เสียงแหบแห้งของฟอร์ซิสยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของอี้เอินและแจบอม ทั้งคู่จับจ้องเทพเจ้าแห่งภยันตรายนิ่ง ดวงตาฉายแววตะลึงพรึงเพริด สมองกำลังแปลความถ้อยคำที่ได้ยินมาอีกครั้งอย่างไม่มั่นใจนัก
“ท่านพูดว่าอะไรนะ” บุตรแห่งฮาเดสถามย้ำอีกครั้ง เทพเจ้าแย้มยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ตั๋วสามใบแลกกับหนึ่งชีวิต คราวนี้จะแลกกับชีวิตใครดี” เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มคลุ้มคลั่ง นิ้วหงิกงอถูกชูขึ้นสามนิ้วประกอบคำพูด อี้เอินขบกรามแน่น นัยน์ตาคมกล้าจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาพร้อมกับขบคิดไปด้วย
หนึ่งชีวิตสำหรับตั๋วสามใบ
จะชีวิตใครก็ได้อย่างนั้นน่ะหรอ…
ชีวิตของใครก็ได้…
“สาบานกับแม่น้ำสติ๊กส์ว่าท่านจะไม่ผิดคำพูด” อี้เอินเปิดฉากบทสนทนาหลังจากที่ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ แจบอมตวัดสายตามามองอย่างไม่พอใจ การให้สาบานนั่นคือการตอบรับเงื่อนไขบ้าๆนี้แล้ว
“แน่นอน ข้าฟอร์ซิส ขอสาบานกับแม่น้ำสติกส์ว่าข้าจะยอมให้อี้เอินแจบอม หรือแบมแบมอยู่ที่พำนักของข้าอย่างถาวร หากพวกเขายอมสละหนึ่งชีวิตมาให้ข้า” เกิดแสงสว่างวาบขึ้น อี้เอินยกยิ้มร้ายก่อนจะเอ่ยประโยคที่แจบอมไม่คาดคิดว่าเพื่อนของเขาจะโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะเลือกหนึ่งชีวิตให้ท่าน” สิ้นเสียงนั้น ฝ่ามือแกร่งก็กระชากร่างแบมแบมออกมาจากอ้อมกอดอันปลอดภัยของแจบอมแล้วผลักให้ไปหาอ้อมกอดมัจจุราชของฟอร์ซิส เทพเจ้าแห่งภยันตรายเงื้ออาวุธหน้าตาประหลาดแต่ทรงไปด้วยภารานุภาพขึ้นเตรียมปลิดชีพ
แจบอมคำรามลั่นจนเกิดเป็นระลอกคลื่นแปรปรวน เจ้าชายแห่งท้องทะเลว่ายพุ่งเข้าไปหมายจะช่วย
“ไม่ใช่กงการอะไรของนาย” อี้เอินตวาด เรียกดาบคู่กายออกมาตวัดฉับใส่เพื่อนสนิท แจบอมหวีดร้องลั่นสั่นสะท้านไปทั้งมหาสมุทร เลือดสีสดย้อมน้ำทะเลเป็นสีแดงฉาน ความเจ็บปวดปลดเปลื้องทุกมิตรภาพให้กลายเป็นสิ่งไร้ค่า แจบอมว่ายพุ่งเข้าหาหมายจะสังหารให้สาแก่ใจ ทว่าวินาทีที่จะเข้าฟาดฟัน อิคอร์(เลือดของผู้เป็นอมตะ)สีทองประหลาดก็ไหลแทรกซึมปะปนไปกับเลือดสีแดงสด
เจ้าชายแห่งท้องทะเลเบี่ยงเบนความสนใจ หันกลับไปมองยังเบื้องหลัง ความตกใจตะลึงพรึงเพริดเข้าจู่โจมความรู้สึก ณ ที่ตรงนั้นที่ควรจะเป็นจุดจบของร่างเล็กผู้น่าสงสารที่ถูกเพื่อนของเขาหยิบยื่นความตายให้อย่างไม่ใยดี กลับกลายเป็นที่ตายของฟอร์ซิส เทพแห่งภยันตรายใต้ท้องทะเลแทน
ร่างของเทพเจ้าค่อยๆล้มลง อิคอร์สีทองทะลักล้นอาบสีแดงฉานให้กลายเป็นสีทองอร่าม ที่ลำคอมีแผลฉกรรจ์จากการถูกฟันอย่างแรงส่งผลให้ศีรษะของเทพเจ้าที่ยังคงมีรอยยิ้มแทบหลุดออกจากคอ
“นี่นาย” แจบอมหันกลับมาถามเพื่อนด้วยความสับสน อี้เอินสบตาด้วยสายตาเย็นชา
“มันคงจะขาดทั้งหัวถ้านายไม่เข้ามาขวางฉัน” เอ่ยตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหาร่างของแบมแบมที่ยังคงสลบอยู่
