0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

โรงเรียนคิวปิด

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

1โรงเรียนคิวปิด Empty โรงเรียนคิวปิด Fri Feb 12, 2016 12:27 am

0ctogus

0ctogus
Admin

ผมเกลียดวันวาเลนไทน์...


    เกลียดมากที่สุดในชีวิต เพราะมันทำให้ผมซวย! ซวยทุกปี! ซวยซ้ำซวยซ้อนไม่รู้จะซวยอะไรนักหนา ส่วนไอ้เจ้าสาเหตุเนี่ย ก็เพราะ…



โรงเรียนสุดฟรุ้งฟริ้งของผมดันจัดงานล่าความรักในวันวาเลนไทน์!!!



ฟังดูไร้สาระ แต่ถ้าพวกคุณรู้ว่าโรงเรียนนั้นคือโรงเรียนสอนคิวปิดล่ะ…



    คุณได้ยินไม่ผิดแล้ว โรงเรียนสอนคิวปิดหรือที่พวกเราเรียกสั้นๆว่าโรงเรียนคิวปิด เป็นโรงเรียนที่ถูกก่อตั้งโดยคิวปิด ใช่ ใช่เลย คิวปิด เทพแห่งความรักคนนั้นนั่นแหละ โดยเปิดสอนให้บรรดาเหล่าเทพองค์น้อยๆอย่างพวกเราเป็นคิวปิดนัมเบอร์ทู  ดังนั้นเกมส์ล่าหัวใจ(ชื่อเต็มชื่อว่าอามัวดิคาตูรา)จึงถึงเป็นเกมส์ที่สำคัญมากสำหรับพวกเรา!!!


     เกมส์นี้จะทำการแข่งขันระหว่างแต่ละบ้านในโรงเรียน โดยมีบ้านจะมีทั้งหมดสี่บ้าน


             บ้านหลังแรก พาทีโน่ : รวมพวกเพอร์เฟ็ค ครบทุกคุณสมบัติตั้งแต่หน้าตายันหัวสมอง เลยยาวไปถึงนิสัย


           บ้านหลังที่สอง โอโร่ : รวมพวกเด็กหน้าตาหวาน หน้าสวยอะไรทำนองนั้น แต่นิสัยพวกนี้ไม่ต้องพูดถึง สร้างภาพ!!


          บ้านหลังที่สาม พาทาร์ : ในบรรดาทั้งหมด บ้านนี้แหละที่พอจะคบได้ เป็นพวกหน้าตาดีแต่ไม่ค่อยถือตัว ติดแค่อย่างเดียวคือเป็นพวกขี้เกียจ


          บ้านหลังที่สี่  บรอนเซ่ : นอกจากชื่อที่เพราะแล้วมันก็ไม่มีดีอะไร และใช่แล้ว มันคือบ้านของผมเอง…



           โดยปกติเกมส์นี้บ้านที่ถูกจับมาแข่งขันกัน เด็กในบ้านต้องทำยังไงก็ได้ให้เด็กจากบ้านตรงข้ามหลงรักตัวเองให้ได้ ซึ่งโดยปกติบ้านของผมก็มักจะรั้งท้ายที่สุด -______- และผมก็คงจะไม่เครียดอะไรเลยถ้าบ้านที่มีคนแพ้เยอะที่สุดจะต้องถูกทำโทษโดยการเป็นเบ๊ของบ้านผู้ชนะ (ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรจะซวยเลย) แล้วปีนี้ท่านคิวปิดดันเปลี่ยนกฎกติกาใหม่ ล้มเลิกการแข่งรวมกันทั้งบ้าน แต่ให้มีตัวแทนหนึ่งคนขึ้นทำการแข่งขัน โดยผลของการแข่งขันจะมีผลกับเด็กในบ้านที่เหลือทั้งหมดด้วย!!!


โคตรยุติธรรม…


           และด้วยเพราะเหตุนั้นเอง ผมถึงได้เกลียดวันวาเลนไทน์ขึ้นอีกทวีคูณ


“ปีนี้เราจะโดนบ้านไหนวะ” เสียงเพื่อนของผม คิมยูคยอมหันมาถามขณะที่พวกเรากำลังนั่งรอบาสเซอร์รี่ เทพีผู้คุ้มครองโสเภณี อาจารย์ผู้ดูแลบ้านของพวกเราประกาศข่าวร้ายที่ห้องโถง


“ใบไหนก็ซวยเหมือนกันอะ” ผมเอ่ยตอบก่อนที่เสียงอาจารย์จะดังขึ้น


“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยกันแล้วนะจ๊ะ” เธอถือกระดาษสีทองแดงในมือไว้แน่น พร้อมกับขยับส่ายตัวไปมาอย่างมีความสุขท่ามกลางเด็กๆในบ้านที่นั่งฟังผลอย่างเคร่งเครียด

“และการแข่งขันอามัวดิคาตูราครั้งที่หนึ่งร้อยเก้าสิบห้า บ้านที่เราจะต้องทำการแข่งขันในครั้งนี้ก็คือ” เธอคลี่กระดาษออกมาอ่าน


“ก็คือบ้านหลังที่หนึ่ง! บ้านพาทิโน่จ้า”อาจารย์กวาดสายตามองไปมาอย่างตื่นเต้น ตอนนี้จังหวะหัวใจของพวกเราแทบจะรัวเป็นกลองแล้ว

อะ

ไร

นะ!!!


“ซวยแล้ว” พวกเราทั้งบ้านอวดครวญกันเหมือนโลกจะแตก ครั้งที่แล้วขนาดแข่งกับบ้านพาทาร์ยังแพ้แบบยับเยินเลย แล้วนี่! แล้วนี่! บ้านพาทิโน่ มีหวังซี้แหงแก๋แน่ๆ


“ตื่นเต้นกันอยู่ใช่มั้ยจ๊ะ แต่นี่มันยังไม่ไฮไลท์ของเราเลยนะ เพราะต่อไปเราจะต้องคัดเลือกหาผู้ที่จะเป็นตัวแทนในการแข่งขันครั้งนี้”



               ทุกคนแทบกลั้นหายใจ ปกติการแข่งครั้งนี้ก็เคร่งเครียดอยู่แล้ว นี่ครั้งนี้ดันเลือกตัวแทนไปแค่หนึ่งคนซึ่งจะแบกรับชะตากรรมของทั้งบ้านไว้ แล้วใครบ้างจะอยากรับหน้าที่หนักหนาขนาดนั้นไว้



“อาจารย์จะเสกขนนกวิเศษออกมาถ้ามันไปตกอยู่ที่ใครคนนั้นคือผู้ถูกเลือก” เสียงของเธอยังคงใสแจ๋วไม่รู้สึกอะไร อาจารย์เสกขนนกวิเศษขนาดยาวเท่าฝ่ามือออกมาก่อนที่จะสั่งให้มันเริ่มทำหน้าที่คัดสรร


           เป็นอีกครั้งที่พวกเราลุ้นแทบจะหัวใจวาย ทุกคนประสานมือไว้แน่น ภาวนาให้ไม่ให้มันตกอยู่ที่ตัวเอง แต่ขนนกเจ้ากรรมกลับเล่นตลกลอยต่ำ จนเกือบจะวางนิ่งอยู่บนโต๊ะของใครหลายคนมากมายก่อนที่มันจะลอยตัวสูงขึ้นแล้วเริ่มปลิวว่อนอีกครั้ง


“ขออย่าให้เป็นฉัน อย่าให้เป็นฉัน” ผมหลับตาสวดภาวนาด้วยใจที่ลุ้นระทึกก่อนที่ทั้งห้องจะเริ่มเงียบไป


“…..”


