มไปด้วยความอึมครึมและอึดอัดเสียจนผมต้องหันไปสนใจด้านนอกแทน ทุ่งข้าวบาเลย์ที่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วกำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม แสงแดดจากพระอาทิตย์สาดส่องตกกระทบจนเกิดเป็นสีเหลืองทองไปทั้งทุ่ง ตัดด้วยต้นแอปเปิ้ลสีเขียวที่ถูกปลูกอยู่ล้อมรอบทุ่งข้าว หมู่บ้านขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เลยถัดออกไปไม่ไกลนัก ป้ายชื่อหมู่บ้านถูกปักไว้อยู่ริมถนน

Welcome to
Buraery Village

ในที่สุดผมก็มาถึง ทันทีที่เห็นผมก็ต้องร้องว้าว เพราะบรรยากาศโดยรอบสวยงามมาก บ้านทุกหลังในหมู่บ้านนี้ทำมาจากหินสีขาวเกือบเทา บางหลังมีกาฝากสีเขียวเลื้อยขึ้นจนทำให้บ้านกลายเป็นบ้านพุ่มไม้ พื้นที่ว่างส่วนใหญ่ปลูกไม้ดอกไว้หลายชนิด ถัดออกไปสองสามหลังมีสะพานหินข้ามแม่น้ำสายเล็กที่ใสแจ๋วมองเห็นปลาตัวน้อยว่ายน้ำอย่างสนุกสนาน ทางเดินเท้าถูกขนาบข้างด้วยหญ้าสีเขียวสด ถ้าไม่มีใครบอกว่านี่คือหมู่บ้านหนึ่งในอังกฤษผมจะต้องคิดว่ามันเป็นเทพนิยายแน่



ผมรีบก้าวลงมาจากรถทันทีที่รับเงินทอนเสร็จ(แน่นอนว่าผมต้องระวังไม่ให้คุณลุงเห็นมือ) ก่อนจะเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ที่นี่เงียบสงบมาก แตกต่างกับบ้านหลังเก่าที่ลอนดอนริบลับ ทุกบ้านมีรถส่วนตัวแค่หลังละไม่กี่คัน และส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยใช้เสียด้วย พวกเขาเลือกใช้จักรยานหรือเดินเท้าเอาเสียมากกว่า สังเกตได้จากจักรยานมักจะถูกจอดเอาไว้ใกล้กับประตูบ้านมากกว่ารถ คงเพราะอยากให้มันสะดวกต่อการเข้าออก

ผมเดินดูบ้านเลขที่เทียบกับที่คุณป้าจดมาให้ไปเรื่อยๆก่อนที่จะหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านหลังเป้าหมาย คำถามแรกที่ผลุดเข้ามาในหัวคือ…คุณป้าจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าผมลืมกระเป๋าเดินทางไว้ โอยย ไม่อยากจะคิด โดนด่าเละแน่เลยเรา ผมหยีตาอย่างหวาดเสียว ก่อนจะตัดสินใจกดออดที่หน้าบ้าน ไม่นานเสียงคุณป้าก็ตะโกนดังออกมาจากบ้านพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินมา ผมสูดหายใจลึกๆเข้าเต็มปอด แล้วฉีกยิ้มกว้างทักทายตอนที่เธอเดินมาเปิดประตูให้


“หวัดดีครับ คุณป้า”ผมยิ้มแฉ่งคุณป้าตัวอ้วนกลมของผม พร้อมกับหันไปทักทายเจ้าแมวตัวอ้วนที่ส่งเสียงร้องพร้อมกับเดินนวยนาดเข้ามาคลอเคลียขาผม


“ไง ออบติน คิดถึงฉันใช่มั้ยยย”

“เลิกเล่นกับแมวเดี๋ยวนี้ นี่ทำไมดูอารมณ์ดีแปลกๆ อย่าบอกนะ ว่าไปก่อเรื่องอะไรอีก” คุณป้าหรี่ตามอง โห นี่รู้ทันตั้งแต่เดินเข้าบ้านมาเลยหรอเนี่ย


“ป ป เปล่า ผมไม่ได้ก่อเรื่องมาสักหน่อย”ผมตอบอ้อมแอ้ม คุณป้ายังคงหรี่ตามองอย่างจับผิดและดูไม่มีทีท่าว่าจะหลงเชื่อผมสักกะนิ๊ดด


