0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

ทะเลมาร์คแบม ตอนที่ึ13

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

0ctogus

0ctogus
Admin

แสงประหลาดนั่นยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของอี้เอิน ประกายอันช่วงโชติและสว่างจ้าลวกหัวใจของเขาให้หยุดเต้น ภาพทุกอย่างดูเชื่องช้าราวกับมีใครมาหน่วงเวลาเอาไว้ ลำแสงนั่นพุ่งตรงมาหาเขา เขาพยายามจะหนี แต่ทุกอย่างกลับช้าเกินไป ลำแสงพุ่งเข้ามากระแทกร่างของเขาก่อนที่มันจะดับมืดลง…


“มาร์ค มาร์ค” เสียงของใครสักคนตะโกนเรียกเขา ทว่ามันกลับช่างเลือนราง และฟังดูห่างไกล ใบหน้าของใครหลายคนมุงดูร่างของเขาที่นอนอยู่กับพื้น พวกเขาเอาแต่ตะโกนเรียกชื่อ


“มาร์ค!! มาร์ค! นายเป็นอะไรรึเปล่า มาร์ค!”เขาเคยได้ยินเสียงนี้ ใบหน้าแบบนี้..เขา


“จิน จิน”


“มาร์ค ได้ยินฉันมั้ย นายได้ยินฉันใช่มั้ย นายเจ็บตรงไหนมั้ย!”


“เราน่าจะพาเขาไปห้องพยาบาล” คนนี้เขาก็คุ้นหน้า


“นี่! ตอบฉันหน่อยสิ นายเป็นยังไงบ้าง”


“บ้าเอ๊ย! คุณทำอะไรกับเพื่อนผม!!"ผู้ชายอีกคนที่เขาพอคลับคล้ายคลับคลาถลาออกไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนห่างออกไป แล้ววินาทีนั้น เขาก็มองเห็นใครอีกคนหนึ่งอยู่ในกรอบสายตา


“ บ บ แบม แบม!” เสียงทุ้มระล่ำระลักพูด ค่อยๆยันกายขึ้นมาจากพื้น สติสัมปชัญญะค่อยๆย้อนกลับมาทีละนิดอย่างรวดเร็ว ความทรงจำสุดท้ายคือเสียงหวานที่เอือนเอ่ยลงโทษกัน และถ้าเขาได้ยินมันไม่ผิดคือการทำให้เขาหายไปจากโลกใบนี้


“แบม  แบม” ร่างสูงรีบถลาเข้าไปคว้าแขนอีกคนเอาไว้  ทว่า…


เขากลับแตะต้องร่างบางไม่ได้



“น น นี่มันเกิดอะไรขึ้น” อี้เอินถามด้วยน้ำเสียงสับสน  ดวงตาคู่คมสบตากับอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน ก่อนจะถูกต้องย้ำความพ่ายแพ้ด้วยการที่ร่างบางกลับเดินทะลุผ่านตัวของเขาไปเลยราวกับมองไม่เห็น


“น น นี่มัน…”



               เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากเนเมซิส เทพีปรบมือราวกับดีใจเสียเต็มประดาก่อนจะสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ ฝ่ามืองามกระชากใบหน้าของเขาให้หันมาสบตาด้วย



“มันเริ่มขึ้นแล้ว! มันเริ่มขึ้นแล้ว!! บทลงทัณฑ์ของข้า! จากนี้เจ้าจะไร้ตัวตนในโลกของบุตรแห่งซุส เขาจะไม่มีวันมองเห็นเจ้าในสายตาอีก!!!”  


ราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจ


ราวกับเรี่ยวแรงมลายสูญ


ราวกับลมหายใจถูกกระชากให้ดับดิ้น


“ท่าน ท่านว่าอะไรนะ”


“เจ้าก็ได้ยินหมดแล้วนี่ แบมแบมต้องการให้เจ้าหายไปจากโลกของเขา ข้าก็แค่ทำให้มันเป็นจริง!”


“ม มไม่จริง” อี้เอินพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ


“ข้าก็ไม่อยากจะใจร้ายหรอกนะ แต่ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อเอง  แบมแบม เจ้าบอกเขาไปสิ่ซิ เจ้าอยากให้เขาหายไปจากโลกของเจ้าใช่มั้ย” เทพีหันไปถามร่างบางที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสน


“ผ ผ ผม” เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างดูเลือนรางไปเสียหมด


“แบมแบม นายไม่ได้ต้องการแบบนี้จริงๆใช่มั้ย แบมแบม บอกฉันสิ!”