“ฉ ฉ ฉันคิดว่า ฉันคิดว่านายจะ”
“ฆ่าเด็กคนนี้น่ะหรอ” ร่างสูงพูดแทรกขึ้นพร้อมกับจับร่างเล็กให้ยืนตั้งตรง
“นายมีแนวโน้มที่จะทำ”
อี้เอินกรอกตาไปมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะลุดหน้าเดินนำเข้าไปในพิพิธภัณฑ์งี่เง่าที่เปิดประตูเชื้อเชิญรอให้เข้าไป
“รีบตามมาซะ ฉันไม่คิดว่าเขาจะใช้เวลากลับมาจากทาทาร์รัสนานนักหรอก ***” ร่างสูงใช้ปลายดาบชี้ไปที่ร่างของฟอร์ซิสก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน ทิ้งให้แจบอมเดินตามมาทีหลังด้วยความรู้สึกที่ยังคงสับสนกับการกระทำของเพื่อนตัวเอง
(***โดยทั่วไปตามความเชื่อของกรีก มักเชื่อว่าวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่อมตะ หากถูกฆ่า วิญญาณจะกลับลงไปรวมร่างที่ทาทาร์รัสแล้วกลับขึ้นมาบนโลกมนุษย์ใหม่อีกครั้ง)
ภายในพิพิธภัณฑ์โอ่โถงและกว้างขวางกว่าที่เห็นจากภายนอก ทั้งผนังกรุกระจกให้สามารถมองเห็นท้องทะเลด้านนอกได้ทั้งสามร้อยหกสิบองศา แต่นอกจากความมืดมิดแล้วก็แทบจะไม่เห็นอะไรอีกเลย ดังนั้นจุดสนใจทั้งหมดทั้งมวลจึงมาอยู่ที่บรรดาเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายที่ถูกจัดแสดงอยู่ในตู้โชว์ซึ่งพวกมันทุกตัวก็รักษาความน่าเกลียดน่ากลัวเอาไว้ได้อย่างเต็มเปรี่ยมจนแทบไม่มีตัวใดดูดีไปกว่ากันเลย
“แล้วจะเอายังไงต่อ” แจบอมเอ่ยถามขึ้น อี้เอินยักไหล่เล็กน้อยอย่างไร้อารมณ์
“ก็คงอยู่ที่นี่สักพัก”
อี้เอินกวาดตามองไปรอบๆ ทั่วทั้งโถงนี้แทบไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาได้ใช้พักผ่อนกันเลย เขามองไปเรื่อยๆก่อนที่จะสะดุดตาเข้ากับป้ายสัญลักษณ์ห้ามเข้าและข้อความที่เขียนไว้อยู่เหนือประตูว่า STAFF ONLY สองขายาวเดินลิ่วตรงไปที่นั่นอย่างไม่มีทีท่าจะสนใจบรรดาสัตว์ประหลาดที่สนอกสนใจเขามากเป็นพิเศษหรือแม้กระทั่งจะชะลอรอเพื่อนตัวเองที่ก้าวขาฉับๆตามมาอย่างรีบร้อน ร่างสูงแค่พุ่งตรงไปที่นั่นแล้วเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล
สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาอยู่นั้นไม่ใช่ห้องอย่างที่คิดไว้ ทว่ามันกลับเป็นลิฟท์แก้วที่สามารถมองออกไปได้รอบทิศ ซึ่งแถมออฟชั่นพิเศษในการทำงานเองอีกด้วย! เพราะยังไม่ทันที่พวกเขาจะกดหมายเลขชั้นใดๆ ลิฟท์แก้วมหาภัยก็ดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วราวกับลิฟท์ตกอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มันบ้าอะไรวะ!!!” แจบอมสบถอย่างฉุนเฉียว อี้เอินพยายามหาที่ยึดไว้โดยต้องคอยจับร่างของแบมแบมเอาไว้ด้วย
ลิฟท์ดิ่งลงไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะช้าลง ผนวกกับสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เป็นการยากที่จะบอกว่าพวกเขากำลังลงไปที่ไหนกัน เพราะนอกจากตัวเลขที่ลดลงอย่างรวดเร็วราวกับนับถอยหลังวินาทีแห่งความตายบนลิฟท์แล้วพวกเขาก็มองอะไรไม่ชัดอีกเลย
-178
-179
-180
-181
พรึบ!!!