“เห้ย แบมแบม…” เสียงยูคยอมดังขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนะ ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาดูก่อนจะต้องอ้าปากค้างเมื่อสิ่งที่ไม่อยากจะเห็นดันมาวางแหมะอยู่บนโต๊ะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลอยไปที่ไหนอีก


“ผ ผ ผมหรอ” ผมชี้หน้าตัวเอง หวังให้อาจารย์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า ขอโทษทีจ่ะ มีข้อผิดพลาดทางเทคนิค ขนนกของอาจารย์พัง แต่อาจารย์กลับ…


ยืนยิ้ม


“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ คู่แข่งของเธอไม่ได้ช่ำชองเรื่องรักอะไรนักหรอก เขาเป็นแค่” อาจารย์ตบบ่าเบาๆก่อนจะพูดต่อด้วยประโยคที่มีเนื้อหารุนแรงและทารุณจิตใจของผมอย่างถึงที่สุด


“ต้วนอี้เอิน เด็กจากบ้านพาทิโน่เอง”


อะ


ไร


นะ!!!


ต้วนอี้เอิน เด็กจากบ้านพาทิโน่ที่ได้ฉายาว่าเป็นคิวปิดคนต่อไปของโอลิมปัสเนี่ยนะ!!!


โอ๊ยยย ซวยแล้วไอ้แบมเอ๊ย


…………………………




















       การแข่งขันถูกเริ่มขึ้น ทุกบ้านต้องระดมหาความคิดที่จะทำให้คู่แข่งตกหลุมรักเด็กจากบ้านของตนกันอย่างแข็งขัน โดยจะมีอาจารย์ประจำบ้านพักมาคอยช่วยให้คำปรึกษา ซึ่ง เอ่อ ถ้าดูจากอาจารย์ของผมแล้ว ผมคิดว่าพวกเราน่าจะช่วยกันเองได้มากกว่า


“อาจารย์ว่านะ เราควรจะค่อยๆเดินแก้ผ้าเข้าไปหาเขา ค่อยๆถอด ทีละชิ้น ทีละชิ้น จากนั้นก็”


“อาจารย์ครับ! พวกเราอยากได้วิธีที่ทำให้เขารักนะ ไม่ใช่มีอะไรกับเขาอะ” เด็กๆในบ้านโอดครวญ อาจารย์ตีหน้าเศร้า เบ้ปากน้อยๆแล้วหยิบเซ็กส์ทอย ใช่ครับ อ่านถูกแล้ว เซ็กส์ทอยนี่แหละครับขึ้นมาลูบเล่นอย่างหดหู่(แต่ดูไม่น่าสงสารเลยสักนิด)


“ฉันว่านะ นายควรจะเริ่มจากการศึกษานิสัยใจคอเขา ดูว่าเขาชอบอะไร แล้วก็พยายามทำตามที่เขาชอบ” ยูคยอมเสนอ ผมหยิบใบประวัติของตามาร์คนั่นออกมา ก่อนจะลมแทบจับเมื่ออ่านข้อมูลทั้งหมดจบ


ชอบความท้าทาย


เจ้าชู้


อารมณ์ร้อน


อันตราย


เสือผู้หญิง


ชอบคู่ขาที่เจนจัดเรื่องบนเตียง

ชอบคู่ขาที่เจนจัดเรื่องบนเตียง

ชอบคู่ขาที่เจนจัดเรื่องบนเตียง!!!!


“จะรอดหรอวะ!!!” ผมสบถออกมาอย่างปลงตก


“เห้ย อย่าเพิ่งท้อดิ เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าควรจะทำยังไงดี!!” ยูคยอมให้กำลังใจ  เพื่อนๆทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่พวกเราจะเริ่มระดมความคิด รุ่นพี่ช่วยแนะแนวทาง เพื่อนๆพากันคิดแผนพิชิตใจ รุ่นน้องช่วยกันหาประวัติมาร์คเพิ่มขึ้น  ฟังดูเหมือนจะต้องได้อะไรบางอย่าง แต่ในความจริงแล้ว….


จนถึงตีสามนี่ยังไม่ได้อะไรเลย



  เด็กๆในบ้านค่อยๆทยอยขอตัวไปนอนกันจนหมดแล้ว ยูคยอมคนสุดท้ายที่อยู่เป็นเพื่อนผมก็เพิ่งจะขอตัวไปบรรทมเมื่อกี้ ดังนั้นทั้งห้องโถงเลยเหลือแค่ผมคนเดียวเท่านั้น


“เฮ้อ ทำยังไงถึงจะชนะนายได้นะ” ผมมองไปที่รูปเหมือนขนาดเท่าคนจริงของมาร์คที่เด็กในบ้านคนหนึ่งเสกมันขึ้นมาติดที่ผนังห้องเพื่อเป็นอนุสรณ์อะไรไม่รู้ของมัน แต่เห็นแล้วยิ่งเครียด ดูยังไงนี่ก็เทพบุตรชัดๆ จะไปทำให้เขารักได้ยังไง


“จ้องมากๆแล้วจิตตก ขอปิดหน้าแล้วกัน” ว่าก่อนจะคว้าผ้าเช็ดหน้าใครสักคนที่ลืมไว้อยู่ตรงนั้นขึ้นมาปิดหน้าเขาไว้


“ปิดหน้าฉันแบบนี้ ฉันก็หายใจไม่ออกสิ”


กึก!


ผมชะงักค้าง  ภาพที่เห็นแทบทำผมหัวใจวาย เพราะรูปภาพที่เห็นเมื่อกี้ดันกลายเป็นคนจริงๆขึ้นมาแถมกำลังจับมือผมไว้อยู่ด้วย!


“ตกใจอะไรขนาดนั้น แค่มาหาเฉยๆเอง” เสียงทุ้มนั่นดังขึ้นพร้อมกับกลั้วหัวเราะเบาๆ ผมรีบชักมือกลับก่อนจะผละถอยห่างออกจ้องหน้าเขาตรงๆ


“นายเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”


           ตามกฎเด็กจากบ้านอื่นจะไม่มีสิทธิเข้าบ้านที่ไม่ใช่ของตนตามลำพังถ้าไม่มีสมาชิกเด็กบ้านนั้นๆพาเข้ามา และอีกอย่างตอนนี้มันก็เลยเวลาที่เขาอนุญาตให้เข้าออกมานานแล้ว


“นี่นายไม่ได้สังเกตอะไรเลยหรอ เด็กที่มาติดรูปนี้ไม่ใช่เด็กบ้านของนาย แต่เป็นบ้านของฉัน ฉันใช้เขามาติดรูปเวทมนตร์เพื่อดูว่าพวกนายทำอะไรกัน” อี้เอินพูดอย่างอารมณ์ดี สองขายาวเดินไปทรุดนั่งด้วยท่าทางสบายๆที่โซฟา


“นี่นายโกงนี่!? นายเอารูปมาติดไว้อย่างนี้ก็เท่ากับโกงพวกฉัน”


          มาร์คเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มกว้าง


“ความรักเคยยุติธรรมที่ไหนล่ะ  แล้วนี่ยืนนานๆอยากให้ฉันชมหุ่นนายหรอ มานั่งนี่” ไม่ว่าเปล่าเขาดันดึงผมให้ไปนั่งข้างๆเขาด้วย ทว่า…ด้วยความไม่ระวัง ดันทำให้ผมไปล้มตัวนั่งจุ๊มปุกบนตักของซะได้



             เราสองคนเผลอสบตากันอย่างไม่มีใครพูดอะไร ผมได้แต่เบนสายตามองไปทางอื่น พยายามขืนตัวออก แต่เขากลับไม่ยอมปล่อย วาดแขนโอบรอบเอวขังผมเอาไว้


“อย่ามาลามปาม…”


“ชอบจริงๆคนดุๆ” มาร์คมองผมแล้วยิ้มทะเล้น


“ตลก! อยากโดนหรอ!” ผมชูกำปั้นขึ้นขู่ มาร์คหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วสบตาผมตรงๆ


“ความจริงตอนแรกว่าจะมาทักทายเฉยๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”


“หมายความว่าไง!?”


