แบมแบมไม่เคยอยากได้ความสามารถในการแปลงเป็นเสือของบุตรแห่งไดโอนีซุสมากขนาดนี้มาก่อน เขารู้สึกสองขาของเขามันช่างเชื่องช้าเหลือเกินเมื่อเทียบกับระยะทางที่ทอดยาวตั้งแต่กลางท้องพระโรงจนไปถึงห้องทรงงานของผู้เป็นบิดา เหล่าข้าราชบริพารมากมายต่างโค้งศีรษะทำความเคารพ หากแต่พวกเขาไม่ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะหันไปตอบรับ เว้นก็เสียแต่มนุษย์กึ่งเทพสายพันธุ์แปลกประหลาดหนึ่งเดียวในกลุ่ม หวังแจ็คสันหันกลับไปโบกมือทักทาย บางรายก็มากเข้าถึงขั้นชมชุดที่อีกฝ่ายที่สวมมาวันนี้ว่าสวยดี…
“แจ็คสัน ถ้าจะไม่เป็นการรบกวนไปนะ ฉันว่านายควรตามพวกเรามาเงียบๆ” จินยองเอ็ด หนุ่มร่างล่ำขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย
“นี่ก็เงียบที่สุดแล้ว”
“เชื่อเขาเลย” คนถูกสวนกลับได้แต่กรอกตาไปมาอย่างเอือมระอา เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่มองดูสถานการณ์อยู่อย่างแจบอมได้เป็นอย่างดี
“นายก็รู้ว่าแจ็คสันเป็นคนยังไง” บุตรแห่งโพไซดอนว่ายิ้มๆ จินยองเบ้ปากให้อย่างขัดใจที่อีกฝ่ายไม่เข้าข้างก่อนที่จะถูกดึงความสนใจไปด้วยคำพูดของแบมแบมที่ดังขึ้น
“แต่จากนี้พวกนายคงต้องเงียบของจริงแล้วล่ะ” เบื้องหน้าที่ปรากฏคือบานประตูงาช้างขนาดใหญ่ที่สูงเทียมฟ้า ลวดลายของมันวิจิตรงดงามด้วยศิลปะการดัดลวดเงินและทองที่ฝังลงไปในเนื้อประตู
“ท่านพ่อยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นท่านต้องมองพวกนายเป็นศัตรูอยู่แล้ว”
“โอเค ฉันจะอยู่ให้สงบเงียบที่สุด” แจ็คสันรับคำ ก่อนที่แบมแบมจะพยักหน้าพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้าไปที่ที่จับประตูเล็กน้อย แสงสีทองสว่างวาบ เสียงอิเล็กตรอนวิ่งชนกันดังขึ้น กลิ่นไหม้ลอยมาแตะจมูกขณะที่บานประตูเปิดออก ร่างที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เงยขึ้นมา ใบหน้าที่กำลังจะคลี่ยิ้มพลันเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เห็นว่าลูกชายของเขามากับใคร
“พวกเจ้าทำอะไรกับลูกข้า”
“ไม่ใช่ครับท่านพ่อ พวกเขาไม่ได้ทำอะไร พวกเขาเป็นเพื่อนผม” แบมแบมรีบยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างซุสกับเพื่อนตัวเอง
“เพื่อน?” เทพเจ้าทวนคำด้วยสีหน้าฉงน เท่าที่เขาจำได้นี่คือเพื่อนของเด็กคนนั้นไม่ใช่หรอกหรือ
“เรื่องมันยาวน่ะครับ แต่วันนี้ผมไม่ได้มาเพราะจะบอกท่านพ่อเรื่องนี้หรอก ผมมีสิ่งที่คิดว่าท่านพ่อควรรู้เกี่ยวกับมาร์คมากที่สุดตอนนี้”
“ข้าไม่ฟังอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเด็กคนนั้น!!!”
ลูกชายเขาอาจถูกอี้เอินล่อลวง เขาจะไม่ยอมฟังมันเด็ดขาด
“แต่ท่านพ่อครับ มันเกี่ยวข้องกับชีวิตคนคนนึงเลยนะครับ!”
“ข้าตัดสินโทษเขาไปแล้ว ข้าจะไม่ตะบัดสัตย์หรอกนะ!”
“ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดอย่างนั้นหรอครับ” ร่างบางตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว ซุสตวัดตามามองอย่างไม่เชื่อหู แววตาขุ่นเคืองและเกิดคำถาม บุตรแห่งเขาถูกมนุษย์ใจคดคนนั้นล้างสมอง ยัดความคิดต่อต้านผู้เป็นพ่อแท้ๆอย่างนั้นแล้วแล้วหรือ
“เจ้าถูกมันล้าง..”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแผนของเฮราทั้งหมด” แบมแบมพูดแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาทเมื่อถูกซุสคว้าแขนเอาไว้ เขาไม่อยากยืดเยื้อไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งช้าเท่าไร ก็ดูเหมือนซุสจะเข้าใจยากขึ้นมากเท่านั้น
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” มหาเทพเอ่ยถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู ดวงตาฉายชัดถึงความสับสน ร่างบางสูดลมหายใจลึกก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้กว่าเดิม
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแผนของเฮราทั้งหมดครับ ความจริงแล้วไม่มีเดลฟี ไม่มีคำพยากรณ์ เฮราแค่ต้องการจัดฉากให้มีใครสักคนหนึ่งมาฆ่าผมแทนตัวเอง โดยคนที่เธอยืมมือก็คือต้วนอี้เอินแพะรับบาปที่พ่อลงโทษอยู่บนยอดเขาคอเคซัสนั่น” เทพเจ้าชะงักงัน ความจริงอันน่าสะพรึงเข้าจู่โจมสมองให้หยุดคิด ยั้งหัวใจให้หยุดเต้น ก่อนจะค่อยๆคิดตามอย่างช้าๆ เรื่องที่เกิดขึ้น โทษทัณฑ์ที่เขาลงไปเป็นการจัดฉาก เป็นความผิดพลาดทั้งหมดน่ะหรือ…
“เจ้าไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”เทพเจ้าเอ่ยถาม แบมแบมเล่าที่มาทุกอย่างให้ฟัง มหาเทพจอมราชันย์กำมัดแน่น แววตาเริ่มลุกโชกไปด้วยโทสะ
“เจ้ากำลังจะบอกว่าที่ผ่านมาเฮราหลอกใช้ข้าให้เป็นชนวนในการกำจัดลูกตนเองอย่างนั้นน่ะหรือ” แบมแบมชะงักไปเล็กน้อย ถึงเขาจะไม่ชอบเฮรายังไงแต่ถึงกระนั้นเธอก็คือคนที่พ่อรัก และการตอกย้ำกับผู้เป็นพ่อว่าเธอทำกับพ่ออย่างนี้ก็ถือเป็นเรื่องโหดร้าย
“ถึงผมจะไม่อยากตอกย้ำท่านพ่อ แต่ก็….ใช่ครับ เธอหลอกใช้ท่าน” ซุสหลับตาลงปิดการมองเห็น ลมหายใจถูกพรูเข้าออกอย่างอดกลั้น ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ทั่วทั้งห้องเริ่มสั่นคลอน ข้าวของตกลงมาแตกกระจาย ไฟฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่ว
“ท่านพ่อครับ…”
“พอกันทีกับการให้อภัย!!!” ราชาแห่งทวยเทพประกาศก้อง อัตสนีบาตรถูกคว้าออกมาจากอากาศก่อนที่เทพเจ้าจะสาวเท้าออกจากห้อง
กระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วทุกทิศทางที่เทพเจ้าย่างกราย แรงโทสะเขย่าให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน มวลเมฆพายุก่อตัวขึ้นเหนือโอลิมปัส สายฝนกระหน่ำตกลงมา ฟ้าแลบแปลบปลาบจนน่ากลัว เทพเจ้าเงื้ออัตสนีบาตขึ้นก่อนจะฟาดใส่พระราชวังแห่งเฮราจนพังทลายลงมาในคราวเดียว
“จงออกมา เฮรา!!!” สุมเสียงทรงพลังประกาศก้าวพร้อมกับเจ้าของเสียงที่เดินเข้าไปในซากปะหลักหักพังอย่างเยือกเย็น ทุกที่ที่เทพเจ้าเหยียบย่ำซากหินและโครงสร้างต่างๆพากันถอยห่าง เหล่าข้าราชบริพารที่ไม่ถูกทับต่างพากันกระเสือกระสนวิ่งหนี
“จงออกมา เฮรา!!” คำสั่งถูกประกาศออกไปอีกครั้ง หากแต่ครานี้กลับได้รับเสียงอวดครวญอย่างเจ็บปวดตอบกลับมา เทพเจ้าเดินตรงไปยังต้นเสียงทันที
ร่างร่างหนึ่งกำลังนอนอยู่ท่ามกลางซากอาคาร อิคอร์สีทองไหลเจิ่งนองเป็นวงกว้าง เทพีเฮราที่เคยสูงศักดิ์นอนหอบหายใจโรยรินน่าสงสาร แต่ถึงกระนั้น….ก็ไม่ได้มากพอให้โทสะแห่งซุสทุเลาลง มหาเทพคว้าคอกระชากร่างอีกฝ่ายออกมาก่อนจะยกขึ้นสูงจนปลายเท้าลอยจากพื้น
“เจ้ากล้ามากที่หลอกใช้ข้า เจ้ากล้ามากที่ให้ข้าเป็นชนวนสังหารลูกตนเอง!!!” เทพเจ้าออกแรงบีบคอมากขึ้น
“อั่ก! ข้า ข้า” เทพีดิ้นพล่านด้วยความทรมาน ร่างกายที่บอบช้ำจากการสู้กับอี้เอินอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงเมื่อถูกสวามีทำร้าย
“ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!!”