ลิฟท์หยุดกึกอย่างรุนแรง ร่างกายของพวกเขาแทบจะถูกขย้ำรวมกันเป็นก้อนเดียว ประตูเปิดอ้าออกอย่างอัติโนมัติ พวกเขาค่อยๆลุกออกมาอย่างทุลักทุเล
“แย่ยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว” แจบอมพูดขึ้นก่อนจะเหลือบมองหาเพื่อนสนิท ทว่านอกจากอี้เอินยังไม่สนใจแล้ว เขายังหันไปมองอย่างอื่นมากกว่าด้วยซ้ำ
ลิฟท์มหาภัยตัวนั้นพาพวกเขามายังห้องโถงขนาดใหญ่ที่กรุด้วยกระจก หากแต่ท้องทะเลที่ล้อมกรอบเป็นวิวทิวทัศน์อยู่ด้านนอกกลับไม่ได้มืดมนเหมือนอย่างพิพิธภัณธ์ด้านบน แต่กลับงดงามไปด้วยเหล่าสัตว์ทะเลเรืองแสงหลากชนิดจนดูราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ท่ามกลางหิ่งห้อยนับล้าน
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ใช่แค่ห้องของสตาฟเฉยๆแล้ว” เสียงแจบอมดังขึ้นเรียกความสนใจจากอี้เอินให้หันไปสนใจ เจ้าชายแห่งท้องทะเลกำลังกวาดตามองออกไปรอบๆ โถงขนาดใหญ่นี้ไม่ได้สามัญธรรมดาอย่างที่พวกเขาคาดคิด ทว่ามันกลับประดับประดาไปด้วยเหล่าบรรดาพืชพรรณและสัตว์น้ำใต้ทะเลลึกที่พากันเรืองแสง อีกทั้งทั่วทั้งโถงยังมีทางแยกออกไปอีกเป็นสี่ทาง ที่ผนังด้านหนึ่งมีบัลลังก์พิลึกพิลั่นตั้งตระหง่านย้ำชัดถึงความสำคัญของที่นี่
“เรากำลังอยู่ในวังของฟอร์ซิส” อี้เอินเอ่ยสรุปก่อนที่เสียงอะไรบางอย่างจะดังขึ้น
“ท่านฟอร์ซิสสสสสสสสสสสส”เสียงผู้ชายดังขึ้นพร้อมกับเสียงม้าวิ่ง ร่างร่างหนึ่งวิ่งพุ่งออกมาจากทางแยกทิศตะวันตก
“ท่านฟอร์ พวกเจ้าเป็นใครกัน!!!” แขกผู้ไม่ได้รับเชิญร้องลั่น อี้เอินและแจบอมจับจ้องไปที่เขา ที่อยู่ตรงหน้าเขาแทบจะเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ติดอันดับต้นๆของเหล่าบรรดาสัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีกด้วยซ้ำ เมื่อเขาคืออิคทีโอเซ็นทอร์ หรือเซ็นทอร์ปลา สัตว์ประหลาดที่มีร่างครึ่งบนเป็นชาย แต่ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปเป็นสัตว์ โดยสองขาหน้าคือขาม้า ด้านหลังเป็นหางปลาโลมา
“เจ้านายนายติดธุระนิดหน่อย เขาก็เลยส่งพวกฉันให้มาดูแลที่นี่สักพักหนึ่ง” อี้เอินเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ เซ็นทอร์ปลาดูมีท่าทีไม่เชื่อใจนัก
“นายสงสัยในคำสั่งเจ้านายงั้นหรอ โอเค ก็ตามใจ เดี๋ยวฉันจะไปบอกเขาให้ฆ่านายทิ้งซะเด”
“ข้าจะยินดีรับใช้ท่านตลอดไป!!” เซ็นทอร์ปลารีบคุกเข่า อี้เอินยกยิ้มก่อนจะออกคำสั่ง
“ดี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นายก็ควรพาฉันกับเพื่อนไปพักที่ห้องได้แล้ว พวกเราต้องการพักผ่อน”
“สามห้อง” จู่ๆแจบอมก็พูดแทรกขึ้น อี้เอินตวัดสายตากลับไปมองอย่างไม่พอใจนัก ทว่าบุตรแห่งโพไซดอนก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้