“เจ้าอาจจะลืมเรื่องราวทั้งหมดไป งั้นข้าจะให้เจ้าดู” เนเมซิสเอ่ยบอกกับร่างบางพร้อมกับย้อนภาพเหตุการณ์ย้อนเรื่องราวทั้งหมดให้ดูอีกครั้ง แววตาของแบมแบมวูบไหว สีหน้าไม่บ่งบอกว่าดีใจหรือเสียใจ มีเพียงความราบเรียบที่ยากจะคาดเดาปรากฏให้เห็น


“แบมแบม บอกเธอสิว่านายไม่ได้ต้องการแบบนี้ นายไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้” ร่างสูงร้องบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งเว้าวอน ดวงตาคู่คมจ้องมองอย่างมีความหวัง ทว่าแบมแบมกลับเมินเฉย


“หึ ตะโกนให้ตาย ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ยินเสียงเจ้าหรอก เจ้ามันไร้ตัวตนในโลกของเขาแล้ว”



           หัวใจของอี้เอินเหมือนถูกเขวี้ยงทิ้งลงกับพื้น ความหวังทุกอย่างกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวอันน่าสมเพช หลากหลายทุกความรู้สึกประเดประดังเข้ามา เขาอธิบายไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร เจ็บปวด เสียใจ ผิดหวัง ทรมาน เขาไม่รู้เลย  ทุกอย่างมันอื้ออึงไปหมด หัวสมองว่างเปล่า หัวใจวูบโหวง  ทำอะไรไม่ถูก จะพูดอะไรออกไปก็ยังไม่รู้ รู้เพียงแค่สายตาของเขามันหยุดมองที่อีกฝ่าย  ร่างแทบทรุดลงกับพื้น เหมือนอยากจะถามซ้ำๆว่า  จริงหรือ  มองไม่เห็นเขาจริงๆหรือ ไม่ได้ยินเสียงเลยจริงๆน่ะหรือ รับรู้ถึงเขาไม่ได้เลยหรือ เขา…


ไร้ตัวตนแล้ว…

จริงๆ น่ะหรือ


“ฉ ฉ ฉัน” อี้เอินอ้าปากราวกับจะพูดอะไร หยาดน้ำตาที่คิดว่าไม่มีอีกแล้วเอ่อล้นที่ขอบตาจนร้อนผ่าวเรียกรอยยิ้มสมเพชจากเนเมซิสให้ถากถาง


“มาสำนึกตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ เพราะคำสาปนี้จะไม่มีวันหายไป ตราบเท่าที่บุตรแห่งซุสต้องการ”


“……”อี้เอินกระพริบตาถี่ๆ แทบไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าได้ยินว่าอะไร เหมือนสมองมันรับรู้ แต่หัวใจกลับไม่อยากเข้าใจ


“ถ้าจะโทษ ก็จงโทษตัวเองเถิด” เทพีพูดก่อนที่นางจะพูดอะไรบางอย่างกับแบมแบมแล้วสาวเท้าเดินเข้ามาหาร่างสูง


“จงมีความสุขกับผลกรรมที่เจ้าได้กระทำลงไปซะ”แล้วเนเมซิสก็หายตัวไปจากตรงนั้น ทิ้งให้อี้เอินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเหล่าเพื่อนที่วิ่งเข้าไปหา


“ไหวนะมาร์ค”


“มันต้องมีทางแก้น่า” คำพูดต่างๆของเพื่อนเขากลายเป็นอากาศธาตุ เมื่อเขากำลังจดจ่ออยู่กับใบหน้านวลที่มองมาที่เขาด้วยแววตาที่ต่างออกไปจากทุกครั้ง


แววตาที่มองเห็นอยู่ แต่ก็เหมือนไม่เห็น


แววตาที่สบตากัน แต่ก็เหมือนไม่รู้


ตัวตนที่เหมือนมีอยู่แต่ก็เหมือนว่างเปล่า



“แบม..” เสียงทุ้มเรียกอีกฝ่ายอย่างเบาหวิว ร่างของแบมแบมค่อยๆหันหลังกลับ ขาเล็กนั่นกำลังก้าวออกไปจากที่นี่