“อั่ก!!” อิคอร์สีทองไหลกระอักออกมาจากปาก
“ท่านพ่อครับ! ผมว่าเธอจะ”
“ไม่ต้องห้ามข้า! วันนี้ข้าจะลงโทษเทพีสามหาวผู้นี้!” ซุสตัดบทพร้อมกับลากร่างเทพีที่อิคอร์ไหลท่วมร่างไปยังหน้าผาสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
“ท่านพ่อครับผมว่าเราควรจะปรึกษาสภาก่อนลงโทษเธอนะครับ” ถึงจะเกลียดชังอย่างไร เขาก็ไม่อาจยอมให้ผู้เป็นพ่อลงโทษเธออย่าป่าเถื่อนอย่างนี้ได้
“นั่นสิครับ อย่างน้อยก็ควรทำตามกฎประเพณี”แจบอมช่วยเสริม
“ใช่ครับ ทำแบบนี้มัน”
“นี่ไม่ใช่ธุระที่สภาจะต้องมาเสียเวลาด้วย นี่คือเรื่องระหว่างข้ากับนาง ทุกคนจงฟัง! จากนี้ข้าขอสั่งห้ามเทพีเฮรา ชายาแห่งข้าขึ้นเหยียบบนโอลิมปัส แม้แต่เงาก็จงอย่ากล้ำกาย จงลงไปใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์เยี่ยงปุถุชนคนธรรมดา!!” ทันทีที่ว่าจบเทพเจ้าก็จบโยนร่างของนางลงไปยังโลก เสียงกรีดร้องดังขึ้นตามมาครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเด่นชัดอยู่ในโสตประสาทและความคิดของทุกคน
“ท่าน…”
“เลิกตื่นตระหนกได้แล้ว เรายังมีธุระต้องทำให้เสร็จ อี้เอินถูกตรึงอยู่ที่แท่นแล้วใช่ไหม” ซุสกล่าวรวบรัดขณะที่เดินฝ่าซากปะหลักหักพัง เศษซากทุกๆอย่างค่อยๆสลายหายไปแล้วราวกับไม่เคยมีพระราชวังอยู่ตรงนี้มาก่อน
“ครับ เขาถูกตรึงอยู่ที่แท่นแล้ว” ร่างบางเอ่ยตอบ มหาเทพพยักหน้ารับ
“งั้นเราก็ไปกันเลย” ว่าจบก่อนที่สายฟ้าจะสว่างวาบขึ้น พร้อมกับร่างกายของทุกคนที่ถูกกระชากเข้าไปอยู่ในใจกลางพายุ
----------------------- จบเท่านี้ แก้คำผิดข้างบนหมดแล้ว ข้างล่างยังไม่แก้---
แจ็คสันคิดว่าตลอดช่วงชีวิตของเขาไม่มีการเดินทางไหนที่น่าวิงเวียนและป่วงจิตได้มากเท่ากับการเดินทางฉับไวของเขาแล้ว ทว่าเมื่อได้สัญจรแบบเทพๆของซุสเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดนั้นทันที ในใจกลางพายุนั่นเต็มไปด้วยสายลมกรรโชกพัดปะทะหน้า เมฆฝนคลุ้มคลั่งคอยกลืนกินเขาอยู่ตลอด นี่ยังไม่นับรวมกระแสไฟฟ้าที่คอยตอดจี๊ดๆอยู่ที่ปลายอวัยวะต่างๆมาตลอดทาง
“สาบานได้ว่าฉันจะไม่ใช้วิธีนี้อีก” แจ็คสันบ่นพึมพำ หากแต่กลับดังพอให้ซุสตวัดสายตามามองได้
“แฮ่ๆ ผมหมายถึงมันล้ำค่าเกินไป ผมอยากใช้ตอนจำเป็นเฉยๆ” ทุกคำแก้ตัวถูกปล่อยให้เก้อค้างอยู่กลางอากาศอย่างนั้น เทพเจ้าไม่ใส่ใจจะฟัง ซ้ำยังเดินเลยผ่านเขาไปหาอี้เอินที่ถูกตรึงอยู่บนแท่น
“ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ท่านมาสั่งอภัยโทษให้ผม” ร่างสูงพูดยียวน แบมแบมทะลึ่งตาใส่เป็นเชิงสั่งให้หยุด
“ข้าจะไม่ถือสาคำพูดเจ้า เพราะข้าเองก็มีส่วนผิดที่หูเบา”
“ก็แน่…..ผมคิดว่าเราควรเริ่มกันเลยดีกว่า ผมชักจะเมื่อยตัวแล้ว” อี้เอินเปลี่ยนคำพูดทันทีที่เห็นสายตาของแบมแบมเมื่อครู่ อย่างน้อยสิ่งแรกที่เขาจะได้ทำหลังจากถูกอภัยโทษก็ไม่ควรจะเป็นการฟังคำเทศนาของร่างบาง
“เจ้าอาจจะเจ็บนิดหน่อย” มหาเทพเตือนพร้อมกับค่อยๆเลื่อนมือขึ้นแตะ ปลายนิ้วสัมผัสกับหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ ร่างสูงหัวเราะในลำคออย่างขบขัน สำหรับเขานับตั้งแต่ถูกลงโทษก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเจ็บปวดไปกว่านั้นอีกแล้ว แค่นี้มันถือว่า
“อั่ก!” เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่นทำให้เขาไม่ทันสังเกตปลายนิ้วของซุสที่เปล่งแสง และปากที่ขยับสวดเป็นภาษากรีกโบราณ ตัวอักษรสีทองวิ่งวนไปตามโซ่ตรวน ความเจ็บปวดกรีดแทงไปตามร่างราวกับกำลังถูกกระชากเส้นเลือด
“นี่ท่าน” อี้เอินร้องไม่ออก ร่างกายทรมานจนไม่อาจขยับปากเอื้อนเอ่ยได้ ยิ่งซุสร่ายคาถานานเท่าไร ความเจ็บก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น เส้นสายสีดำรากแห่งคำสาปค่อยๆถูกดึงออกมาช้าๆ แต่ละครั้งที่มันหลุดออก เขารู้สึกราวกับจะตาย เทพเจ้าค่อยๆร่ายคาถาต่อไปอีกสักพัก อี้เอินหอบหายใจหนัก หัวใจเต้นถี่รัว ลมหายใจสะดุด ก่อนที่ประกายสายฟ้าจะสว่างวาบที่หน้าผากของเขา
“ในนามแห่งข้า มหาเทพซุส ข้าขอสั่งอภัยโทษให้เจ้า” เสียงทรงพลังดังก้องไปทั่วบริเวณ ลำแสงสว่างวาบจนต้องหลับตาก่อนที่โซ่ตรวนจะหลุดร่วงลงแทบเท้า พร้อมกับร่างกายของเขาที่กลับมาเป็นปกติ
“คำสาปหายไปแล้วใช่มั้ยครับท่านพ่อ” แบมแบมเอ่ยถามอย่างพยายามกลั้นความตื่นเต้นไว้
“จากนี้เจ้าจะอยู่ได้อย่างคนปกติแล้ว”
“อ่า…แล้วนี่ ผมต้องขอบคุณท่านรึเปล่า”
“มาร์ค” ร่างบางพยายามปราม ในขณะที่อี้เอินกรอกตาไปมา ท่าทางเหล่านั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องปรามเขา ถ้าเขาประพฤติดีกับข้านั่นสิถึงเป็นเรื่องแปลก”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วผมคงต้องขอตัว ป่านนี้ท่านพ่อคงร้อนใจแล้ว” อี้เอินเอ่ยบอกตามจริง ถึงจะดีใจแค่ไหนที่เป็นอิสระแล้ว แต่เขาก็ยังห่วงผู้ให้กำเนิดอยู่ดี ซุสไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแค่พยักหน้ารับ เหล่ามนุษย์กึ่งเทพโค้งศีรษะให้เป็นเชิงเคารพ ก่อนที่อี้เอินจะเปิดประตูแห่งเงาขึ้น
“อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไป”
“……” ทุกคนหันกลับไปมอง
“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงฉลองวันครีษมายัน เจ้ากับพ่อก็ขึ้นมาด้วยสิ”