“มากันสามคนก็ควรจะนอนกันสามห้อง”
“ได้ขอรับ มากันสามคนก็ต้องอยู่กัน”
“แค่สองเท่านั้น” อี้เอินยื่นคำขาด นัยน์ตาคู่คมจ้องเซ็นทอร์ตัวนั้นเขม็งจนผู้มีศักดิ์น้อยกว่าจำต้องยอมทำตามแล้วเลี่ยงเดินนำพวกเขาไป
“นี่ไม่ใช่ที่ที่นายจะมีอำนาจ เจบี” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเมื่ออยู่กันสองคนพร้อมกับนัยน์ตาคู่คมที่แววโรจน์ด้วยแสงสีทองก่อนที่เขาจะเดินผละออกไป ทิ้งให้แจบอมอยู่กับความคับแค้นที่สุมอยู่ในอก มือหนากำมัดแน่น มองไล่หลังตามไปอย่างร้อนรุ่ม เพราะเป็นเพื่อนจึงรู้ว่ามาร์คต้องการจะทำอะไร และมันต้องไม่พ้นการย่ำยีแบมแบมแน่
ฉันจะช่วยนายยังไงดี
ฉันจะช่วยนายยังไงดี
รำพึงรำพันกับตัวเองก่อนที่ภาพสุดท้ายที่เขาเห็น จะเป็นแววตาสิ้นหวังของร่างน้อยที่มองกลับมายังเขา….
------------------------------------------
เขารู้สึกตัวได้สักพักแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ฟรอซิสยื่นข้อเสนอตลอดจนถึงวินาทีนี้ น่าแปลกที่ความรู้สึกแรกหลังจากรับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตไม่ใช่ความสุข ดีใจ หรือแม้แต่เศษเสี้ยวของความโล่งใจ ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกเสียดาย เฝ้าถามโชคชะตาว่า ทำไม เพราะชั่วครู่หนึ่งที่อยู่ในสภาพกึ่งหมดลมหายใจ เขาเพิ่งรับรู้ว่ามันมีความสุข…
ไม่ต้องรับรู้ปัญหา
ไม่ต้องทนรับความเจ็บปวด
ไม่ต้องคิดถึงอนาคต
ทุกอย่างมีแต่ตัวเขา ความเงียบ และความสงบ จนเขาคิดได้ว่า…
ถ้าตายไปได้ก็ดี
ดวงตาคู่เรียวปิดตาลงอย่างเชื่องช้าเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงจับ มาร์คเหวี่ยงเขาลงกับเตียงอย่างแรงก่อนจะผละออก เสียงของข้าทาสตนนั้นดังขึ้นอย่างรีบร้อนราวกับต้องการจะออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงตอบรับอย่างขอไปทีของร่างสูง แล้วจากนั้นทั้งห้องก็มีเพียงแค่เขากับร่างสูง ร่างบางลืมตาขึ้น หยัดตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก รับรู้ได้ถึงชะตากรรมของตัวเอง
“รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามทันทีที่หันหลังกลับมาสบตากัน
“มาเอาไปสิ”
“อะไร”
“เกียรติของฉันที่นายอยากได้” เสียงหวานเอ่ยบอกอย่างอ่อนแรงพร้อมกับมือเรียวที่ปลดเปลื้องอาภรลงสู่เบื้องล่าง นัยน์ตาคู่หวานสบตากับอีกคนอย่างเฉยเมยขณะที่เสื้อผ้าตกลงบนพื้น
“ทำบ้าอะไร” นัยน์ตาคู่คมไล่มองเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้น ความรู้สึกตีรวนจนสับสน ร่างบางแย้มยิ้มให้หากแต่มันกลับดูเศร้าสร้อยเหลือเกินเมื่อผนวกกับคำพูด
“พ่อของฉันเอาเกียรติยศของนายไป”
“…….”