“ไม่.. ไม่นะ”ยังคงพึมพำอยู่ซ้ำๆ สองขาพยายามจะวิ่งไปฉุดรั้ง


“ไม่นะ”สองมือพยายามจะไขว่คว้า


“มาร์ค พอเถอะ” เจบีคว้าตัวเพื่อนเอาไว้  เขาทนดูต่อไปไม่ได้ การเห็นเพื่อนพยายามทำในสิ่งที่ไม่มีวันจะเป็นไปได้ทำให้เขารู้สึกหดหู่


“ปล่อยฉันเจบี ปล่อยฉัน” อี้เอินตวาด หยาดน้ำตาลูกผู้ชายค่อยๆร่วงเผาะลงอาบแก้ม ก่อเกิดเป็นภาพอันอดสู เรียกความสงสารจากเพื่อนๆ


“ไม่ใช่สำหรับตอนนี้มาร์ค ไม่ใช่สำหรับตอนนี้”


“รีบพามาร์คไปพักกันเถอะ ฉันว่าปล่อยไว้นานกว่านี้มาร์คต้องวิ่งตามไปแน่”จินยองออกความเห็น อีกสองคนที่เหลือพยักหน้ารับ รีบเข้ามาพยุงเพื่อนออกไปจากตรงนั้น


                 ห้องพยาบาลกลายเป็นที่พักใจของอี้เอินในครั้งนี้  จินยองใช้ความสามารถในวาทะศิลป์หลอกอาจารย์ให้ไม่สนใจพวกเขา ทั่วทั้งห้องพยาบาลจึงปลอดคนนอก และไม่มีใครมาคอยรบกวน พวกเขาต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้อี้เอินสงบ ร่างสูงเหมือนคนเจ็บปวดมากจนสติหลุด เดือดร้อนจนจินยองต้องใช้มนตร์มหาเสน่ห์พูดให้เย็นลง ทั้งๆที่การใช้พลังนั้นในสถานการณ์แบบนี้เป็นอะไรที่ยากเย็นมากจริงๆ เพราะต้องรวบรวมพลังความรักและความคิดดีๆผลักดันให้เกิดมนตรา


“มันจะต้องมีทางแก้ เชื่อฉันสิ” จินยองเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน นัยน์ตาคู่สวยหันไปส่งซิกให้เจบีที่นั่งอยู่ข้างๆ


“ใช่ นายถนัดทำเรื่องเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” เจบีสนับสนุน


“แต่บางครั้งเราก็ต้องยอมรับความจริง” แล้วแผนการปลอบใจทุกอย่างก็พังด้วยผู้ชายที่ชื่อว่าแจ็คสัน


“แจ็คสัน!” ร่างเพรียวขู่รอดไรฟัน ถลึงตามองเป็นเชิงให้หยุดพูด


“อ้าว ก็ฉันพูดจริง เพราะแทนที่จะคิดอะไรแบบนั้น ทำไมไม่ลองมองความจริงดูล่ะ”


“แจ็ค” เจบีเริ่มเรียกเสียงห้วน ร่างสูงเปรยตาให้บุตรแห่งเฮอร์มีสมองสีหน้าของอี้เอินที่หมดอาลัยตายอยากยิ่งกว่าเดิม


“ฉันแค่อยากให้ทุกคนฟังคำพูดของเนเมซิส เขาว่าคำสาปจะไม่ลบล้างตราบเท่าที่แบมอยากให้มันเป็น ถ้าอย่างนั้น”


“…..”


“ทำไมเราไม่ทำให้แบมแบมหายโกรธซะล่ะ” ร่างบึกบึนยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี เพื่อนทั้งหมดที่เหลือแสดงสีหน้าเหลือเชื่อ ไม่คาดคิดว่าคนอย่างแจ็คสันจะคิดอะไรแบบนี้ได้ด้วย ทว่ามันก็เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น เมื่อเจบีฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้


“ก็ฉลาดดี แต่แล้วจะทำยังไงล่ะ” แจ็คสันยิ้มกว้าง เดินเข้าไปทรุดนั่งใกล้ๆอี้เอิน


“ก็ทำให้เขารักสิ เดี๋ยวเขาก็ลืมความโกรธเองแหละ ยังไงเราก็มีจินยองอยู่ทั้งคนแค่นี้จะ”


“พอเถอะ แจ็คสัน” เจ้าของเสียงทุ้มที่นิ่งเงียบมานานเอ่ยขัดขึ้น เรียกความเงียบให้เข้าปกคลุมภายในห้องอีกครั้ง


“เอ่อ พวกเราแค่อยากจะ”


“ตอนนี้ฉันไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น ขอฉันอยู่คนเดียวสักพักได้มั้ย”