“มาทำให้ตกหลุมรักหน่อยสิ”


                 ผมมองเขาค้าง หัวสมองทบทวนคำพูดของเขาซ้ำๆ ตอนที่เรียนมาก็พอรู้อยู่ว่ากามเทพฝึกหัดแต่ละคนจะมีวิธีที่ตัวเองจะตกหลุมรักคนอื่นไม่เหมือนกัน บางคนแค่จากคำพูด บางคนจากการกระทำ หรือบางคนก็จากการมีความสัมพันธ์ทางกาย….ซึ่งมาร์คอยู่ในกลุ่มนั้น


“นายไม่ได้กำลังหมายถึง     เรื่องนั้นอยู่ใช่มั้ย” ผมถามหยั่งเชิงอย่างไม่มั่นใจนัก


“แล้วถ้าบอกว่าใช่ล่ะ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์


           ผมนั่งนิ่ง เอาจริงๆแล้วเรื่องพวกนี้สำหรับพวกเราถือเป็นเรื่องธรรมชาติ แทบจะยกขึ้นมาพูดคุยเวลาอยู่บนโต๊ะอาหารได้เลยด้วยซ้ำ เพราะว่าเราถูกสอนมาให้เป็น ‘กาม’เทพ เรื่องอย่างว่าก็จัดเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับความรักเหมือนกัน แต่การจะให้มามีอะไรกับมาร์ค กามเทพที่ใครๆต่างหลงรัก ผมมองว่ามัน…


“นายไม่อยากชนะดูบ้างหรอ” ผมนิ่งเงียบ ใครบ้างมันจะไม่อยากชนะ…


“แต่ แต่ แต่ฉันก็ทำไม่เป็น”  


“’ฉันจะนำให้เอง ทุกอย่างมันง่ายจะตายไป เราแค่สมมติว่าเราเป็นแฟนกัน” รอยยิ้มแบดบอยวาดขึ้นที่กลีบปากได้รูปก่อนที่ผมจะเห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้าหล่อเหลาของเขา เมื่อผู้ชายที่คนทั้งโรงเรียน ทั้งสวรรค์อยากทอดกายให้เขากำลัง…จูบผมอยู่ตอนนี้



             ผมได้แต่นั่งนิ่งจ้องหน้าเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก แก้มขึ้นสีแดงเรื่ออย่างน่าอาย มาร์คสบตากับผมด้วยสายตาลึกซึ้งเหมือนอย่างที่คู่แฟนมองกันก่อนจะบดจูบลงมาอย่างนุ่มนวล เรียวปากขยับดูดเม้มอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น สัมผัสร้อนแผ่ซ่านไปทั่วกลีบปาก มือแกร่งประคองใบหน้าของผมให้หันตามองศาอย่างชำนาญ ก่อนจะค่อยๆโน้มกายเข้าหาแล้วจูบปากของผมซ้ำๆ


“นายคงไม่รู้ตัวว่าฉันแอบมองนายมาสักพักแล้ว” เสียงทุ้มกระซิบชิดริมฝีปาก หัวใจของผมเต้นโครมครามอย่างตื่นเต้น


“เด็กบ้านบรอนเซ่ที่สดใสอยู่ตลอดเวลา นายคงไม่รู้ว่าทำให้เด็กบ้านพาทิโน่เกือบทั้งบ้านหลงนายจนไม่อยากไปหาใครอีกแล้ว”


บ้า

บ้าน่า


ผมเนี่ยนะ


“ฉันจะขอเป็นแฟนของนายสักคืนหนึ่งได้ไหม เพราะต่อให้แพ้เกมส์นี้ไป ก็จะได้เอาไปคุยฟุ้งกับคนอื่นได้ว่าหัวใจนายเคยเป็นของฉันแค่ชั่วยามหนึ่ง” ดวงตามีเสน่ห์คู่นั้นสบตากับผมอย่างมีความหมาย พาลเอาให้หัวใจของผมสั่นไหว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเป็นที่สนใจของคนอื่น ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าอยู่ในสายตาของผู้ชายคนนี้มาตลอด


“นายเองก็ไม่ใช่คนเดียวหรอกที่มอง   ฉันเองก็มองนายมานานแล้ว”



             ดวงตาของเราสอดประสาน มาร์คคลี่ยิ้มละมุนที่ต่อให้ปีศาจไร้หัวใจในทาทาร์รัส(นรกขุมที่ลึกที่สุดของกรีก)มาเห็น ก็ยังต้องหวั่นไหว เขาค่อยๆประทับริมฝีปากลงมาอย่างเชื่องช้า เปลือกตาค่อยๆปิดลง แล้วดูดเม้มกลีบปากของผมราวกับเป็นขนมหวาน เรียวลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปากช้าๆ ก่อนจะมอบรสจูบหวานละมุนเหมือนครีมเค้กที่นุ่มลิ้น แล้วตวัดเลียไปมาแลกรสหยาดน้ำใสที่หวานหอมราวกับน้ำเชื่อมจากดอกไม้ในสวนเฮสเพอร์ริเดส(สวนต้องห้ามที่งดงามที่สุดบนสรวงสวรรค์)  



             มือแกร่งค่อยๆดันผมให้นอนราบกับโซฟาอย่างไม่รีบร้อน ยิ่งสัมผัสนั้นอ่อนหวาน ละมุนละม่อม และเต็มไปด้วยความสุภาพมากเท่าไรร่างกายและจิตใจของผมก็ยิ่งหลอมละลายอยู่ในอ้อมกอดของเขามากเท่านั้น



             เสื้อผ้าของพวกเราค่อยๆถูกถอดออกทีละชิ้น ทีละชิ้น ดวงตาของเราสบตากันอีกครั้ง ริมฝีปากร้อนผ่าวจะเลื่อนขึ้นมาจูบไล้คลอเคลียไปทั่วใบหน้า ลากเฉียดระเรี่ยไปตามผิวเนื้อ ปลายจมูกโด่งลากไล้เก็บเกี่ยวกลิ่นหอมแล้วกดหอมฟอดแรงๆ


“เป็นของผมนะ เจ้าหญิง” หัวใจของผมอ่อนยวบยาบลงอีกครั้ง ร่างกายไม่รักดีแทบจะยอมโอนอ่อนให้กับเขาง่ายๆ        


             ชายผู้สูงศักดิ์จากบ้านพาทิโน่ค่อยๆพรมจูบไปทั่วเรือนร่างของผม สัมผัสร้อนผ่าวคลอเคลียอยู่ที่เนินอก ก่อนจะค่อยๆวาบหวามเมื่อลิ้นร้อนฉ่ำหยาดน้ำสีใสแตะสัมผัสเบาๆที่ยอดอกที่ไม่เคยถูกรุกล้ำมาก่อน


“อื้อออ!” เผลอครางเสียงหลงพร้อมหยัดกายขึ้นตามอัตโนมัติ มาร์คยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เพิ่มแรงตวัดเลียชิมมากขึ้นพร้อมกับส่งนิ้วเข้าสะกิดเขี่ยอีกข้างไปด้วยจนร่างกายผมสั่นสะท้าน



แก้ไขล่าสุดโดย 0ctogus เมื่อ Sat Feb 13, 2016 7:59 pm, ทั้งหมด 4 ครั้ง

http://0ctogus.forumth.com

0ctogus

0ctogus
Admin

“อ๊ะ! อ้ะ! อื้มมม!! อย่า อย่าแกล้ง อ๋ะ” หวีดครางด้วยความเสียวอย่างสุดขีด พยายามดันให้ใบหน้าคมออกห่างจากยอดอกสีสดที่เริ่มแข็งชัน