“ฉันก็จะคืนเกียรติของฉันให้นายแทน” ริมฝีปากบางประกบจูบอีกฝ่าย ร่างเปราะบางขยับกายเข้าหา ฝ่ามือเรียววางทาบบนอกแกร่ง หยดน้ำตารินไหล นึกย้อนไปถึงคำพูดของทานาทอสที่เคยกระซิบบอกกับเขา
‘ทางเดียวที่เจ้าจะจบปัญหานี้ได้คือขายร่าง ชีวิต และวิญญาณให้กับเขาซะ’
และตอนนี้…
เขาก็กำลังจะทำอย่างนั้น เพื่อให้ทุกอย่างจบลงไปเสียที…
“ท่านพูดว่าอะไรนะ” บุตรแห่งฮาเดสถามย้ำอีกครั้ง เทพเจ้าแย้มยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ตั๋วสามใบแลกกับหนึ่งชีวิต คราวนี้จะแลกกับชีวิตใครดี” เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มคลุ้มคลั่ง นิ้วหงิกงอถูกชูขึ้นสามนิ้วประกอบคำพูด อี้เอินขบกรามแน่น นัยน์ตาคมกล้าจับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาพร้อมกับขบคิดไปด้วย
หนึ่งชีวิตสำหรับตั๋วสามใบ
จะชีวิตใครก็ได้อย่างนั้นน่ะหรอ…
ชีวิตของใครก็ได้…
“สาบานกับแม่น้ำสติ๊กส์ว่าท่านจะไม่ผิดคำพูด” อี้เอินเปิดฉากบทสนทนาหลังจากที่ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ แจบอมตวัดสายตามามองอย่างไม่พอใจ การให้สาบานนั่นคือการตอบรับเงื่อนไขบ้าๆนี้แล้ว
“แน่นอน ข้าฟอร์ซิส ขอสาบานกับแม่น้ำสติกส์ว่าข้าจะยอมให้อี้เอินแจบอม หรือแบมแบมอยู่ที่พำนักของข้าอย่างถาวร หากพวกเขายอมสละหนึ่งชีวิตมาให้ข้า” เกิดแสงสว่างวาบขึ้น อี้เอินยกยิ้มร้ายก่อนจะเอ่ยประโยคที่แจบอมไม่คาดคิดว่าเพื่อนของเขาจะโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะเลือกหนึ่งชีวิตให้ท่าน” สิ้นเสียงนั้น ฝ่ามือแกร่งก็กระชากร่างแบมแบมออกมาจากอ้อมกอดอันปลอดภัยของแจบอมแล้วผลักให้ไปหาอ้อมกอดมัจจุราชของฟอร์ซิส เทพเจ้าแห่งภยันตรายเงื้ออาวุธหน้าตาประหลาดแต่ทรงไปด้วยภารานุภาพขึ้นเตรียมปลิดชีพ
แจบอมคำรามลั่นจนเกิดเป็นระลอกคลื่นแปรปรวน เจ้าชายแห่งท้องทะเลว่ายพุ่งเข้าไปหมายจะช่วย
“ไม่ใช่กงการอะไรของนาย” อี้เอินตวาด เรียกดาบคู่กายออกมาตวัดฉับใส่เพื่อนสนิท แจบอมหวีดร้องลั่นสั่นสะท้านไปทั้งมหาสมุทร เลือดสีสดย้อมน้ำทะเลเป็นสีแดงฉาน ความเจ็บปวดปลดเปลื้องทุกมิตรภาพให้กลายเป็นสิ่งไร้ค่า แจบอมว่ายพุ่งเข้าหาหมายจะสังหารให้สาแก่ใจ ทว่าวินาทีที่จะเข้าฟาดฟัน อิคอร์(เลือดของผู้เป็นอมตะ)สีทองประหลาดก็ไหลแทรกซึมปะปนไปกับเลือดสีแดงสด
เจ้าชายแห่งท้องทะเลเบี่ยงเบนความสนใจ หันกลับไปมองยังเบื้องหลัง ความตกใจตะลึงพรึงเพริดเข้าจู่โจมความรู้สึก ณ ที่ตรงนั้นที่ควรจะเป็นจุดจบของร่างเล็กผู้น่าสงสารที่ถูกเพื่อนของเขาหยิบยื่นความตายให้อย่างไม่ใยดี กลับกลายเป็นที่ตายของฟอร์ซิส เทพแห่งภยันตรายใต้ท้องทะเลแทน
ร่างของเทพเจ้าค่อยๆล้มลง อิคอร์สีทองทะลักล้นอาบสีแดงฉานให้กลายเป็นสีทองอร่าม ที่ลำคอมีแผลฉกรรจ์จากการถูกฟันอย่างแรงส่งผลให้ศีรษะของเทพเจ้าที่ยังคงมีรอยยิ้มแทบหลุดออกจากคอ
“นี่นาย” แจบอมหันกลับมาถามเพื่อนด้วยความสับสน อี้เอินสบตาด้วยสายตาเย็นชา