“แต่ว่า”


“ได้ ” เจบีแตะแขนแจ็คสันเป็นเชิงห้ามให้หยุดพูด ก่อนจะหันมาสบตากับทุกคนเป็นเชิงบอกให้ออกไปจากที่นี่


“พวกเราจะรออยู่ข้างนอกนั่น” เอ่ยบอกลาเพียงเท่านั้นก่อนจะดึงทุกคนออกไปข้างนอก


“นายบ้ารึเปล่า! มาร์คไม่ควรอยู่คนเดียวตอนนี้นะ!” จินยองแหวขึ้นเป็นคนแรก แจ็คสันพยักหน้าเห็นด้วย


“นั่นสิ เขาควรจะมีคนปลอบใจนะ”


“เสือไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น” สิ้นเสียงนั้นทุกคนก็เข้าสู่ความเงียบ จินยองหลุบตาที่มองมา ในขณะที่แจ็คสันเองก็ไม่ตอบโต้อะไร พวกเขายึดความคิดตัวเองเป็นที่ตั้งจนลืมคิดไปว่าจริงๆแล้วอี้เอินต้องการอะไร เพื่อนของพวกเขาคนนั้นเปรียบเสมือนเสือ ตามธรรมชาติของมันหากเจ็บปวดก็มักจะปลีกวิเวกหลบเข้าไปในป่าเพียงลำพังไม่ออกมาให้ใครเห็นตัวเองยามอ่อนแอ ก็เปรียบเสมือนอี้เอินตอนนี้ที่ต้องการเวลาเยียวยาตัวเองตามลำพัง


“เราไม่ได้ทิ้งเขา เราแค่ต้องรอเวลาที่เขาต้องการเรา” เจ้าชายแห่งท้องทะเลมองเพื่อนที่อยู่ในห้องด้วยสายตาที่เจือความเป็นห่วง หากแต่ก็เคารพในความต้องการของเพื่อน


“ฉันเข้าใจล่ะ” จินยองพยักหน้ารับ แจ็คสันเองก็เช่นกัน พวกเขาทำได้เพียงแค่มองเพื่อนที่แข็งแกร่งที่สุด เย็นชาที่สุด หยิ่งทนงที่สุดกำลังร้องไห้อย่างไร้เสียง ไร้การฟูมฟาย ทำเพียงแค่ร้องไห้เงียบๆ ทว่ากลับน่าสงสารจับใจ…


“อย่าเศร้านานนักล่ะ ท่านหัวหน้า” แจ็คสันพึมพำเบาๆ



----------------------------



       เมื่อได้อยู่เพียงลำพังอี้เอินก็ปลดปล่อยทุกความรู้สึกให้ไหลผ่านน้ำตา ภาพที่สองมือมิอาจไขว่คว้าหาร่างบางได้ฉายอยู่ในความทรงจำซ้ำๆราวกับยิ่งตอกยิ่งย้ำให้ช้ำถึงความเจ็บปวด นัยน์ตาคู่คมที่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาเหลือบมองมือตัวเองด้วยแววตาว่างเปล่า ถามกับตัวเองซ้ำๆราวกับต้องการให้ความจริงเปลี่ยนแปลง


เขาแตะต้องแบมไม่ได้อีกแล้วหรือ

เขา เขา เขาทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆน่ะหรือ


      ร่างสูงค่อยๆลดมือตัวเองลงช้าๆ น้ำตายังคงไหลออกมาเงียบๆ ภาพนั้นยังคงฉายซ้ำๆ เปลือกตาบางค่อยๆปิดการมองเห็นอย่างช้าๆ ไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากรับรู้อะไร อยากปล่อยใจให้ด่ำดิ่งลงสู่ความว่างเปล่าและความหมองมัวแล้วจมหายไปในทะเลแห่งความเศร้า


“แกจะเกิดมาบนโลกนี้ทำไม!!” เขายังจำได้ดีถึงประโยคที่เคยด่าทอร่างบาง


“แกมันตัวปัญหา!! ทำไมแม่แกถึงไม่ฆ่าแกไปซะตั้งแต่ตอนนั้น” คำพูดทุกอย่างพรั่งพรูในห้วงคำนึงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคำด่า การถากถาง การทำร้าย ทารุณ แล้วจบลงด้วยที่….การขืนใจ



         เขาจำได้ว่าตอนนั้นแบมแบมแทบไม่ร้องไห้ แต่ร่างกายนั้นกลับสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว


“ฉัน ขอโทษ” เสียงทุ้มพึมพำคำขอโทษออกมาเบาๆ หยดน้ำตาร่วงเผาะ ความรู้สึกผิดตีตื้นล้นขึ้นมาอยู่เต็มอก  หากเขาเลือกได้เขาคงเชื่อฟังพ่อตั้งแต่วันนั้น หากเขาเลือกได้เขาคงไม่ล้างแค้นตั้งแต่ต้น หากเขาเลือกได้….เขาคงไม่ต้องทนทุกข์เมื่ออย่างวันนี้


“เป็นสัจธรรมที่มนุษย์มักรู้ตัวเมื่อสายเสมอ”อี้เอินหันไปตามเสียงแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ นัยน์ตาคู่คมเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นใคร


“ท่านพ่อ” ความกลัวและโหยหาแวบขึ้นมาในจิตใจ ทั้งกลัวว่าจะถูกตำหนิ แต่ก็โหยหาความอบอุ่นจากครอบครัวยามท้อแท้


“ข้าไม่ได้มาเพื่อตำหนิเจ้า แม้ตอนแรกจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม”


“ท่านพ่อ… ท่านพ่อมีธุระอะไรกับผม” ร่างสูงเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนัก  


“เดิมทีข้ามาเพื่อลากเจ้ากลับไปลงทัณฑ์ในนรก แต่เนเมซิสดันชิงตัดหน้าไปเสียก่อน จุดประสงค์ของข้าจึงต้องเปลี่ยนไป”


“ถ้าท่านพ่ออยากจะลงโทษผม”


“เจ้าบอบช้ำจนเกินกว่าจะรับโทษทัณฑ์อะไรทั้งสิ้น และในฐานะพ่อข้าไม่ปรารถนาจะซ้ำเติมเจ้าอีก”


“ท่านพ่อ” เทพเจ้าแย้มยิ้มน้อยๆก่อนจะผินหน้ามองดอกไม้ในแจกันข้างหัวเตียงแล้วพูดขึ้น


“ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าเป็นคนเข้มแข็งมาตลอด เจ้าไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคอะไร แม้แต่ความตายเจ้ายังสู้กับมันมาแล้ว” ฮาเดสเหลือบมองหน้าลูกชาย อี้เอินหลบตาลง


“ผมขอโทษ”


“ข้าไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากเจ้าในตอนนี้  อี้เอิน เจ้าเป็นคนพูดเองมิใช่หรือว่าความรักทรงอานุภาพยิ่งกว่าความตาย”


“….”


“เจ้าทำให้เขาเกลียดชัง ใยเจ้าไม่พิชิตหัวใจเขาด้วยรักที่เจ้ามี” ฝ่ามือแกร่งค่อยๆลูบไล้กลีบดอกไม้อันบอบบาง


“แต่ผม  ผม ผมไม่มีตัวตนไปแล้ว”


“การมองไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าเราสัมผัสมันไม่ได้”


“……”


“ชีวิตคนเราช่างเปราะบางนัก เจ้าก็คงเห็นแล้วว่ามันช่างแตกหักง่ายและไม่จีรัง”กลีบดอกไม้ที่ถูกเทพเจ้าสัมผัสค่อยๆแห้งเหี่ยวลงไปช้าๆ


“……”


“จงใช้มันให้คุ้ม และอย่าโยนทิ้ง จงคว้าทุกโอกาสที่เจ้ามี เพราะนั่นอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าก็ได้”


“ท่านพ่อ”อี้เอินมองผู้เป็นพ่อด้วยความรู้สึกขอบคุณ


“เจ้าจะต้องคิดเองแล้วว่าควรทำอย่างไรต่อไป จะยอมรับมันหรือจะต่อสู้กับมัน”ฮาเดสเอ่ยตอบ ขณะที่ค่อยๆละมือออกจากดอกไม้ กลีบสีซีดกลับมามีสีสันอีกครั้งอย่างช้าๆ


“ผม…” ร่างสูงนิ่งเงียบไป ดวงตาสบตากับผู้เป็นพ่อ


“จงพินิจพิจารณาให้ดี  บุตรแห่งข้า”


“…..”


“ข้ามาเพื่อเท่านี้ ส่วนที่เหลือเจ้าต้องเป็นคนตัดสินเอง และหวังว่า…”


“…..”


“เจ้าจะตัดสินใจไม่ผิด อี้เอิน” แล้วเทพเจ้าก็ค่อยๆเลือนลางหายไป

http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