       ร่างสูงยิ่งไม่ยอมปล่อยให้รอดพ้น ลงลิ้นเลียรัวแล้วดูดเม้มซ้ำ สลับไปมาสองข้าง โน้มร่างกายลงมายิ่งบดเบียด อะไรต่อมิอะไรยิ่งเสียดสีกันจนอารมณ์ของพวกเรายิ่งเตลิด



      มือแกร่งของมาร์คค่อยๆลูบไล้ลงต่ำลงเรื่อยๆ กลีบปากที่ปรนเปรอยอดอกค่อยๆผละออกก่อนจะไล่จูบลงมาจนถึงไรขนอ่อน ดวงตาคู่คมสบตากับผมไม่วางตาราวกับต้องการจะกลั่นแกล้ง


“ย ย อย่า มองกันอย่างนั้น” บอกด้วยเสียงหอบกระเส่า ร่างสูงยิ่งสนุก กดจูบลงมาหนักๆจนเสียวไปทั่วท้องน้อย



“ฉันอยากให้นายเห็นทุกอย่าง ตอนที่เราสองคนรักกัน” คำว่ารักถูกเน้นย้ำหนักแน่นให้ความหมายแทรกซึมลงไปในหัวใจ ก่อนที่ฝ่ามือร้อนจะสัมผัสส่วนนั้นของผมอย่างแผ่วเบา โดยตลอดเวลาที่ทำเขาก็สบตากับผมไปด้วย…



          ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆเลือนหายลงต่ำลง มือแกร่งดันให้สองขาของผมตั้งชันและยิ่งแยกออกก่อนที่มันจะต้องสั่นระริกจนแทบเข่าอ่อนเมื่อเรียวลิ้นร้อนตวัดเลียที่ปากทางซ้อนเร้น


“อื้ออ!!!” ผมครางเสียงหลงเผลอยกสะโพกขึ้นอย่างวาบหวาม มาร์คสอดมือเข้ามากดขาผมให้ลงมาก่อนจะตวัดดูดเลียไปทั่วปากทาง ลิ้นร้อนค่อยๆสอดเข้ามาช้าๆ


ตัวผมแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ


ความเสียวซ่านแผ่ซ่านไปทั่ว


ปลายลิ้นร้อนค่อยๆแทรกสอด


ชำแลกวาดลิ้นกวาดเลีย      


ลงลิ้นตวัดทั่วผนัง


ดูดเม้มปากทางหนักๆให้สั่นสะท้าน


               ผมหวีดร้องครางลั่น สะบัดหน้าส่ายไปมาอย่างทรมาน มาร์คค่อยๆเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่มือแกร่งเลื่อนลงไปลูบไล้ส่วนกลางลำตัวของตัวเองแล้วจับมาถูไถรอบปากทาง


“ม ม ไม่  ไม่เข้ามาได้มั้ย”  ผมอ้อนวอนขอ ความใหญ่โตที่เห็นแทบทำผมใจหายวาบเมื่อคิดว่าถ้ามันเข้ามาในร่างล่ะ…


“เชื่อใจฉัน ฉันไม่ทำให้นายเจ็บหรอก” มาร์คเลื่อนหน้ามากระซิบข้างหู กลีบปากได้รูปบรรจงจูบปลอบที่หน้าผากก่อนที่ร่างสูงจะป้ายขี้ผึ้งอะไรบางอย่างที่ซอกคอของผม กลิ่นของมันหอมหวนกระตุ้นให้ยิ่งกระสันซ่าน เรียวขาของผมเผลอแยกออกกว้างโดยไม่รู้ตัว


      มาร์คค่อยๆแทรกสอดตัวเองเข้ามาอย่างเชื่องช้า ไร้การเร่งรัด เอาแต่ใจ และขู่เข็ญ ความจุกเสียดและวาบหวามพุ่งพล่านไปทั่วร่าง  บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกไหนมากกว่ากัน แต่โดยรวมแล้วยิ่งรู้สึกดีเมื่อมันยิ่งเข้ามาลึกขึ้น



“ข้างในของนาย  แน่น แน่นมาก” ถ้อยคำทะลึ่งถูกเอ่ยออกมาจากเด็กบ้านพาทิโน่  ไม่อยากจะปฏิเสธเลยว่ายิ่งเห็นสีหน้าเสียวซ่านของเขาแล้วผมก็ยิ่งอยากปรนเปรอ


“ข ข เข้ามาอีกสิ”


“ซี๊ดดดส์ อย่าแกล้งฉัน” เสียงทุ้มครางเสียวผมเผลอขมิบตอดรัดเขาแน่น ร่างสูงโน้มหน้าลงมามอบรสจูบให้พร้อมกับขยับแก่นกายไปมาอย่างช้าๆ แต่เน้นย้ำทุกรสสัมผัสให้แนบแน่น


       ปลายแก่นกายกระทุ้งช่องทางให้หวาดเสียว มาร์คเพิ่มจังหวะการทำรักให้ลึกและแรงขึ้น สะโพกสอบถอดถอนออกไปก่อนจะดันเข้ามาจนสุดแล้วขยับเข้าออกอยู่อย่างนั้นหลายๆทีโดยเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ


“ซี๊ดดส์ อ๊ะ อ๋า  มาร์ค มาร์ค!” ครางชื่ออีกฝ่ายไม่หยุด เจ้าของชื่อยิ่งบดจูบลงมาดูดดื่ม จังหวะการทำรักถูกเพิ่มให้เร็วและเน้นย้ำขึ้นเรื่อยๆ  แก่นกายรูดไปกับผนังถี่รัวจนเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องไปทั่ว



          กามอารมณ์ยิ่งพุ่งขึ้นสูง มาร์คสอดใส่เร็วขึ้นจนผมครางไม่เป็นภาษาก่อนจะถอนสะโพกออกจนแก่นกายเกือบหลุดแล้วกระแทกกลับเข้าไปจนหมด บดคลึงขยี้ใส่จุดกระสัน ผมหวีดร้องลั่นขมิบตอดรัดเขาถี่ยิบ สองแขนรีบโผกอดเขาแนบแน่น เสียวจนวูบโหวงเหมือนตัวกำลังกระโดดลอยล่องอยู่บนก้อนเมฆ


“ฮึมมม ดี ดี เจ้าหญิง ตอดรัดผมอย่างนั้น ซี๊ดดด!!” เขาเลื่อนหน้าลงมาพรมจูบไปทั่วหน้า สะโพกสอบขยับกระแทกกระทั้นเข้าถี่รัวก่อนจะโถมตัวเข้ามาจนสุด เกร็งกระตุกแล้วฉีดพ่นน้ำรักภายในร่างของผม


“ฮึก! อื้มมม” ปลดปล่อยออกมาเลอะกล้ามท้องของเขาจนหมด ก่อนจะเผลอขมิบตอดรัดรีดน้ำรักของเขาออกมาให้หมดตอนที่เขากำลังจะถอนตัวออก


“อยากต่ออีกสักรอบหรอเจ้าหญิง” เสียงทุ้มเอ่ยแซว ผมรีบก้มหน้าซ่อนหน้าแดง ก่อนจะยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีกเมื่อเขาก้มลงมาหอมแก้มผมแรงๆ


“น่ารัก”



                หัวใจของผมต้นระรัว เผลอเงยหน้าขึ้นมามองเขา ร่างสูงกำลังจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่เขาจะยิ้มให้


“จ้องอย่างนี้ระวังท้อง”


“ไม่ใช่ปลากัด” ผมแหวกลับ มาร์คหัวเราะน้อยๆแล้วบีบจมูกผมเล่นเบาๆ


“อยากท้องเมื่อไรก็บอก เดี๋ยวมาทำให้ท้องอีกได้”


“บ้า…”


            อีกฝ่ายหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเหลือบไปมองนาฬิกาแล้วหันกลับมาหาผม