“มันคงจะขาดทั้งหัวถ้านายไม่เข้ามาขวางฉัน” เอ่ยตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหาร่างของแบมแบมที่ยังคงสลบอยู่
“ฉ ฉ ฉันคิดว่า ฉันคิดว่านายจะ”
“ฆ่าเด็กคนนี้น่ะหรอ” ร่างสูงพูดแทรกขึ้นพร้อมกับจับร่างเล็กให้ยืนตั้งตรง
“นายมีแนวโน้มที่จะทำ”
อี้เอินกรอกตาไปมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะลุดหน้าเดินนำเข้าไปในพิพิธภัณฑ์งี่เง่าที่เปิดประตูเชื้อเชิญรอให้เข้าไป
“รีบตามมาซะ ฉันไม่คิดว่าเขาจะใช้เวลากลับมาจากทาทาร์รัสนานนักหรอก ***” ร่างสูงใช้ปลายดาบชี้ไปที่ร่างของฟอร์ซิสก่อนจะเดินหายเข้าไปด้านใน ทิ้งให้แจบอมเดินตามมาทีหลังด้วยความรู้สึกที่ยังคงสับสนกับการกระทำของเพื่อนตัวเอง
(***โดยทั่วไปตามความเชื่อของกรีก มักเชื่อว่าวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่อมตะ หากถูกฆ่า วิญญาณจะกลับลงไปรวมร่างที่ทาทาร์รัสแล้วกลับขึ้นมาบนโลกมนุษย์ใหม่อีกครั้ง)
ภายในพิพิธภัณฑ์โอ่โถงและกว้างขวางกว่าที่เห็นจากภายนอก ทั้งผนังกรุกระจกให้สามารถมองเห็นท้องทะเลด้านนอกได้ทั้งสามร้อยหกสิบองศา แต่นอกจากความมืดมิดแล้วก็แทบจะไม่เห็นอะไรอีกเลย ดังนั้นจุดสนใจทั้งหมดทั้งมวลจึงมาอยู่ที่บรรดาเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายที่ถูกจัดแสดงอยู่ในตู้โชว์ซึ่งพวกมันทุกตัวก็รักษาความน่าเกลียดน่ากลัวเอาไว้ได้อย่างเต็มเปรี่ยมจนแทบไม่มีตัวใดดูดีไปกว่ากันเลย
“แล้วจะเอายังไงต่อ” แจบอมเอ่ยถามขึ้น อี้เอินยักไหล่เล็กน้อยอย่างไร้อารมณ์
“ก็คงอยู่ที่นี่สักพัก”
อี้เอินกวาดตามองไปรอบๆ ทั่วทั้งโถงนี้แทบไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาได้ใช้พักผ่อนกันเลย เขามองไปเรื่อยๆก่อนที่จะสะดุดตาเข้ากับป้ายสัญลักษณ์ห้ามเข้าและข้อความที่เขียนไว้อยู่เหนือประตูว่า STAFF ONLY สองขายาวเดินลิ่วตรงไปที่นั่นอย่างไม่มีทีท่าจะสนใจบรรดาสัตว์ประหลาดที่สนอกสนใจเขามากเป็นพิเศษหรือแม้กระทั่งจะชะลอรอเพื่อนตัวเองที่ก้าวขาฉับๆตามมาอย่างรีบร้อน ร่างสูงแค่พุ่งตรงไปที่นั่นแล้วเปิดประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล
สิ่งที่ต้อนรับพวกเขาอยู่นั้นไม่ใช่ห้องอย่างที่คิดไว้ ทว่ามันกลับเป็นลิฟท์แก้วที่สามารถมองออกไปได้รอบทิศ ซึ่งแถมออฟชั่นพิเศษในการทำงานเองอีกด้วย! เพราะยังไม่ทันที่พวกเขาจะกดหมายเลขชั้นใดๆ ลิฟท์แก้วมหาภัยก็ดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็วราวกับลิฟท์ตกอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มันบ้าอะไรวะ!!!” แจบอมสบถอย่างฉุนเฉียว อี้เอินพยายามหาที่ยึดไว้โดยต้องคอยจับร่างของแบมแบมเอาไว้ด้วย
ลิฟท์ดิ่งลงไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะช้าลง ผนวกกับสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เป็นการยากที่จะบอกว่าพวกเขากำลังลงไปที่ไหนกัน เพราะนอกจากตัวเลขที่ลดลงอย่างรวดเร็วราวกับนับถอยหลังวินาทีแห่งความตายบนลิฟท์แล้วพวกเขาก็มองอะไรไม่ชัดอีกเลย
-178
-179
-180
-181
พรึบ!!!