“แต่วันครีษมายัน….ครับ แล้วผมจะบอกท่านพ่อให้”อี้เอินเปลี่ยนคำ หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะถูกแบมเอ็ด หากแต่เพราะสายตาที่เขาสบกับมหาเทพเมื่อครู่ ผนวกกับถ้อยคำเชื้อเชิญที่ตามทำเนียมแล้วคนของความตายมีสิทธิ์จะขึ้นไปบนโอลิมปัสได้แค่วันเหมายันเท่านั้น ดังนั้นการกระทำเช่นนี้จึงเปรียบเหมือนการขอโทษกรายๆ
“แล้วพบกันในงาน” ร่างสูงเอ่ยบอกพร้อมกับโค้งศีรษะให้ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในประตูแห่งเงาพร้อมกับทุกคน
งานเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โอลิมปัสถูกเนรมิตให้กลายเป็นสวนแห่งพฤกษาสวรรค์ เหล่าเทพยาดาต่างรื่นเริงไปตามเสียงดนตรีที่คณะของเทพอพอลโลขับกล่อม อาหารมากมายถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะรอคอยให้แขกเหรื่อเลือกรับประทาน รสชาติของพวกมันต่างแตกต่างกันไปตามแต่ความต้องการของผู้รับประทาน กลุ่มของอี้เอินค่อยๆเดินเข้ามาในงาน โดยมีฮาเดสเดินนำอยู่หน้าสุดเคียงคู่มากับลูกชาย เหล่าเทพยาดาต่างตกตะลึงไม่ไหวติ่ง นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นความงดงามที่น่าลุ่มหลงเช่นนี้
เพราะแม้นมันจะอันตราย
แต่กลับดึงดูดอย่างน่าประหลาด
อี้เอินสวมชุดสูทสีดำสนิททั้งชุด เสริมด้วยเครื่องประดับสีทอง เรือนผมสีสว่างผนวกกับนัยน์ตาคู่คมสีทองเจิดจ้ายิ่งขับไล้ผู้ชายคนนี้งดงามจนไร้ที่ติ
เสียงซุบซิบดังขึ้นทุกขณะที่ร่างสูงเดินผ่าน ทุกสายตาต่างจ้องมองราวกับตกอยู่ในภวังค์ อี้เอินเดินเคียงข้างผู้เป็นพ่อที่เดินตรงไปหาซุส บทสนทนาฉันพี่น้องถูกเริ่มต้นขึ้น เทพผู้ครองนครแห่งคนตายเอ่ยทักทาย ในขณะที่ผู้ครองสรวงสวรรค์เอ่ยขอโทษในสิ่งที่ผ่านมา
“เรื่องมันก็จบลงด้วยดีแล้ว ข้าถือว่าวันนี้คือการเริ่มต้นใหม่”
“ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มจากการล้างมลทินให้กับบุตรของเจ้า” ซุสยิ้มก่อนจะตบมือขึ้นหนึ่งครั้งเรียกความสนใจจากทุกคน
“พวกเจ้าคงรู้เรื่องอี้เอินกันทั้งหมดแล้ว แต่ข้าจะขอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ว่านับจากนี้อี้เอินมิใช่นักโทษแห่งสรวงสวรรค์อีกแล้ว เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากเฮราที่มีความคิดอันต่ำช้า คิดหลอกใช้ให้เขาสังหารบุตรแห่งข้า ขอให้พวกเจ้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับมนุษย์กึ่งเทพคนอื่นๆ” เสียงเทพเจ้าดังก้องไปทั่ว เหล่าทวยเทพต่างน้อมรับบัญชา อี้เอินโค้งศีรษะเป็นเชิงทำความเคารพเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“ขอบคุณครับ”
“จงไปสนุกกับเพื่อนของเจ้าเทิด แถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนุกสำหรับเด็กวัยอย่างเจ้านัก”
พวกเขาแยกตัวออกมาจากซุสและฮาเดส โดยเลือกที่จะนั่งในสวนที่อี้เอินเคยเจอกับแบมแบมครั้งแรก หากแต่ไม่ใช่เพราะความโรแมนติคหรือต้องการระลึกความหลังใดๆ แต่เป็นเพราะแจ็คสันบอกว่ามันเหมาะจะแกล้งคนอื่น…
“ที่ตรงนี้นี่เจ๋งไปเลย! ฉันจะแสดงให้เห็นว่าฉันนี่ล่ะวายร้าย!” พูดก่อนจะหรี่ตาแบบวายร้าย ตั้งท่าจะแกล้งคนอื่น จินยองถึงกับกรอกตา
“จะแกล้งก็ได้ แต่อย่าแสดงตัวได้มั้ย ฉันขี้เกียจใช้วาจาสิทธิ์มาโน้มน้าวให้เขาเลิกโกรธนายแบบคราวที่แล้วอีก” บอกไปหรือยังว่าแจ็คสันเป็นพวกชอบประกาศศักดา แล้วไอ้การทำอย่างนั้นล่ะทำให้คนอื่นรู้ว่าใครเป็นคนทำ จินยองชอบพูดว่ามันเป็นการกระทำที่โง่เง่ามาก
“ได้ไงล่ะ! เวลานี้ล่ะ เวลาแห่งการโอ้อวด! เห็นมั้ยพ่อฉันยกนิ้วให้อยู่!” ทุกคนหันไปตามสายตาของหนุ่มหุ่นล่ำก่อนทั้งหมดจะพากันถอนหายใจอย่างเอือมระอา พอกันทั้งพ่อทั้งลูก
“งั้นเอาที่สบายใจเลย”
หนึ่งวินาทีต่อจากนั้น จินยองก็อยากถอนคำพูดเสียเหลือเกิน เพราะนอกจากแจ็คสันจะไม่เข้าใจว่าประชดแล้ว ยังคิดว่าส่งเสริม เขาเล่นแผลงฤทธิ์ด้วยการส่งจานขนมถ้วยหนึ่งพร้อมกระดาษโน้ตว่า ‘แด่คนที่สวยที่สุด’ ไปให้โต๊ะของเหล่าบุตรธิดาแห่งอโพรไดท์
“หายนะชัดๆ!” ร่างโปร่งอุทาน การทำอย่างนั้นไม่ต่างจากการก่อสงคราม เพราะธรรมชาติของเด็กพวกนั้นมักถือตนว่าหน้าตาดีที่สุดอยู่แล้ว ผิดกับเขาที่ผ่าเหล่าผ่ากอไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก เด็กพวกนั้นจะเถียงกันจนกว่าจะได้ผู้ชนะ
บุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์ถกเถียงกันจนกลายเป็นทะเลาะ พวกเขาเริ่มปาข้าวของ หนักข้อเข้าก็ใช้เวทมนตร์ ก่อความวุ่นวายไปทั่ว ใครมาห้ามก็ไม่สน ครั้นจะให้จินยองใช้วาจาสิทธิ์สั่งห้ามก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ผลกับบุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์ด้วยกันเอง
“สำเร็จ สำเร็จ!” แจ็คสันทำท่าดีใจก่อนจะค่อยๆลดท่าทางลงเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนๆ
“ไม่ตลก”
“เอาน่าจินยอง เดี๋ยวพอพวกเขาทะเลาะกันจนเหนื่อยก็คงเลิกเอง”
“ไม่มีทางล่ะ พวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะหาคนชนะได้”
“ นี่! นายเป็นคนที่หล่อที่สุดแล้วในงานนี้ ตอบมาว่าใครงดงามที่สุด!” จู่ๆก็มีคนถลาเข้ามาพูดกับอี้เอินที่นั่งจิบไวน์อยู่เงียบๆ จินยองจำได้ว่าเธอเป็นธิดาแห่งอโฟรไดธ์ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม ร่างสูงเปรยตามองเล็กน้อยก่อนจะหันไปสบตาด้วย
“ฉัน?” ถ้าชมเขาเรื่องความสามารถยังจะน้อมรับได้ง่ายกว่า
“ใช่น่ะสิ มีแต่คนจ้องนายกันทั้งนั้นแหละ ตอบฉันมา พวกเราจะได้กินขนมนี่กันสักที!”