“ฉันต้องรีบกลับแล้ว อีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลาที่ทุกคนต้องตื่นกันหมดแล้ว”  มือแกร่งค่อยๆใส่เสื้อผ้าให้ผมช้าๆ


“อ อ อื้ม” ผมครางตอบในลำคอ บอกตรงๆเลย การมาจ้องหน้าคนที่เพิ่งมีอะไรกันไปไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


“ใจคอจะไม่รั้ง ไม่บอกลา ไม่พูดอะไรหน่อยหรอ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม


“ก็เดี๋ยวก็ต้องเจอกันตอนเรียนอยู่แล้ว”ผมตอบเสียงเบา ในขณะที่มาร์คกลับหัวเราะ


“ก็จริง ถ้าอย่างนั้นเจอกันตอนเรียน อย่าลืมทักฉันด้วยล่ะ” เขาผละตัวถอยห่างเมื่อติดกระดุมเม็ดสุดท้ายให้ผมเสร็จแล้ว ก่อนที่ร่างสูงจะหยิบเสื้อผ้าตัวเองสวมกลับอย่างลวกๆ แล้วค่อยๆเดินไปที่รูปภาพรูปนั้นอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ได้ดูใจเย็น ผมแทบไม่อยากจะยอมรับเลย…ตอนนี้ใจผมกำลังไม่อยากให้เขาไป


“กลับดีๆ”


“อ้อ! ลืมบอกไป” มาร์คหันกลับมาหาผม


“หืม?”


“ถ้าไม่รบกวนมาก จบเกมส์แล้วจะมาเป็นแฟนกันก็ได้นะ” ทิ้งไว้เท่านั้นแล้วเขาก็รีบเดินหนีกลับเข้าไปในรูปทิ้งให้ผมอยู่กับหน้าแดงๆ หัวใจที่เต้นโครมครามและความเขินอายระดับสิบ เมื่อกี้กามเทพที่ใครๆต่างพากันตกหลุมรักกำลัง  ขอ  ผม เป็น แฟน ใช่มั้ย!


"หูฝาดไปรึเปล่า" ผมนั่งจ้องรูปเหมือนของเขา คนคนนี้เนี่ยนะจะขอเราเป็นแฟน นี่มันเหลือเชื่อชัดๆ

   
      ผมนั่งพึมพำกับตัวเองอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเพิ่งนึกได้ว่าเขาสามารถมองเห็นผมจากทางนั้นได้เลยรีบดึงลงมา


"ถ้าใครถาม ก็บอกเขาแล้วกันว่าเบื่อขี้หน้า ไม่อยากเห็นแหล่ว" ผมแกล้งเบ้ปากใส่ก่อนจะจับรูปหันออกด้านนอกแล้วพาขึ้นไปเก็บบนห้องตัวเอง...


คิดว่าผมจะให้เขาเห็นผมเวลาทำอะไรอยู่ในห้องน่ะหรอ

เปล่าเลย ผมจะจับเขาไปขังอยู่นอกระเบียง ถ้าจะมาหากันเมื่อไรก็อยู่แต่ข้างนอกไปนั่นแหละ!!!


---------------------------


             
            หลังจากวันนั้นการแข่งขันก็ถูกดำเนินต่อไปตามปกติ เด็กบ้านพาท่าร์ยังนั่งตามจีบเด็กบ้านโอโร่ ซึ่งปีนี้ได้ข่าวมาว่าคือจูเนียร์ กามเทพระดับท็อปเท็นของโรงเรียนที่แทบจะตีคู่มากับมาร์คเลยด้วยซ้ำ ต่างกันตรงที่เด็กบ้านโอโร่คนนั้นค่อนไปทางหญิงมากกว่า และพอพูดมาร์คแล้วหลังจากวันนั้น...


หมอนั่นก็ทำตัวประเจิดประเจ้อมาก!!


"อ้าววว สวัสดีตอนเช้า ที่นั่งข้างๆนี่ ขอนั่งด้วยคนได้มั้ย" พูดยังไม่ทันขาดคำ หมอนั่นก็มาอีกแล้ว มาร์คเดินเข้ามาทักพร้อมกับเหลือบตามองที่ว่างข้างๆผมในมือถือจานอาหารของตนมาด้วย โอ้โห ถ้าจะเดินมาขนาดนี้แล้ว มานั่งด้วยเลยก็ได้


"อยากนั่งก็นั่งสิ" ผมพยายามตอบเสียงนิ่งเก๊กหน้าให้เรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากให้เขารู้ว่า....ผมเขิน


      โถ่คุณ การที่เราต้องมาเจอหน้าคนที่เรา เคย เอ่อ อืม ทำอย่างนั้นกันน่ะ! มันเขินนะ แค่หน้ายังไม่กล้าจะมอง จะให้มานั่งข้างๆกันด้วยนี่ยิ่งแล้วใหญ่


"อยากจะเขินก็เขิน เก๊กอย่างนี้มันยิ่งน่าฟัด รู้ตัวป่ะ" นั่นครับ ไม่พูดเปล่า หมอนั่นดันหันมามองหน้าผมกวนๆด้วย โอยยยย


"พูดมาก ไม่อยากกินข้าวดีๆแล้วใช่ป่ะ"


"โหยยยยยยยย โหดอะ อย่าเพิ่งทำอะไรผมเลยนะครับบบ" ยิ่งฟังยิ่งหมั่นไส้ มาร์คแกล้งพูดพร้อมกับทำหน้าอ้อนวอนเกินเหตุ ให้ตายเหอะ หมอนี่ไปฝึกความกวนมาจากไหน แล้วเอ่อ นี่มีคนบอกมั้ยว่ามัน...ชวนให้ใจสั่นมากเนี่ย


"ตลกหรอ กินๆเข้าไปสักทีจะได้ขึ้นไปเรียน"


"ก็ไม่ตลกเท่าไรหรอก แต่แม่เคยสอนไว้ ว่าผู้หญิงอะชอบคนตลก แล้วแบมอะ"


"..."


"เริ่มชอบเรามั่งยัง"

.

.

.

ฉ่า!!!

หน้าผมร้อนฉ่า พูดอะไรต่อไปไม่ถูกอย่างกับเส้นเสียงได้อันตธานหายไปแล้ว มาร์คมองหน้าผมแล้วยิ้มอีก ไม่ยอมให้ผมได้หลบหน้าหนีสายตาอะไรเขาเลย ตอนนี้ก็เลยถูกความทะเล้นของเขาแอคแทคกับหัวใจเต็มๆ ถ้านี่เป็นมวย ตอนนี้ผมก็แพ้แบบTKO แล้วครับ!!!


"คือว่า เรา  เรา เราว่า คือ "


"คือว่า.." มาร์คทวนคำ แถมยังทำหน้าล้อเลียนแกล้งผมให้ยิ่งเขินเข้าไปอีก


"คืออ เห้ย! มาจีบอะไรตรงนี้เนี่ย อายคนเขา!" ผมแสร้งเปลี่ยนเรื่อง ทำตัวเหมือนอยู่ดีๆก็เป็นไบโพลาร์หงุดหงิดขึ้นมา


เคร้ง


"เฮ้ย คือนี่ยังจีบกันอยู่หรอ คิดว่าเป็นแฟนกันแล้วนะ" ยูคยอมที่นั่งเงียบมานานถึงกับวางช้อนซ้อมแล้วหันมาถามพวกผม ทันทีที่จบประโยคนั้นความเงียบก็ยึดครองคำพูดของเราทันที


นี่เราทำตัวติดกันจนคนอื่นเข้าใจว่าเป็นแฟนกันหมดเลยหรอ...


ผมหันไปสบตากับมาร์ค กามเทพผู้ป็อบปูล่าเองก็มองผมอยู่ก่อนแล้ว เราจ้องกันอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนที่เขาจะพูดขึ้นทำลายความเงียบ


"งั้นก็แค่ทำให้มันถูกต้องก็พอ"


"ห๊ะ!?"