“ฉันเชื่อตายล่ะ! เข้าบ้านเลยแล้วเล่าให้ป้าฟังแบบละเอียดเลยด้วย”ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินตัวปลิวเข้าไปในบ้าน เอาวะ ถ้าจะโดนด่า ก็ขอโดนเงียบๆ ไม่เอาหน้าบ้าน มันสาธารณะไป อายข้างบ้านเขา


“เอ๊ะ เดี๋ยวนะ แบมแบม แล้วกระเป๋าเราล่ะ”ผมชะงักทันที สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วหันไปยิ้มแหยๆให้คุณป้า


“แหะๆ คุณป้าอย่าเพิ่งว่าผมนะ พอดีผมลืมไว้ที่สถานีรถไฟ ย๊าๆ อย่าเพิ่งตีผมนะ ผมมีเหตุผลนะ คุณป้า!” ผมรีบยกมือป้องทันทีที่ป้ากำลังจะประทุษร้าย


“เหตุผลอะไร ไหนว่ามาสิ่”


“ก็ ก็ เมื่อเช้าผมต้องรีบไปที่โรงเรียน จัดการเอกสารลาออก เสร็จแล้วผมก็ต้องรีบไปขึ้นรถไฟอีก แล้วมันก็….”


“ก็อะไร ก็ไม่ทันรึไง”


“ทันๆ ทันสิทัน แต่ว่าแบบฉิววววววเฉียดเลย ผมมาถึงรถก็ใกล้จะออกละ ผมก็เลยยย………กระโดดขึ้นรถไฟ! แต่พอจะหันมาเอากระเป๋าอีกที รถไฟก็ขับเลยชานชาลาออกมาละ แหะๆ”ผมเกาแก้มพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ คุณป้านิ่งเงียบไป พนันกับผมมั้ยล่ะว่าภายในสามวิ คุณป้าจะต้องสวดผมยับ…..

1

2

3



“คิดยังไงห๊ะ แบมแบม! ถึงได้บ้ากระโดดขึ้นรถไฟ เกิดตายขึ้นมาจะทำยังไงห๊ะ แล้ววันหลังน่ะ ทำอะไรก็รู้จักเตรียมพร้อม เผื่อเวลาไว้เสียบ้าง รู้อยู่ว่าต้องไปทำเรื่องที่โรงเรียน ก็ควรจะเผื่อเวลา ความจริงมันควรจะเผื่อเป็นวัน ในเมื่อเราก็มีเวลาว่างไปโรงเรียนแทบจะทุกวัน ทำไม๊ ทำไมจะต้องเลือกไปวันนี้ นี่ดีนะที่ขึ้นรถไฟทัน แล้วดีนะที่ไม่เป็นอะไร”นั่นไง….เดาผิดที่ไหนล่ะ



“พลังชีวิตผมเหลือศูนย์แหล่ว ป้าใช้ปืนกลยิงคำบ่นมาซะขนาดนี้”


“เรานี่จริงๆเล้ย”คุณป้าบ่นก่อนจะเดินนำผมไป


เมี๊ยว


เจ้าออบตินร้องเมี๊ยวพร้อมกับเอาหน้าถูขาผม ผมอุ้มมันขึ้นมาก่อนจะถามเสียงเข้ม



“หวังว่าเมี๊ยวในภาษาแมวไม่ได้แปลว่าบ่นนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พลังชีวิตฉันจะติดลบ”




หลังจากนั้นคุณป้าก็ให้ผมขึ้นไปดูห้องนอนของตัวเอง แต่ผมใช้เวลาดูมันแค่สองนาทีเท่านั้นล่ะ เพราะแค่เปิดประตู นั่งบนเตียง กระโดดสองสามที จากนั้นก็ลงมา หันมองไปรอบๆอีกหนึ่งรอบถ้วนแล้วก็กลับมานั่งที่เดิมต่อ ผมก็แทบไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว เพราะไม่มีเสื้อผ้าหรือข้าวของให้จัด