ลิฟท์หยุดกึกอย่างรุนแรง ร่างกายของพวกเขาแทบจะถูกขย้ำรวมกันเป็นก้อนเดียว ประตูเปิดอ้าออกอย่างอัติโนมัติ พวกเขาค่อยๆลุกออกมาอย่างทุลักทุเล
“แย่ยิ่งกว่าครั้งที่แล้ว” แจบอมพูดขึ้นก่อนจะเหลือบมองหาเพื่อนสนิท ทว่านอกจากอี้เอินยังไม่สนใจแล้ว เขายังหันไปมองอย่างอื่นมากกว่าด้วยซ้ำ
ลิฟท์มหาภัยตัวนั้นพาพวกเขามายังห้องโถงขนาดใหญ่ที่กรุด้วยกระจก หากแต่ท้องทะเลที่ล้อมกรอบเป็นวิวทิวทัศน์อยู่ด้านนอกกลับไม่ได้มืดมนเหมือนอย่างพิพิธภัณธ์ด้านบน แต่กลับงดงามไปด้วยเหล่าสัตว์ทะเลเรืองแสงหลากชนิดจนดูราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ท่ามกลางหิ่งห้อยนับล้าน
“ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ใช่แค่ห้องของสตาฟเฉยๆแล้ว” เสียงแจบอมดังขึ้นเรียกความสนใจจากอี้เอินให้หันไปสนใจ เจ้าชายแห่งท้องทะเลกำลังกวาดตามองออกไปรอบๆ โถงขนาดใหญ่นี้ไม่ได้สามัญธรรมดาอย่างที่พวกเขาคาดคิด ทว่ามันกลับประดับประดาไปด้วยเหล่าบรรดาพืชพรรณและสัตว์น้ำใต้ทะเลลึกที่พากันเรืองแสง อีกทั้งทั่วทั้งโถงยังมีทางแยกออกไปอีกเป็นสี่ทาง ที่ผนังด้านหนึ่งมีบัลลังก์พิลึกพิลั่นตั้งตระหง่านย้ำชัดถึงความสำคัญของที่นี่
“เรากำลังอยู่ในวังของฟอร์ซิส” อี้เอินเอ่ยสรุปก่อนที่เสียงอะไรบางอย่างจะดังขึ้น
“ท่านฟอร์ซิสสสสสสสสสสสส”เสียงผู้ชายดังขึ้นพร้อมกับเสียงม้าวิ่ง ร่างร่างหนึ่งวิ่งพุ่งออกมาจากทางแยกทิศตะวันตก
“ท่านฟอร์ พวกเจ้าเป็นใครกัน!!!” แขกผู้ไม่ได้รับเชิญร้องลั่น อี้เอินและแจบอมจับจ้องไปที่เขา ที่อยู่ตรงหน้าเขาแทบจะเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ติดอันดับต้นๆของเหล่าบรรดาสัตว์ประหลาดในเทพนิยายกรีกด้วยซ้ำ เมื่อเขาคืออิคทีโอเซ็นทอร์ หรือเซ็นทอร์ปลา สัตว์ประหลาดที่มีร่างครึ่งบนเป็นชาย แต่ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปเป็นสัตว์ โดยสองขาหน้าคือขาม้า ด้านหลังเป็นหางปลาโลมา
“เจ้านายนายติดธุระนิดหน่อย เขาก็เลยส่งพวกฉันให้มาดูแลที่นี่สักพักหนึ่ง” อี้เอินเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ เซ็นทอร์ปลาดูมีท่าทีไม่เชื่อใจนัก
“นายสงสัยในคำสั่งเจ้านายงั้นหรอ โอเค ก็ตามใจ เดี๋ยวฉันจะไปบอกเขาให้ฆ่านายทิ้งซะเด”
“ข้าจะยินดีรับใช้ท่านตลอดไป!!” เซ็นทอร์ปลารีบคุกเข่า อี้เอินยกยิ้มก่อนจะออกคำสั่ง
“ดี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นายก็ควรพาฉันกับเพื่อนไปพักที่ห้องได้แล้ว พวกเราต้องการพักผ่อน”
“สามห้อง” จู่ๆแจบอมก็พูดแทรกขึ้น อี้เอินตวัดสายตากลับไปมองอย่างไม่พอใจนัก ทว่าบุตรแห่งโพไซดอนก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้
“มากันสามคนก็ควรจะนอนกันสามห้อง”
“ได้ขอรับ มากันสามคนก็ต้องอยู่กัน”