"เป็นแฟนกันนะ"

.

.

.

ขอบคุณที่ทั้งโรงอาหารเกิดพร้อมใจกันเงียบขึ้นมา ขอบคุณที่มาร์คดันพูดเสียงดังกว่าที่เป็น และขอบคุณที่ทุกคนหันมามองกันที่ผมเป็นตาเดียว...


      ผมพูดอะไรไม่ถูก ได้แต่ขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็คิดไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรก่อนดี แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าควรจะทำตัวยังไงกับสถาณการณ์นี้ดี



"ลืมเรื่องเกมส์ไปนะ นี่อยากคบด้วยจริงๆ"


       เสียงทั้งโรงอาหารโห่แซวจนผมยิ่งหน้าแดง เผลอเม้มปากแน่น อายจนแทบจะหลุดยิ้มออกมาอยู่ร่อมร่อแต่ก็ต้องทำเป็นนิ่งเอาไว้


"เอาไงๆ ตอบไม่ตอบ นี่ถ้าไม่ตอบเดี๋ยวเขาก็หนีไปคบคนอื่นหร้อก" ยูคยอมแซว


"ก็ลองดูดิ" ผมแกล้งขู่


"ยอมเป็นแล้วใช่ป่ะ" มาร์คถามพร้อมกับยิ้มกว้าง ทั้งโรงอาหารยิ่งแซวหนัก จนผมไม่กล้าตอบอะไร ได้แต่พยักหน้ารับเขาไปอย่างอายๆ แก้มนี่แทบจะแตกแล้ว


"พูดดิ อย่างเงี้ยจะมั่นใจได้ยังไง" นั่น นั่น ยังจะแกล้งผมต่ออีก


"ก็  เอ้อ! ก็ตกลงไง เป็นแฟนกันแล้วอะ  จบป่ะ" ทั้งโรงอาหารโห่ร้องแซวเสียงดัง แสงสีชมพูสว่างวาบรอบตัวพวกเรา ด้ายสีแดงค่อยๆปรากฏขึ้นที่นิ้วก้อยของเรา ก่อนที่มันจะค่อยๆต่อปลายด้ายยาวหาปลายด้ายจากของอีกคน ตัวอักษรกรีกโบราณวิ่งวนรอบด้ายอยู่ตลอดเวลาก่อนที่ปลายทั้งสองจะเข้าบรรจบกัน แสงสว่างสว่างวาบขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะดับวูบไปพร้อมกับรอยสักชื่อของมาร์คในอักษรกรีกโบราณปรากฏอยู่ที่ด้านข้างนิ้วก้อยของผม


"นายเป็นของฉันแล้ว" มาร์คมองแล้วยิ้ม ผมถลึงตากลับ


"นายเองก็เหมือนกันแหละ คบกับฉันห้ามเจ้าชู้ล่ะ ไม่งั้นตายแน่!"



"ครับบ ครับบบ จะไม่เจ้าชู้อีกต่อไปแล้ว"



"เล่นละครเก่งดีนี่" จู่ๆเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมืออย่างช้าๆ ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่คุ้นหน้าเดินเข้ามาในโรงอาหาร สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสมเพชและเย้ยหยัน


"แลคซัส" เหมือนมาร์คจะรู้จักผู้ชายคนนี้ แต่ไม่ใช่ในแบบของเพื่อนกันแน่



"ต้องขอชมเชยเลยนะ ว่านายนี่มันเล่นละครเก่งจริงๆว่ะ ทำให้คนรักได้เร็วกว่าที่นายพนันไว้กับเพื่อนซะอีก"



หมายความว่าไง...


    หัวใจของผมเหมือนโดนสายฟ้าผ่าลงขยี้กลางใจให้วูบโหวง ผมค่อยๆหันไปมองหน้าผู้ชายที่เคยบอกว่าชอบผม มองผมมาตลอดแล้วถามในสิ่งที่ไม่กล้าแม้แต่จะได้ยินคำตอบ


"หมายความว่ายังไง"


"แบม" ยิ่งเสียงและสีหน้าของมาร์คดูไม่ดีใจผมก็ยิ่งสั่น นี่มันเรื่องอะไรกัน


"ไปถามจากมัน มันก็ไม่พูดหรอกว่ามันทำอะไร!!"


"แลคซัส!! แกจะพูดให้มันได้อะไรวะ ตอนนี้ฉันชอบแบม! ฉันคบกับแบม! แค่นั้นมันก็พอแล้วไม่ใช่หรอวะ!!!"


"คบเพราะแค่อยากจะเอาชนะในเกมส์ทั้งๆที่แกไม่ได้รักเขาเลย แค่นั้นน่ะหรอวะที่แกเรียกมันว่าพอ!!!!" เสียงของแลคซัสตวาดลั่นดังไปทั้งโรงอาหาร ถ้อยคำที่เขาพูดกระแทกเข้ามาหัวใจของผมจนมันแหลกลาน ความจริงที่ถูกตอกใส่หน้าอย่างจัง ทำให้ผมตัวชาไปทั้งร่าง


"แบมแบม ฉันอธิบายได้ ฉันไม่ได้"


"นายทำจริงรึเปล่า" ผมถามแทรก รู้ดีว่าหนึ่งในพันธะของรอยสักครองคู่คือการห้ามโกหก เพราะถ้าเมื่อไรที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำ อีกฝ่ายจะรู้สึกได้ทันที


     ผมจ้องตาเขานิ่ง ใจภาวนาให้เขาสบตากลับ แล้วพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่าไม่ได้ทำ แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลาย เพราะว่าในความเป็นจริงนั้น...


เขากลับหลบสายตา แล้วพยักหน้ารับอย่างช้าๆ


       
     ไม่มีถ้อยคำด่าทอออกมาจากปากผม ไม่มีคำพูดคร่ำครวญให้ใครสงสาร ผมแค่มองเขานิ่ง น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะไหลค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาก่อนที่ผมจะพูดในสิ่งที่คิดทั้งหมดออกไป



"เรามันโคตรโง่เลย!" พูดได้เท่านั้นก่อนที่ผมจะรีบเดินหนีออกมา เสียงของมาร์คตะโกนดังไล่หลัง แต่ผมไม่คิดจะหันกลับไป ผมเดิน ผมเดินเร็วขึ้น ผมวิ่ง ผมวิ่งเร็วขึ้น ผมสยายปีก กางปีกออก แล้วบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ตรงไปหลบยังที่ที่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวผม...


----------------------


           ผมบินมาซ่อนตัวอยู่ที่ยอดหอคอยร้างของโรงเรียน นั่งกอดเข่าเงียบๆอยู่ในมุมมืด ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไม่สนว่ามันจะยิ่งตอกย้ำความโง่ ความน่าสมเพชของผมมากแค่ไหน ผมคิดแค่ตอนนี้ผมอยากร้องไห้ ผมอยากร้องออกมาให้หมด


"ฮึก" เสียงสะอื้นดังขึ้นเบาๆ ผมกอดเข่าตัวเองแน่นแล้วก้มหน้าซุก ผมมันโง่เอง ผมมันโง่เอง โง่เชื่อคำว่ารักของเขาง่ายๆ ไว้ใจเขาจนไม่เหลือพื้นที่ให้ความสงสัย ละเลยความเป็นจริงทุกๆอย่างว่าคนอย่างเขา คนอย่างต้วนอี้เอินไม่มีทางมาสนใจคนอย่างผมได้หรอกแล้วดันไปหลงเชื่อการเล่นละครของเขา


"นายทำได้ยังไง นายทำได้ยังไง" ผมถามซ้ำๆทั้งๆที่รู้ว่าจะไม่ได้คำตอบ แต่หัวใจก็ยังอยากรู้ว่าเขาทำได้ยังไง หลอกใช้ความรู้สึกของผมเพื่อมาเล่นงาน แล้วลงท้ายด้วยการบอกว่า 'ฉันอธิบายได้' อย่างนี้น่ะหรอ


      อธิบายอะไร จะอธิบายอะไรล่ะ จะบอกว่าตอนแรกไม่ได้คิดจริงจังด้วย แต่ตอนนี้คิดแล้ว อย่างนี้น่ะหรอ???