ห้องนี้ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไปสำหรับหนึ่งคน ตรงกลางห้องมีเตียงสีส้มอิฐตั้งอยู่ เยื่องไปทางซ้ายเป็นที่ตั้งของโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่างที่มีดอกยิปโซปักอยู่ในขวดแก้ว และทางขวามือมีห้องน้ำขนาดกะทัดรัดอยู่ตรงนั้น โดยรวมแล้วนับว่าดี เผลอๆอาจจะดีกว่าห้องที่บ้านหลังเก่าด้วยซ้ำ

พอดูห้องเสร็จคุณป้าก็เรียกผมลงมากินข้าวเย็น เราสองคนบวกกับอีกหนึ่งตัวกินข้าวเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นก็ไปนั่งดูทีวีด้วยกันที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งสัญญาณทีวีก็….คมชัดมากทีเดียว คิดว่าผมอยากเล่นทายบุคลปริศนามากรึไง ถึงได้เบลอขนาดนี้น่ะ ซึ่งแน่นอนว่าผมทนดูทีวีความคมชัดระดับ1pixelอยู่ได้สักพัก สุดท้ายก็ทนไม่ไหว ต้องขอตัวขึ้นไปนอนอ่านหนังสือนิยายเล่นดีกว่า



“ผมขึ้นนอนละ ฝันดีนะครับ คุณป้า พรุ่งนี้เช้าเจอกัน”ผมบอกก่อนจะหอมแก้มคุณป้า


“ออบติน ดูแลเจ้านายแกดีๆล่ะ อย่าให้ลงมาหาของกินตอนดึกอีกนะ” คุณป้าพูดติดตลก


“ผมไม่ลงมากินหรอกน่า ฝันดีครับคุณป้า”ผมบอกก่อนจะอุ้มเจ้าแมวขึ้นบ้าน…




---------------------------------------------------------




“ออบตินนนน เราจะอ่านเรื่องไหนกันดี”ชูหนังสืออ่านเล่นสองสามเล่มให้เจ้าแมวดู(อย่าว่าผมบ้าเล้ย มันติดเป็นนิสัยตั้งแต่เด็กๆแล้ว)


เมี๊ยวววว

เจ้าออบตินร้องก่อนจะนั่งทับหนังสือเล่มหนึ่ง



“โอเค๊ งั้นอ่านเรื่องนี้ มา เดี๋ยวฉันจะอ่านให้ฟัง”ผมบอกก่อนจะดึงหนังสือออกมาจากออบติน แล้วกระโจนขึ้นนอนแผ่บนเตียง เปิดอ่านเจ้าหนังสือที่ถูกเลือก ในขณะที่ออบตินก็ค่อยๆเดินมานอนแหมะบนตัวผม



เนื้อหาของหนังสือมีแต่เรื่องที่ทำให้ชวนง่วงนอน นักเขียนบรรยายถึงฉากที่ตัวละครเอกกำลังจะนอนหลับได้อย่างทารุณคนที่กำลังเคลิ้มหลับอย่างผมมาก เตียงนอนนุ่มนิ่ม หมอนขนเป็ดที่ใช้หนุน ผ้าห่มอุ่นๆ เสียงจักจั่นเรไรร้องคลอ หางแมวที่สะบัดคลอเคลียอยู่ที่หน้าไปมาอย่างช้าๆ ยิ่งกล่อมให้ผมง่วงงุน เปลือกตาของผมค่อยๆหนักอึ้ง ความง่วงเริ่มคืบคลานมาอย่างช้าๆ ก่อนที่ผมจะทนความเหนื่อยและง่วงนอนไม่ไหว ค่อยๆผล็อยหลับไปทั้งที่หนังสือยังปิดหน้าและมีเจ้าแมวเหมียวนอนอยู่บนอก

ราตรีสวั
แกร่ก แกร่ก
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง สายตาที่พร่าเบลอเพราะความง่วงกวาดหาต้นเสียง ก่อนจะพบกับเจ้าออบตินที่กำลังเอาอุ้งเท้าตระกรุยประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย



“ออบติน เป็นอะไร จะออกไปไหนอีก นี่มันดึกแล้วนะ”ผมถามเจ้าแมวของผมที่วันนี้มันมีพฤตกรรมผิดปกติ แปลกจากที่เคยเป็น


เหมียว เหมียวว!!!