อี้เอินเงียบไปชั่วครู่ ดวงตาคู่คมกวาดตามองบรรดาผู้เข้าชิงทั้งหลายอย่างพิจารณา ก่อนจะยกยิ้มน้อยๆเมื่อหาคนที่ดูดีที่สุดได้ มือใหญ่เอื้อมไปหยิบจานขนม ก่อนจะยื่นให้กับผู้ชนะ
“ห๊ะ!?” ผู้ชนะอุทานเล็กน้อยท่ามกลางสายตาแตกตื่นของบุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์ ก็คนที่อี้เอินให้ดันเป็นแบมแบม บุตรแห่งซุสซะนี่!
“ก็สำหรับฉัน นายดูดีที่สุดแล้ว” ดวงตาสีทองงดงามจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีพายุของร่างบาง คนถูกจ้องกระพริบตาถี่ๆก่อนจะหลบสายตา
“แต่ฉันไม่ใช่บุตรแห่งอโฟรไดธ์”
“เธอก็ไม่ได้บอกให้เลือกจากบุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์นี่ถูกไหม” อี้เอินหันไปถามตัวตน
เหตุพร้อมกับวาดยิ้มที่ละลายหัวใจผู้พบเห็นให้
“อะ เอ่อ ใช่ ขนมชิ้นนี้เป็นของนายแล้ว กินให้อร่อย” เธอเอ่ยบอกพร้อมกับล่าถอยออกไป เกิดเสียงบ่นเสียดายกันเบาๆ หากแต่อี้เอินไม่ได้ใส่ใจนัก ร่างสูงหันกลับมาหาผู้ชนะของเขา
“ทำไมไม่กินล่ะ” แบมแบมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปสบตา
“นายโกง” ร่างสูงหัวเราะเบาๆ
“เขาถามไม่รอบครอบเอง”
ร่างเล็กส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ หากแต่เลื่อนจานขนมเข้ามาใกล้ มือเล็กค่อยๆตักขึ้นมาชิมอย่างช้าๆ โดยมีสายตาของอี้เอินคอยทอดมองดูอยู่ แบมแบมอาจไม่ใช่คนที่ดูงดงามที่สุดหากเทียบกับบุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์ ทว่าดวงตาสีเทาพายุคู่นั้นที่เหมือนจะพัดพาทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้องมองเข้าสู่ความลุ่มหลง จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่อวบอิ่มสวยที่สุดสำหรับโลกของร่างสูง
“นายไม่กินด้วย…..ม มองอะไรน่ะ” ร่างบางเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ นึกอยากให้มีคนมาอยู่ด้วยข้างๆเพื่อลดความเขินอาย แต่ครั้นจะหันไปพึ่งเพื่อนๆก็สายไปเสียแล้ว ทุกคนลุกเดินออกไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
“ฉันแค่ไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้นั่งมองนายกินเค้กในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่งอย่างนี้” ร่างบางอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“แต่มันก็มีแล้วนี่” อี้เอินยิ้มละมุน
“นั่นสิ” เสียงทุ้มดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาคู่คมยังคงทอดมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายไม่วางตา มือที่ว่างอยู่ตักเค้กป้อนให้อีกคนช้าๆ แต่อนุภาพของกลับรุนแรงถึงระดับเล่นก่อการร้ายกับหัวใจคนถูกกระทำให้เต้นโครมครามจนแทบดังออกมานอกอก
“นี่” แบมแบมส่งเสียงประท้วงเบาๆ ไอ้จ้องกันนี่มันก็ชวนให้เขินอยู่หรอก แต่มากๆเข้าเขาชักจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนะ! “อย่าจ้องกันขนาดนี้สิ” แล้วคนที่พยายามจะต่อกรกับผู้ก่อการร้าย(ทางหัวใจ)ก็ตอกกลับไปอย่างน่ากลัวด้วยการพึมพำใส่เค้กที่ถูกป้อนมา เพราะไม่กล้าพอจะหันไปสบตาด้วย เรียกเสียงหัวเราะจากร่างสูงให้ยิ่งนึกสนุก
“น่ารัก…” ถึงคราวนี้แบมแบมอยากตัวระเบิดแล้ว! ร่างบางเผลอหันไปสบตากับอีกฝ่ายด้วยความตกใจ แล้วเสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็รู้ได้ทันทีว่าพลาด! พลาดมหันต์!