"บ้าเอ๊ย!"  ผมสบถออกมาดังๆปนเสียงสะอื้น ทั้งโกรธทั้งเสียใจที่ถูกหักหลังอย่างนี้ ถามกับตัวเองซ้ำๆว่าทำไมเราต้องมาเจออะไรอย่างนี้ด้วย ทำไมเราต้องเป็นตัวตลกของเขา ทำไมเราต้องถูกคนทั้งโรงเรียนหัวเราะด้วย



      เสียงระฆังแจ้งเตือนดังขึ้นสามครั้งเป็นสัญญาณว่ากำลังจะประกาศผู้ชนะในเกมส์อามัวดิคาตูราครั้งที่หนึ่งร้อยเก้าสิบห้า ผมรีบยกมือขึ้นปิดหู รู้ดีอยู่แล้วว่าผลมันออกมาเป็นยังไง


"และแล้วเราก็ได้ผู้ที่ชนะเกมส์ครั้งที่หนึ่งร้อยเก้าสิบห้ากันแล้ว นับว่าเป็นสถิติใหม่เลยก็ว่าได้ที่มีผู้เข้าแข่งขันทำให้คู่ต่อสู้รักได้ภายในเวลาอันสั้นที่สุดอย่างนี้" ผมยิ่งปิดหู ยิ่งท่านคิวปิสประกาศอย่างมีความสุขเท่าไรผมก็ยิ่งเจ็บเท่านั้น


"ซึ่งผู้ที่ชนะการแข่งขันครั้งนี้ก็คือ"  ผมยิ่งปิดหูไว้แน่น


"แบมแบม จากบ้านบรอนเซ่ของเรานั่นเองงง"


ผมชงัก...

ลดมือที่ปิดหูอย่างไม่รู้ตัว แล้วตั้งใจฟังเสียงประกาศอีกครั้ง



"เป็นครั้งแรกเลยที่เด็กจากบ้านบรอนเซ่ชนะ และเป็นชัยชนะที่่ยิ่งใหญ่ เพราะเขาสามารถทำให้ต้วนอี้เอิน จากบ้านพาทิโน่สามารถรักได้ และตอนนี้ก็โอกาสดีที่เราจะมาฟังความในใจของอี้เอินกัน" ผมขมวดคิ้ว ปกติตอนประกาศเขาจะถามคนชนะนี่


"สวัสดีครับ  ผมต้วนอี้เอิน" เสียงของมาร์คดังขึ้นก่อนที่เขาจะเงียบไปชั่วอึดใจแล้วจึงพูดต่อ


"ผมคือคนที่แพ้ในการแข่งอามัวดิคาตูราระหว่างบ้านพาทิโน่กับบ้านบรอนเซ่"


"...."


"จริงๆแล้วผมมีเรื่องที่อยากจะบอกทุกคน ผมไม่หวังให้ใครเข้าใจในการกระทำของผม แต่ผมแค่อยากจะพูดทุกความรู้สึกของผมออกมา ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มันคือความจริง ความจริงที่ผมไม่เคยกล้าพูดกับใคร" ที่ด้านล่างของสนามนักเรียนต่างพากันกรูลงมาเพื่อรับฝังระกาศให้ชัดเจน เพราะสำหรับพวกเราเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก



"จริงๆแล้ว ผมโกงในการแข่งครั้งนี้ เพราะคนที่เป็นตัวแทนในการแข่งต้องไม่ใช่ผม" เกิดเสียงฮือฮาขึ้น ผมหันกลับไปมองห้องพักอาจารย์ใหญ่ ที่ที่ใช้เป็นที่กระจายเสียงในครั้งนี้ด้วยความตกตะลึง


นี่มันเรื่องอะไรกัน


"ผมขอเสนอตัวขึ้นแข่งเอง เพราะรู้มาว่าบ้านบรอนเซ่คัดเลือกแบมแบมขึ้นมาเป็นตัวแทนของบ้าน จะว่าผมโกงก็ได้ แต่ผมคงทนไม่ได้ที่จะเห็นคนที่ตัวเองแอบชอบมาตลอดหลายปีไปรักหรือไปจีบคนอื่น ผมทนไม่ได้แน่ๆ"  ผมนั่งนิ่ง ความในใจของมาร์คจู่โจมความรู้สึกของผมให้หยุดชะงัก จนน้ำตาที่ไหลอยู่เมื่อครู่ค่อยๆหยุดไหลลงมาช้าๆ


"ผมไม่เคยบอกสาเหตุที่แท้จริงกับใคร ผมอ้างกับบ้านพาทิโน่ว่า เพราะผมอยากเอาชนะ..."



"บอกกับทุกคนว่าจะเล่นละครให้แบมแบมเข้าใจว่ารัก ทำยังไงก็ได้ให้เขายอมคบด้วยเพื่อที่จะได้ชัยชนะ" ด้านล่างพากันส่งเสียงโห่ไม่เห็นด้วย



"ผมรู้ ผมรู้ว่าทุกคนคิดว่ามันเป็นการกระทำที่ต่ำทรามมาก ผมไม่เถียงว่าสิ่งที่ผมทำมันเลวร้ายแค่ไหน แต่ผม ผม ผมอยากให้ทุกคนมองในมุมของผมบ้าง..."



"มันจะมีเด็กบ้านพาทิโน่สักกี่คนหรอครับที่เข้าใจในความรู้สึกของผม แล้วมันจะมีสักกี่คนหรอครับที่ยอมรับในตัวแบมแบม" เกิดความเงียบขึ้นทันทีหลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นจบ เป็นที่รู้กันดีว่าเด็กบ้านบรอนเซ่ไม่เป็นที่ยอมรับในโรงเรียน ทุกคนมักจะมองว่าพวกเราเป็นแค่กามเทพฝึกหัดชั้นต่ำ


"ผมคงทนไม่ได้ที่จะเห็นเพื่อนหรือพี่น้องในบ้านตัวเองเหยียดหยามคนที่ผมรัก ผมเลยกุเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นมา โดยที่ลืมคิดไปว่าคนที่จะเสียใจกับเรื่องนี้มากที่สุด คือแบมแบม" มาร์คเงียบไปชั่วอึดใจ เกิดเสียงขยับไมค์ดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เสียงของเขาจะดังขึ้นอีกครั้งในระดับเสียงที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม


"แบมแบม"



"ฉันรู้ว่านายคงกำลังฟังอยู่ที่ไหนสักแห่งในโรงเรียน  ฉันไม่ขอให้นายเข้าใจฉันทั้งหมด แต่ฉันขอแค่อย่างเดียว ขอให้นายเชื่อสิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้"



"ฉันรักนายนะ" รอยสักของผมไม่ได้ร้อนวาบขึ้นมา นั่นหมายความว่าเขากำลังพูดความจริง...



มาร์คกำลังบอกรักผมให้คนทั้งโรงเรียนฟัง




"เอายังไงล่ะ คราวนี้จะยอมยกโทษให้เขาได้รึเปล่า" ผมหันขวับไปตามเสียง คนที่ไม่คิดว่าจะปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้กำลังสยายปีกกระพือเบาๆอยู่ด้านนอกหอคอย คิวปิดอาจารย์ใหญ่ของพวกเรากำลังมองมาที่ผม


"ท ท ท่าน"


"การที่คนคนหนึ่งจะยอมออกมายอมรับเรื่องทั้งหมดที่ตัวเองทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะว่ามั้ย" คิวปิดถามผมด้วยรอยยิ้ม


"...."