แกร่ก แกร่ก แกร่ก แกร่ก

ออบตินยิ่งตระกรุยประตูหนักขึ้น ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปประตูได้เป็นลอย แถมสีถลอกแน่ มีหวังป้าด่าผมตาย โทษฐานดูแลแมวไม่ดี


“เฮ้ย หยุดตระกรุยเลย ไปเปิดให้แล้วๆ ออบติน”ผมพูดก่อนจะกระโจนลงไปเปิดประตูให้ออบติน


“จะไป นะ เฮ้!!! ออบติน จะไปไหนน่ะ!!!”ผมร้องเรียกเจ้าแมวที่ตอนนี้วิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว แปลก วันนี้ออบตินแปลก ปกติไม่เคยเป็นอย่างนี้ นี่เหมือนมันเป็นอะไรสักอย่าง บางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ…



ออบตินวิ่งพรวดผ่านห้องกินข้าว ตรงไปยังห้องครัว แล้วตรงเข้าไปในห้องใต้ดินที่ผมมั่นใจว่า ให้ตายยังไงเมื่อตอนกลางวันมันก็ไม่มีห้องนี้ ผมเดินสำรวจมาแล้วทั่วบ้าน แล้วตอนนี้มันกลับมีได้ยังไง!!!



ไม่มีเวลาให้ผมหาคำตอบ ออบตินวิ่งเข้าไปในเตาผิงที่อยู่ในห้องใต้ดิน ไอ้แมวบ้าเอ๊ย ไม่มีที่ดีๆกว่านี้แล้วรึไง ทำไมต้องเตาผิงด้วยเนี่ย!!!



“ออบติน ออกมะ เฮ้ยยยยยยยย !!!”ผมร้องเสียงหลง เมื่อผมคลานเข้าไปในเตาผิงที่พื้นควรจะหนาและทึบ แต่มันกลับกลายเป็นโพรงลึกไร้ก้น ร่างกายผมร่วงหล่นลงสู่หลุมลึกอย่างรวดเร็ว

ผมหลับตาปี๋นึกแน่ว่าตัวเองต้องตายทันทีที่ร่วงหล่นถึงก้นหลุม แต่แสงไฟที่ค่อยๆไล่ความมืดออกไปและการหยุดดิ่งอิสระจากเตาผิงนั้น กลับทำให้ผมสับสน ทำไมไม่ตาย แล้วทำไมมีแสง.....




ความอยากรู้อยากเห็นค่อยๆสั่งให้ผมลืมตาขึ้นช้าๆ ม่านตาค่อยๆปรับเข้ากับแสงอย่างช้าๆ ก่อนที่ผมจะต้องเบิกตาโพล่งทันทีที่เห็นทุกอย่าง ภาพเบื้องหน้าไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวังว่าจะเห็น กลับกันมันกลับแปลกประหลาดและพิลึกพิลั่นเสียยิ่งกว่าที่ใครจะจินตนาการได้

ผืนป่าขนาดใหญ่ ที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ที่บนต้นไม้มีบ้านมากมายถูกสร้างอยู่บนนั้น โดยต้นไม้และต้นถูกเชื่อมโยงกันด้วยสะพานไม้ แผ่ขยาย ต่อยอด กระจายออกไปเป็นวงกว้างจนทำให้ทั้งหมดเปรียบเสมือนบ้านเมืองที่อยู่บนต้นไม้…


น น น นี่มันอะไรกันเนี่ย


ผมกระพริบตาสองสามที พร้อมกับค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ที่นี่มีสีสัน ไม่มีความฝันที่ไหนมีสี และไม่มีความฝันที่ไหนมีสายลมพัดผ่าน หรือแม้กระทั่งเสียงคนที่ดังขึ้นอยู่ใกล้ๆหูอย่างนี้!!



“ในที่สุดก็มาสักทีนะ.....” ผมหันขวับไปหา แสงแดดย้อนแสงจนไม่สามารถบอกได้ว่าเขามีลักษณะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆเขากำลังยิ้มเหมือนดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า และยังเพ้อเจ้อถึงอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ


“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน แบมแบม ผู้พิทักษ์แห่งอัคคี”



กลับบ้าน???

ผู้พิทักษ์แห่งอัคคี…

.


.


.


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