อี้เอินกำลังนั่งเท้าคางมองเขาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์นั่น รอยยิ้มทรงเสน่ห์ เชื่อเขาเถอะว่าต่อให้จับลูกหลานของเพอร์ซิโฟเน่ที่หัวใจด้านชามานั่งอยู่ตรงนี้ยังไงก็ต้องหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้แน่
“มองอยู่นั่นล่ะ” คำพูดของร่างบางเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายเบาๆก่อนที่มือแกร่งจะรั้งข้อมือบาง
“มานี่ด้วยกันหน่อยสิ” เอ่ยบอกอย่างไม่ต้องการคำตอบพร้อมกับจูงมืออีกคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากงานท่ามกลางเสียงตะโกนโหวกเหวกของแจ็คสันก่อนที่เขาจะถูกทำให้เงียบไปด้วยฝ่ามือพิฆาตของจินยอง
“ปล่อยเขาได้สวีทกันหน่อยน่า”
“อ้าวว แต่ว่า”
“เชื่อฉันสิแจ็คสัน” แจบอมตัดบทพร้อมกับลอบยิ้มขำขณะที่แผ่นหลังของเพื่อนทั้งสองหายลับเข้าไปในสวนเขตหวงห้ามของโอลิมปัส
“ที่นี่มัน…” แบมแบมกวาดตามองไปรอบๆ ภาพความทรงจำครั้งเยาว์วัยค่อยๆย้อนกลับมา
“จำที่นี่ได้มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะที่กวาดตามองไปรอบๆ
“ได้สิ ตอนเด็กๆฉันชอบมาเล่นที่นี่มาก แต่….นายก็เคยมาที่นี่ด้วยหรอ” เอ่ยถามอย่างสงสัย เท่าที่เขารู้สวนนี้เป็นสวนหวงห้าม ร่างสูงยิ้มอย่างเป็นต่อน้อยๆก่อนจะผายมือให้อีกคนทรุดนั่งลงที่ชิงช้าแล้วออกแรงแกว่งเบาๆ
“มันเป็นที่แรกที่เราได้เจอกัน”
“อะไรนะ” ร่างบางเอี้ยวหลังกลับมามองด้วยความตกใจ อี้เอินดันหลังเบาๆเป็นเชิงบอกให้หันกลับไป ขณะที่ริมฝีปากขยับเอือนเอ่ยเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงชวนฝันช้าๆ
“นายคงไม่รู้ตัวหรอกว่าเจอฉัน ตอนนั้นพวกเรายังเด็กกันมาก ฉันแอบมาที่สวนนี้ หลบอยู่ตรงพุ่มไม้ แอบมองนายที่กำลังเล่นสนุก นายทั้ง….สดใส ร่าเริง เป็นเหมือนความมีชีวิตชีวาแรกที่คนอย่างฉันเคยรู้จัก นายต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าตอนนั้นฉันรู้สึกยังไง”
“นาย…รู้สึกยังไงหรอ” แบมแบมรู้เลยว่าตอนนี้แก้มของเขาต้องแดงเป็นลูกตำลึงสุกแน่ๆ ร่างสูงลดแรงไกวชิงช้าลงช้าๆ ขายาวก้าวมาหยุดอยู่ข้างหน้าร่างบางพร้อมกับย่อตัวลงให้ดวงตาอยู่ระดับเดียวกัน
“ตอนนั้นฉันรู้สึกยังไงน่ะหรอ ฉันก็…” ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย ตราตรึงทุกความรู้สึกไว้ด้วยสายตาทรงเสน่ห์ และหยุดลมหายใจด้วยถ้อยคำนุ่มละมุนที่ขยับออกจากริมฝีปาก
“ตกหลุมรักนายตั้งแต่ตอนนั้น” หัวใจของแบมแบมเต้นรัวราวกับกลอง ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับแก้มจะระเบิด และโดยแทบไม่รู้ตัว เขากำลังยิ้มอย่างเขินอาย ร่างสูงค่อยๆกุมมือเขาเบาๆ หากแต่แนบแน่นและมั่นคง
“ที่ผ่านมาฉันอ่อนแอให้ความแค้นนำทางตัวเองจนลืมความรู้สึกนั้นไป ฉันทำไม่ดีกับนาย ทำร้ายนาย ทำให้นายเสียใจ ฉันไม่ขอให้นายยกโทษให้ฉัน ไม่ขอให้ลืมด้วย แต่ฉัน….” นัยน์ตาคู่คมจับจ้องอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่
“ขอดูแลนายจากนี้ตลอดไปได้มั้ย” แบมแบมนิ่งไปชั่วขณะทันทีที่ได้ยิน หัวใจเต้นรัวกว่าที่เคย ความดีใจแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของความรู้สึก
“นี่นายกำลังขอคบอยู่ใช่มั้ยน่ะ” อี้เอินยิ้มพร้อมกับยักไหล่กวนประสาทน้อยๆ
“ว่างๆน่ะเลยอยากดูแลใครสักคน” ร่างบางหัวเราะขบขันก่อนจะหันไปสบตาด้วย
“ถ้างั้นก็อย่าทำให้เสียใจอีกแล้วกัน” แล้วคำพูดทุกอย่างก็ถูกปิดด้วยริมฝีปากของร่างสูง จุมพิตบางเบาถูกมอบให้ โดยไร้การจาบจ้วง เอาแต่ใจ และรุกราน มีเพียงความหอมหวานของห้วงความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดให้กันอย่างเชื่องช้าและเนิ่นนาน ท่ามกลางแสงสีสันสดสวยของพลุเวทมนตร์ที่สว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้า
“ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทำให้นายเสียใจอีก” กระซิบชิดริมฝีปากก่อนที่ร่างบางจะคลี่ยิ้มแล้วยกแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่าย
“นายบอกแล้วนะ” แล้วพวกเขาก็จุมพิตกันอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความโหยหาและซาบซ่าน กลีบปากดูดดึงเข้าเคล้นคลึง เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดแลกสัมผัส รสจูบซาบซ่านแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของหัวใจขณะที่ผืนฟ้าเบื้องบนก็สว่างวาบด้วยพุลหลากสี และรอบกายที่หมู่มวลดอกไม้พร้อมใจกันเบ่งบานเฉลิมฉลองความรักของคนทั้งสอง
“เห็นมั้ยฉันบอกแล้วว่าเขาต้องลงเอยกัน!” เสียงกระซิบกระซาบดังมาจากพุ่มไม้พุ่มหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล มีดวงตาสามคู่กำลังลอบมองอยู่ตรงนั้น
“แบมแบมไม่เล่นตัวเลย แบบนี้ไม่สนุกเล้ย โอ้ย!” แจ็คสันรีบกุมศีรษะ จินยองดันเล่นเขกลงมาแบบไม่ยั้งมือเลยสักนิด
“เกลียดกันมาทั้งชาติแล้ว ให้เขารักกันมั่งเหอะ!”
“ไม่เล่นกับป้าแล้ว!” บอกอย่างขุ่นเคืองก่อนจะหุนหันเดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย จินยองตั้งท่าจะหันไปตะครุบปากอีกคนที่ชอบทำเสียงดังไม่ดูสถานการณ์ ทว่าใบหน้ากลับอยู่ใกล้แจบอมที่ถูกแจ็คสันผลักมาหาในระยะปลายจมูกแตะชนกันอย่างไม่ตั้งใจ
“เอ่อ…” ร่างโปร่งพึมพำอย่างทำอะไรไม่ถูกก่อนจะเอ่ยบอกอย่างตัดช่องน้อยแต่พอตัว
“ขอตัวก่อนนะพอดีนึกได้ว่าต้องไปปาร์ตี้กับพวกญาติๆ”
“นายชอบไปเจอพวกเขาซะที่ไหนกันล่ะ” ฝ่ามือแกร่งรั้งอีกฝ่ายไว้พร้อมกับกระตุกให้เข้ามาหา จินยองเหลือบตาลอกแลกไปมาอย่างประหม่า “ไม่สนใจอยากมีคนดูแลไปตลอดชีวิตแบบเขาบ้างหรอ”
จินยองหน้าแดงระเรื่อ พวงแก้มซับสีเลือดจนน่าหงุดหงิด ร่างโปร่งรีบเบือนหน้าไปทางอื่น กลบเกลื่อนความเขินอายด้วยความหงุดหงิด
“ป่านนี้แล้วเพิ่งจะมาขอนะ”
“แล้วยอมไหมล่ะ”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่” แจบอมคลี่ยิ้มก่อนที่มอบจุมพิตอันหอมหวานให้อีกฝ่าย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาเองก็ถูกสายตาของอี้เอินและแบมแบมลอบมองอยู่เหมือนกัน
“ดูเหมือนวันนี้ก็จะมีคนคบกันเหมือนกับพวกเรานะ” ร่างสูงพูดติดตลกก่อนที่พวกเขาจุมพิตกันอีกครั้งโดยที่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่รู้เลยว่าถูกลอบมองอยู่จากเทพีอะโฟรไดธ์ เทพีแห่งความรัก…
“แจ็คสัน ถ้าจะไม่เป็นการรบกวนไปนะ ฉันว่านายควรตามพวกเรามาเงียบๆ” จินยองเอ็ด หนุ่มร่างล่ำขมวดคิ้วไม่เห็นด้วย
“นี่ก็เงียบที่สุดแล้ว”
“เชื่อเขาเลย” คนถูกสวนกลับได้แต่กรอกตาไปมาอย่างเอือมระอา เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่มองดูสถานการณ์อยู่อย่างแจบอมได้เป็นอย่างดี
“นายก็รู้ว่าแจ็คสันเป็นคนยังไง” บุตรแห่งโพไซดอนว่ายิ้มๆ จินยองเบ้ปากให้อย่างขัดใจที่อีกฝ่ายไม่เข้าข้างก่อนที่จะถูกดึงความสนใจไปด้วยคำพูดของแบมแบมที่ดังขึ้น
“แต่จากนี้พวกนายคงต้องเงียบของจริงแล้วล่ะ” เบื้องหน้าที่ปรากฏคือบานประตูงาช้างขนาดใหญ่ที่สูงเทียมฟ้า ลวดลายของมันวิจิตรงดงามด้วยศิลปะการดัดลวดเงินและทองที่ฝังลงไปในเนื้อประตู
“ท่านพ่อยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นท่านต้องมองพวกนายเป็นศัตรูอยู่แล้ว”
“โอเค ฉันจะอยู่ให้สงบเงียบที่สุด” แจ็คสันรับคำ ก่อนที่แบมแบมจะพยักหน้าพร้อมปล่อยกระแสไฟฟ้าไปที่ที่จับประตูเล็กน้อย แสงสีทองสว่างวาบ เสียงอิเล็กตรอนวิ่งชนกันดังขึ้น กลิ่นไหม้ลอยมาแตะจมูกขณะที่บานประตูเปิดออก ร่างที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เงยขึ้นมา ใบหน้าที่กำลังจะคลี่ยิ้มพลันเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เห็นว่าลูกชายของเขามากับใคร
“พวกเจ้าทำอะไรกับลูกข้า”
“ไม่ใช่ครับท่านพ่อ พวกเขาไม่ได้ทำอะไร พวกเขาเป็นเพื่อนผม” แบมแบมรีบยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับเดินเข้ามาคั่นกลางระหว่างซุสกับเพื่อนตัวเอง
“เพื่อน?” เทพเจ้าทวนคำด้วยสีหน้าฉงน เท่าที่เขาจำได้นี่คือเพื่อนของเด็กคนนั้นไม่ใช่หรอกหรือ
“เรื่องมันยาวน่ะครับ แต่วันนี้ผมไม่ได้มาเพราะจะบอกท่านพ่อเรื่องนี้หรอก ผมมีสิ่งที่คิดว่าท่านพ่อควรรู้เกี่ยวกับมาร์คมากที่สุดตอนนี้”
“ข้าไม่ฟังอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเด็กคนนั้น!!!”