“แค่สองเท่านั้น” อี้เอินยื่นคำขาด นัยน์ตาคู่คมจ้องเซ็นทอร์ตัวนั้นเขม็งจนผู้มีศักดิ์น้อยกว่าจำต้องยอมทำตามแล้วเลี่ยงเดินนำพวกเขาไป
“นี่ไม่ใช่ที่ที่นายจะมีอำนาจ เจบี” เสียงทุ้มเอ่ยบอกเมื่ออยู่กันสองคนพร้อมกับนัยน์ตาคู่คมที่แววโรจน์ด้วยแสงสีทองก่อนที่เขาจะเดินผละออกไป ทิ้งให้แจบอมอยู่กับความคับแค้นที่สุมอยู่ในอก มือหนากำมัดแน่น มองไล่หลังตามไปอย่างร้อนรุ่ม เพราะเป็นเพื่อนจึงรู้ว่ามาร์คต้องการจะทำอะไร และมันต้องไม่พ้นการย่ำยีแบมแบมแน่
ฉันจะช่วยนายยังไงดี
ฉันจะช่วยนายยังไงดี
รำพึงรำพันกับตัวเองก่อนที่ภาพสุดท้ายที่เขาเห็น จะเป็นแววตาสิ้นหวังของร่างน้อยที่มองกลับมายังเขา….
------------------------------------------
เขารู้สึกตัวได้สักพักแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ฟรอซิสยื่นข้อเสนอตลอดจนถึงวินาทีนี้ น่าแปลกที่ความรู้สึกแรกหลังจากรับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตไม่ใช่ความสุข ดีใจ หรือแม้แต่เศษเสี้ยวของความโล่งใจ ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกเสียดาย เฝ้าถามโชคชะตาว่า ทำไม เพราะชั่วครู่หนึ่งที่อยู่ในสภาพกึ่งหมดลมหายใจ เขาเพิ่งรับรู้ว่ามันมีความสุข…
ไม่ต้องรับรู้ปัญหา
ไม่ต้องทนรับความเจ็บปวด
ไม่ต้องคิดถึงอนาคต
ทุกอย่างมีแต่ตัวเขา ความเงียบ และความสงบ จนเขาคิดได้ว่า…
ถ้าตายไปได้ก็ดี
ดวงตาคู่เรียวปิดตาลงอย่างเชื่องช้าเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงจับ มาร์คเหวี่ยงเขาลงกับเตียงอย่างแรงก่อนจะผละออก เสียงของข้าทาสตนนั้นดังขึ้นอย่างรีบร้อนราวกับต้องการจะออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงตอบรับอย่างขอไปทีของร่างสูง แล้วจากนั้นทั้งห้องก็มีเพียงแค่เขากับร่างสูง ร่างบางลืมตาขึ้น หยัดตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก รับรู้ได้ถึงชะตากรรมของตัวเอง
“รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามทันทีที่หันหลังกลับมาสบตากัน
“มาเอาไปสิ”
“อะไร”
“เกียรติของฉันที่นายอยากได้” เสียงหวานเอ่ยบอกอย่างอ่อนแรงพร้อมกับมือเรียวที่ปลดเปลื้องอาภรลงสู่เบื้องล่าง นัยน์ตาคู่หวานสบตากับอีกคนอย่างเฉยเมยขณะที่เสื้อผ้าตกลงบนพื้น
“ทำบ้าอะไร” นัยน์ตาคู่คมไล่มองเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้น ความรู้สึกตีรวนจนสับสน ร่างบางแย้มยิ้มให้หากแต่มันกลับดูเศร้าสร้อยเหลือเกินเมื่อผนวกกับคำพูด
“พ่อของฉันเอาเกียรติยศของนายไป”
“…….”
“ฉันก็จะคืนเกียรติของฉันให้นายแทน” ริมฝีปากบางประกบจูบอีกฝ่าย ร่างเปราะบางขยับกายเข้าหา ฝ่ามือเรียววางทาบบนอกแกร่ง หยดน้ำตารินไหล นึกย้อนไปถึงคำพูดของทานาทอสที่เคยกระซิบบอกกับเขา
‘ทางเดียวที่เจ้าจะจบปัญหานี้ได้คือขายร่าง ชีวิต และวิญญาณให้กับเขาซะ’
และตอนนี้…
เขาก็กำลังจะทำอย่างนั้น เพื่อให้ทุกอย่างจบลงไปเสียที…