"เมื่อก่อนเขาอาจจะตัดสินใจผิดพลาดในบางเรื่อง แต่การที่เขากล้าเดินเข้ามาหาฉันเองแล้วพูดว่าเขาอยากจะประกาศให้คนทั้งโรงเรียนรู้ว่าเขาทำอะไรลงไป และรู้ว่าเขากำลังรักใครอยู่ โดยที่ไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไงแล้ว ฉันว่ามันน่านับถืออยู่นะ"


"....."


"แล้วนายล่ะ จะเปิดใจยอมรับคำว่ารักของเขามั้ย"




             ผมนิ่งเงียบไป  ความรู้สึกโกรธและเสียใจที่มีพังทลายลงไปเกือบครึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลือจนไม่มีให้ขีดข่วนในใจ ผมยังคงรู้สึกอยู่ แต่ความผิดหวังนั้นถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบของความกังวล


แล้วถ้าเราคบกันจริงๆ ทุกคนจะเข้าใจหรอ


"จงฟังเสียงหัวใจตัวเอง เสียงของคนรอบกายก็เป็นเพียงแค่สายลม ที่วันหนึ่งก็พัดผ่านเข้ามา แล้ววันหนึ่งก็พัดผ่านไป" คิวปิดพูดแทรกขึ้น ผมสบตากับอาจารย์ใหญ่แวบหนึ่งก่อนจะหลุบตาลงต่ำมองรอยสักที่นิ้วก้อยของตัวเอง



เคยมีคนพูดไว้ว่า หากความรักของเรากลายเป็นเรื่องผิดแผกของผู้อื่น ให้จงเลือกคนรักของเรา เพราะผู้อื่นไม่ได้ใช้หัวใจร่วมกับเราด้วย




"ผมยอมรับความรักของเขา" ผมหันกลับไปพูดกับคิวปิด อาจารย์ใหญ่คลี่ยิ้มหวานละมุน



"เจ้าคิดถูกแล้ว" เทพเจ้าเอ่ยก่อนที่จู่ๆหอคอยที่เก่าทรุดโทรมมานานจะถูกเนรมิตขึ้นใหม่อย่างดงามและวิจิตร ทองคำแท้และเพชรพลอยถูกประดับประดาไว้อย่างงดงาม ร่างของกามเทพฝึกหัดของใครสักคนกำลังสยายปีกบินอยู่เบื้องหลังคิวปิด


"ข้าทำตามที่เจ้าขอร้องแล้ว อี้เอิน แล้วอย่าลืมคำสัญญาที่เจ้าให้ไว้กับข้าด้วยล่ะ" คิวปิดบอกเพียงเท่านั้นก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้ผมเห็นมาร์คที่อยู่ด้านหลัง ผู้ชายคนนั้นค่อยๆบินเข้ามาหาผมแล้วหยุดลงตรงหน้า



"เราจะกลับมาคบกันอีกได้มั้ย" เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนัก ผมเหลือบตามองลงไปด้านล่าง ทุกคำพูดและการกระทำของพวกเรากำลังอยู่ในสายตาเหล่ากามเทพฝึกหัดเป็นพันๆคู่ ผมกำมือแน่น ไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าควรตอบว่ายังไง แต่พอหันกลับไปมองท่านคิวปิด อาจารย์ใหญ่ของเราก็กำลังทำท่าบอกให้ผมสู้ๆพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างมาให้



          ขนาดกามเทพยังเป็นใจ แล้วทำไมผมยังจะต้องสนใจคนอื่นอยู่อีก




"แล้วเราเคยเลิกกันหรอ" ผมย้อนถามพร้อมกับยิ้มกวน มาร์คฉีกยิ้มกว้าง คว้าตัวผมเข้าไปกอดแน่น


"ขอบคุณนะ"


"อื้อ!!" ริมฝีปากถูกอีกคนดึงเข้าไปจูบ กลีบปากบดเบียดลงมาอย่างหนักแน่นและแนบชิด แต่ไร้การลุกล้ำ เขาจูบผมเนิ่นนานอยู่อย่างนั้นจนเสียงของเหล่ากามเทพเบื้องล่างเริ่มส่งเสียงแซว ถึงตอนนั้นผมถึงได้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ากำลังถูกทุกสายตาจับจ้องอยู่


"พอได้แล่ว!" ผมบ่นกระปอดกระแปดไปตามประสาก่อนจะผลักเขาออกเบาๆ


"ฉันรักนายจริงๆนะ" เสียงที่ดังเกินกว่าเหตุทำให้คนข้างล่างยิ่งโห่แซว


"รู้แล่ว!"


"อยากฟังอีกที นายรักฉันมั้ย" ใครสั่งใครสอนให้มาถามคำถามแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น ใครสั่งใครสอนให้มามองหน้าออดอ้อนกันขนาดนี้ ใครสั่งใครสอนให้ทำหัวใจคนอื่นเต้นโครมครามขนาดนี้!!



"เออรัก! รักมากด้วย เลิกถามได้แล้ว!" ผมตะโกนบอกเสียงดังเกินความจำเป็น พยายามหลบตาเขา แต่ก็ดันไปป๊ะเข้ากับสายตาคนนับพันที่กำลังมองล้อเลียนพวกเราจากด้านล่างอยู่ โอย ทางไหนก็เขินอยู่ดี!



"แล้วบทลงโทษของคนแพ้ นายจะให้ฉันทำอะไรดี" มาร์คยังคงถามผมไม่หยุด บางทีผมก็เบื่อตานี่ตรงที่ชอบถามอะไรไม่ดูเวล่ำเวลานี่ล่ะ


"ทำได้ทุกอย่างเลยใช่ปะ"


"อือฮึ" ร่างสูงพยักหน้า ผมยิ้มเจ้าเล่ห์


"งั้นก็ต้องคบกันไปตลอดชีวิต" มาร์คหัวเราะด้วยท่าทางอารมณ์ดีแล้วจึงเอ่ยตอบ


"สาบานกับแม่น้ำสติกซ์เลยครับ ว่าผมจะไม่มีวันทิ้งคุณเจ้าหญิงไปหาใคร" เขาคว้ามือผมไปจูบยังบริเวณที่เป็นรอยสักชื่อเขา ก่อนที่เสียงคนข้างล่างจะโห่ร้องร่วมยินดี บรรยากาศทั้งโรงเรียนอบอวลไปด้วยฝนกลีบกุหลาบที่ปลิวไสวไปทั่ว สายลมอ่อนๆหอบเอากลิ่นหอมให้คละคลุ้ง กลิ่นไอแห่งความรักแทรกซึมลงไปในทุกพื้นที่ ป้ายประกาศผลการแข่งขันถูกเสกขึ้นประดับประดาไปทั่วโรงเรียน สัญลักษณ์คันศรและธนูของพาทิโน่ เคียงคู่กับดอกกุหลาบสีแดงฉานสัญลักษณ์ของบรอนเซ่   สองบ้านที่ใครๆก็ต่างคิดว่าไม่มีวันเข้ากันได้แน่ แต่พวกเราก็ได้ทำลายความเชื่อนั่นไปหมดแล้ว เพราะความรักเป็นเรื่องของหัวใจ ไม่ใช่เรื่องของสมองที่จะประเมินว่าคู่ควรหรือเหมาะสม และสำหรับวันวาเลนไทน์ปีนี้


สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับ


ขอความรักจงสถิตกับทุกคนที่เชื่อในรัก



"อ้อ นี่ แล้วสรุปนายสัญญาอะไรไว้กับคิวปิดหรอ" ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ มาร์คหันมายิ้มให้แล้วกระซิบตอบข้างๆหู










"สัญญาว่าจะดูแลนายตลอดไป"

http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