ลูกชายเขาอาจถูกอี้เอินล่อลวง เขาจะไม่ยอมฟังมันเด็ดขาด
“แต่ท่านพ่อครับ มันเกี่ยวข้องกับชีวิตคนคนนึงเลยนะครับ!”
“ข้าตัดสินโทษเขาไปแล้ว ข้าจะไม่ตะบัดสัตย์หรอกนะ!”
“ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นคนทำผิดอย่างนั้นหรอครับ” ร่างบางตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว ซุสตวัดตามามองอย่างไม่เชื่อหู แววตาขุ่นเคืองและเกิดคำถาม บุตรแห่งเขาถูกมนุษย์ใจคดคนนั้นล้างสมอง ยัดความคิดต่อต้านผู้เป็นพ่อแท้ๆอย่างนั้นแล้วแล้วหรือ
“เจ้าถูกมันล้าง..”
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแผนของเฮราทั้งหมด” แบมแบมพูดแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาทเมื่อถูกซุสคว้าแขนเอาไว้ เขาไม่อยากยืดเยื้อไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งช้าเท่าไร ก็ดูเหมือนซุสจะเข้าใจยากขึ้นมากเท่านั้น
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” มหาเทพเอ่ยถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู ดวงตาฉายชัดถึงความสับสน ร่างบางสูดลมหายใจลึกก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้กว่าเดิม
“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแผนของเฮราทั้งหมดครับ ความจริงแล้วไม่มีเดลฟี ไม่มีคำพยากรณ์ เฮราแค่ต้องการจัดฉากให้มีใครสักคนหนึ่งมาฆ่าผมแทนตัวเอง โดยคนที่เธอยืมมือก็คือต้วนอี้เอินแพะรับบาปที่พ่อลงโทษอยู่บนยอดเขาคอเคซัสนั่น” เทพเจ้าชะงักงัน ความจริงอันน่าสะพรึงเข้าจู่โจมสมองให้หยุดคิด ยั้งหัวใจให้หยุดเต้น ก่อนจะค่อยๆคิดตามอย่างช้าๆ เรื่องที่เกิดขึ้น โทษทัณฑ์ที่เขาลงไปเป็นการจัดฉาก เป็นความผิดพลาดทั้งหมดน่ะหรือ…
“เจ้าไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”เทพเจ้าเอ่ยถาม แบมแบมเล่าที่มาทุกอย่างให้ฟัง มหาเทพจอมราชันย์กำมัดแน่น แววตาเริ่มลุกโชกไปด้วยโทสะ
“เจ้ากำลังจะบอกว่าที่ผ่านมาเฮราหลอกใช้ข้าให้เป็นชนวนในการกำจัดลูกตนเองอย่างนั้นน่ะหรือ” แบมแบมชะงักไปเล็กน้อย ถึงเขาจะไม่ชอบเฮรายังไงแต่ถึงกระนั้นเธอก็คือคนที่พ่อรัก และการตอกย้ำกับผู้เป็นพ่อว่าเธอทำกับพ่ออย่างนี้ก็ถือเป็นเรื่องโหดร้าย
“ถึงผมจะไม่อยากตอกย้ำท่านพ่อ แต่ก็….ใช่ครับ เธอหลอกใช้ท่าน” ซุสหลับตาลงปิดการมองเห็น ลมหายใจถูกพรูเข้าออกอย่างอดกลั้น ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ ทั่วทั้งห้องเริ่มสั่นคลอน ข้าวของตกลงมาแตกกระจาย ไฟฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่ว
“ท่านพ่อครับ…”
“พอกันทีกับการให้อภัย!!!” ราชาแห่งทวยเทพประกาศก้อง อัตสนีบาตรถูกคว้าออกมาจากอากาศก่อนที่เทพเจ้าจะสาวเท้าออกจากห้อง
กระแสไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบไปทั่วทุกทิศทางที่เทพเจ้าย่างกราย แรงโทสะเขย่าให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน มวลเมฆพายุก่อตัวขึ้นเหนือโอลิมปัส สายฝนกระหน่ำตกลงมา ฟ้าแลบแปลบปลาบจนน่ากลัว เทพเจ้าเงื้ออัตสนีบาตขึ้นก่อนจะฟาดใส่พระราชวังแห่งเฮราจนพังทลายลงมาในคราวเดียว
“จงออกมา เฮรา!!!” สุมเสียงทรงพลังประกาศก้าวพร้อมกับเจ้าของเสียงที่เดินเข้าไปในซากปะหลักหักพังอย่างเยือกเย็น ทุกที่ที่เทพเจ้าเหยียบย่ำซากหินและโครงสร้างต่างๆพากันถอยห่าง เหล่าข้าราชบริพารที่ไม่ถูกทับต่างพากันกระเสือกระสนวิ่งหนี
“จงออกมา เฮรา!!” คำสั่งถูกประกาศออกไปอีกครั้ง หากแต่ครานี้กลับได้รับเสียงอวดครวญอย่างเจ็บปวดตอบกลับมา เทพเจ้าเดินตรงไปยังต้นเสียงทันที
ร่างร่างหนึ่งกำลังนอนอยู่ท่ามกลางซากอาคาร อิคอร์สีทองไหลเจิ่งนองเป็นวงกว้าง เทพีเฮราที่เคยสูงศักดิ์นอนหอบหายใจโรยรินน่าสงสาร แต่ถึงกระนั้น….ก็ไม่ได้มากพอให้โทสะแห่งซุสทุเลาลง มหาเทพคว้าคอกระชากร่างอีกฝ่ายออกมาก่อนจะยกขึ้นสูงจนปลายเท้าลอยจากพื้น
“เจ้ากล้ามากที่หลอกใช้ข้า เจ้ากล้ามากที่ให้ข้าเป็นชนวนสังหารลูกตนเอง!!!” เทพเจ้าออกแรงบีบคอมากขึ้น
“อั่ก! ข้า ข้า” เทพีดิ้นพล่านด้วยความทรมาน ร่างกายที่บอบช้ำจากการสู้กับอี้เอินอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงเมื่อถูกสวามีทำร้าย
“ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า!!”
“อั่ก!!” อิคอร์สีทองไหลกระอักออกมาจากปาก
“ท่านพ่อครับ! ผมว่าเธอจะ”
“ไม่ต้องห้ามข้า! วันนี้ข้าจะลงโทษเทพีสามหาวผู้นี้!” ซุสตัดบทพร้อมกับลากร่างเทพีที่อิคอร์ไหลท่วมร่างไปยังหน้าผาสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
“ท่านพ่อครับผมว่าเราควรจะปรึกษาสภาก่อนลงโทษเธอนะครับ” ถึงจะเกลียดชังอย่างไร เขาก็ไม่อาจยอมให้ผู้เป็นพ่อลงโทษเธออย่าป่าเถื่อนอย่างนี้ได้
“นั่นสิครับ อย่างน้อยก็ควรทำตามกฎประเพณี”แจบอมช่วยเสริม
“ใช่ครับ ทำแบบนี้มัน”
“นี่ไม่ใช่ธุระที่สภาจะต้องมาเสียเวลาด้วย นี่คือเรื่องระหว่างข้ากับนาง ทุกคนจงฟัง! จากนี้ข้าขอสั่งห้ามเทพีเฮรา ชายาแห่งข้าขึ้นเหยียบบนโอลิมปัส แม้แต่เงาก็จงอย่ากล้ำกาย จงลงไปใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์เยี่ยงปุถุชนคนธรรมดา!!” ทันทีที่ว่าจบเทพเจ้าก็จบโยนร่างของนางลงไปยังโลก เสียงกรีดร้องดังขึ้นตามมาครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเด่นชัดอยู่ในโสตประสาทและความคิดของทุกคน
“ท่าน…”
“เลิกตื่นตระหนกได้แล้ว เรายังมีธุระต้องทำให้เสร็จ อี้เอินถูกตรึงอยู่ที่แท่นแล้วใช่ไหม” ซุสกล่าวรวบรัดขณะที่เดินฝ่าซากปะหลักหักพัง เศษซากทุกๆอย่างค่อยๆสลายหายไปแล้วราวกับไม่เคยมีพระราชวังอยู่ตรงนี้มาก่อน
“ครับ เขาถูกตรึงอยู่ที่แท่นแล้ว” ร่างบางเอ่ยตอบ มหาเทพพยักหน้ารับ
“งั้นเราก็ไปกันเลย” ว่าจบก่อนที่สายฟ้าจะสว่างวาบขึ้น พร้อมกับร่างกายของทุกคนที่ถูกกระชากเข้าไปอยู่ในใจกลางพายุ
----------------------- จบเท่านี้ แก้คำผิดข้างบนหมดแล้ว ข้างล่างยังไม่แก้---
แจ็คสันคิดว่าตลอดช่วงชีวิตของเขาไม่มีการเดินทางไหนที่น่าวิงเวียนและป่วงจิตได้มากเท่ากับการเดินทางฉับไวของเขาแล้ว ทว่าเมื่อได้สัญจรแบบเทพๆของซุสเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดนั้นทันที ในใจกลางพายุนั่นเต็มไปด้วยสายลมกรรโชกพัดปะทะหน้า เมฆฝนคลุ้มคลั่งคอยกลืนกินเขาอยู่ตลอด นี่ยังไม่นับรวมกระแสไฟฟ้าที่คอยตอดจี๊ดๆอยู่ที่ปลายอวัยวะต่างๆมาตลอดทาง
“สาบานได้ว่าฉันจะไม่ใช้วิธีนี้อีก” แจ็คสันบ่นพึมพำ หากแต่กลับดังพอให้ซุสตวัดสายตามามองได้
“แฮ่ๆ ผมหมายถึงมันล้ำค่าเกินไป ผมอยากใช้ตอนจำเป็นเฉยๆ” ทุกคำแก้ตัวถูกปล่อยให้เก้อค้างอยู่กลางอากาศอย่างนั้น เทพเจ้าไม่ใส่ใจจะฟัง ซ้ำยังเดินเลยผ่านเขาไปหาอี้เอินที่ถูกตรึงอยู่บนแท่น
“ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ท่านมาสั่งอภัยโทษให้ผม” ร่างสูงพูดยียวน แบมแบมทะลึ่งตาใส่เป็นเชิงสั่งให้หยุด
“ข้าจะไม่ถือสาคำพูดเจ้า เพราะข้าเองก็มีส่วนผิดที่หูเบา”
“ก็แน่…..ผมคิดว่าเราควรเริ่มกันเลยดีกว่า ผมชักจะเมื่อยตัวแล้ว” อี้เอินเปลี่ยนคำพูดทันทีที่เห็นสายตาของแบมแบมเมื่อครู่ อย่างน้อยสิ่งแรกที่เขาจะได้ทำหลังจากถูกอภัยโทษก็ไม่ควรจะเป็นการฟังคำเทศนาของร่างบาง
“เจ้าอาจจะเจ็บนิดหน่อย” มหาเทพเตือนพร้อมกับค่อยๆเลื่อนมือขึ้นแตะ ปลายนิ้วสัมผัสกับหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ ร่างสูงหัวเราะในลำคออย่างขบขัน สำหรับเขานับตั้งแต่ถูกลงโทษก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเจ็บปวดไปกว่านั้นอีกแล้ว แค่นี้มันถือว่า
“อั่ก!” เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่นทำให้เขาไม่ทันสังเกตปลายนิ้วของซุสที่เปล่งแสง และปากที่ขยับสวดเป็นภาษากรีกโบราณ ตัวอักษรสีทองวิ่งวนไปตามโซ่ตรวน ความเจ็บปวดกรีดแทงไปตามร่างราวกับกำลังถูกกระชากเส้นเลือด
“นี่ท่าน” อี้เอินร้องไม่ออก ร่างกายทรมานจนไม่อาจขยับปากเอื้อนเอ่ยได้ ยิ่งซุสร่ายคาถานานเท่าไร ความเจ็บก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น เส้นสายสีดำรากแห่งคำสาปค่อยๆถูกดึงออกมาช้าๆ แต่ละครั้งที่มันหลุดออก เขารู้สึกราวกับจะตาย เทพเจ้าค่อยๆร่ายคาถาต่อไปอีกสักพัก อี้เอินหอบหายใจหนัก หัวใจเต้นถี่รัว ลมหายใจสะดุด ก่อนที่ประกายสายฟ้าจะสว่างวาบที่หน้าผากของเขา
“ในนามแห่งข้า มหาเทพซุส ข้าขอสั่งอภัยโทษให้เจ้า” เสียงทรงพลังดังก้องไปทั่วบริเวณ ลำแสงสว่างวาบจนต้องหลับตาก่อนที่โซ่ตรวนจะหลุดร่วงลงแทบเท้า พร้อมกับร่างกายของเขาที่กลับมาเป็นปกติ
“คำสาปหายไปแล้วใช่มั้ยครับท่านพ่อ” แบมแบมเอ่ยถามอย่างพยายามกลั้นความตื่นเต้นไว้
“จากนี้เจ้าจะอยู่ได้อย่างคนปกติแล้ว”
“อ่า…แล้วนี่ ผมต้องขอบคุณท่านรึเปล่า”
“มาร์ค” ร่างบางพยายามปราม ในขณะที่อี้เอินกรอกตาไปมา ท่าทางเหล่านั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องปรามเขา ถ้าเขาประพฤติดีกับข้านั่นสิถึงเป็นเรื่องแปลก”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วผมคงต้องขอตัว ป่านนี้ท่านพ่อคงร้อนใจแล้ว” อี้เอินเอ่ยบอกตามจริง ถึงจะดีใจแค่ไหนที่เป็นอิสระแล้ว แต่เขาก็ยังห่วงผู้ให้กำเนิดอยู่ดี ซุสไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เพียงแค่พยักหน้ารับ เหล่ามนุษย์กึ่งเทพโค้งศีรษะให้เป็นเชิงเคารพ ก่อนที่อี้เอินจะเปิดประตูแห่งเงาขึ้น
“อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไป”
“……” ทุกคนหันกลับไปมอง
“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงฉลองวันครีษมายัน เจ้ากับพ่อก็ขึ้นมาด้วยสิ”
“แต่วันครีษมายัน….ครับ แล้วผมจะบอกท่านพ่อให้”อี้เอินเปลี่ยนคำ หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะถูกแบมเอ็ด หากแต่เพราะสายตาที่เขาสบกับมหาเทพเมื่อครู่ ผนวกกับถ้อยคำเชื้อเชิญที่ตามทำเนียมแล้วคนของความตายมีสิทธิ์จะขึ้นไปบนโอลิมปัสได้แค่วันเหมายันเท่านั้น ดังนั้นการกระทำเช่นนี้จึงเปรียบเหมือนการขอโทษกรายๆ
“แล้วพบกันในงาน” ร่างสูงเอ่ยบอกพร้อมกับโค้งศีรษะให้ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในประตูแห่งเงาพร้อมกับทุกคน
งานเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โอลิมปัสถูกเนรมิตให้กลายเป็นสวนแห่งพฤกษาสวรรค์ เหล่าเทพยาดาต่างรื่นเริงไปตามเสียงดนตรีที่คณะของเทพอพอลโลขับกล่อม อาหารมากมายถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะรอคอยให้แขกเหรื่อเลือกรับประทาน รสชาติของพวกมันต่างแตกต่างกันไปตามแต่ความต้องการของผู้รับประทาน กลุ่มของอี้เอินค่อยๆเดินเข้ามาในงาน โดยมีฮาเดสเดินนำอยู่หน้าสุดเคียงคู่มากับลูกชาย เหล่าเทพยาดาต่างตกตะลึงไม่ไหวติ่ง นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นความงดงามที่น่าลุ่มหลงเช่นนี้
เพราะแม้นมันจะอันตราย
แต่กลับดึงดูดอย่างน่าประหลาด
อี้เอินสวมชุดสูทสีดำสนิททั้งชุด เสริมด้วยเครื่องประดับสีทอง เรือนผมสีสว่างผนวกกับนัยน์ตาคู่คมสีทองเจิดจ้ายิ่งขับไล้ผู้ชายคนนี้งดงามจนไร้ที่ติ
เสียงซุบซิบดังขึ้นทุกขณะที่ร่างสูงเดินผ่าน ทุกสายตาต่างจ้องมองราวกับตกอยู่ในภวังค์ อี้เอินเดินเคียงข้างผู้เป็นพ่อที่เดินตรงไปหาซุส บทสนทนาฉันพี่น้องถูกเริ่มต้นขึ้น เทพผู้ครองนครแห่งคนตายเอ่ยทักทาย ในขณะที่ผู้ครองสรวงสวรรค์เอ่ยขอโทษในสิ่งที่ผ่านมา
“เรื่องมันก็จบลงด้วยดีแล้ว ข้าถือว่าวันนี้คือการเริ่มต้นใหม่”
“ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มจากการล้างมลทินให้กับบุตรของเจ้า” ซุสยิ้มก่อนจะตบมือขึ้นหนึ่งครั้งเรียกความสนใจจากทุกคน
“พวกเจ้าคงรู้เรื่องอี้เอินกันทั้งหมดแล้ว แต่ข้าจะขอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ว่านับจากนี้อี้เอินมิใช่นักโทษแห่งสรวงสวรรค์อีกแล้ว เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากเฮราที่มีความคิดอันต่ำช้า คิดหลอกใช้ให้เขาสังหารบุตรแห่งข้า ขอให้พวกเจ้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับมนุษย์กึ่งเทพคนอื่นๆ” เสียงเทพเจ้าดังก้องไปทั่ว เหล่าทวยเทพต่างน้อมรับบัญชา อี้เอินโค้งศีรษะเป็นเชิงทำความเคารพเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“ขอบคุณครับ”
“จงไปสนุกกับเพื่อนของเจ้าเทิด แถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนุกสำหรับเด็กวัยอย่างเจ้านัก”
พวกเขาแยกตัวออกมาจากซุสและฮาเดส โดยเลือกที่จะนั่งในสวนที่อี้เอินเคยเจอกับแบมแบมครั้งแรก หากแต่ไม่ใช่เพราะความโรแมนติคหรือต้องการระลึกความหลังใดๆ แต่เป็นเพราะแจ็คสันบอกว่ามันเหมาะจะแกล้งคนอื่น…
“ที่ตรงนี้นี่เจ๋งไปเลย! ฉันจะแสดงให้เห็นว่าฉันนี่ล่ะวายร้าย!” พูดก่อนจะหรี่ตาแบบวายร้าย ตั้งท่าจะแกล้งคนอื่น จินยองถึงกับกรอกตา
“จะแกล้งก็ได้ แต่อย่าแสดงตัวได้มั้ย ฉันขี้เกียจใช้วาจาสิทธิ์มาโน้มน้าวให้เขาเลิกโกรธนายแบบคราวที่แล้วอีก” บอกไปหรือยังว่าแจ็คสันเป็นพวกชอบประกาศศักดา แล้วไอ้การทำอย่างนั้นล่ะทำให้คนอื่นรู้ว่าใครเป็นคนทำ จินยองชอบพูดว่ามันเป็นการกระทำที่โง่เง่ามาก
“ได้ไงล่ะ! เวลานี้ล่ะ เวลาแห่งการโอ้อวด! เห็นมั้ยพ่อฉันยกนิ้วให้อยู่!” ทุกคนหันไปตามสายตาของหนุ่มหุ่นล่ำก่อนทั้งหมดจะพากันถอนหายใจอย่างเอือมระอา พอกันทั้งพ่อทั้งลูก
“งั้นเอาที่สบายใจเลย”
หนึ่งวินาทีต่อจากนั้น จินยองก็อยากถอนคำพูดเสียเหลือเกิน เพราะนอกจากแจ็คสันจะไม่เข้าใจว่าประชดแล้ว ยังคิดว่าส่งเสริม เขาเล่นแผลงฤทธิ์ด้วยการส่งจานขนมถ้วยหนึ่งพร้อมกระดาษโน้ตว่า ‘แด่คนที่สวยที่สุด’ ไปให้โต๊ะของเหล่าบุตรธิดาแห่งอโพรไดท์
“หายนะชัดๆ!” ร่างโปร่งอุทาน การทำอย่างนั้นไม่ต่างจากการก่อสงคราม เพราะธรรมชาติของเด็กพวกนั้นมักถือตนว่าหน้าตาดีที่สุดอยู่แล้ว ผิดกับเขาที่ผ่าเหล่าผ่ากอไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก เด็กพวกนั้นจะเถียงกันจนกว่าจะได้ผู้ชนะ
บุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์ถกเถียงกันจนกลายเป็นทะเลาะ พวกเขาเริ่มปาข้าวของ หนักข้อเข้าก็ใช้เวทมนตร์ ก่อความวุ่นวายไปทั่ว ใครมาห้ามก็ไม่สน ครั้นจะให้จินยองใช้วาจาสิทธิ์สั่งห้ามก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ผลกับบุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์ด้วยกันเอง
“สำเร็จ สำเร็จ!” แจ็คสันทำท่าดีใจก่อนจะค่อยๆลดท่าทางลงเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนๆ
“ไม่ตลก”
“เอาน่าจินยอง เดี๋ยวพอพวกเขาทะเลาะกันจนเหนื่อยก็คงเลิกเอง”
“ไม่มีทางล่ะ พวกเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะหาคนชนะได้”
“ นี่! นายเป็นคนที่หล่อที่สุดแล้วในงานนี้ ตอบมาว่าใครงดงามที่สุด!” จู่ๆก็มีคนถลาเข้ามาพูดกับอี้เอินที่นั่งจิบไวน์อยู่เงียบๆ จินยองจำได้ว่าเธอเป็นธิดาแห่งอโฟรไดธ์ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม ร่างสูงเปรยตามองเล็กน้อยก่อนจะหันไปสบตาด้วย
“ฉัน?” ถ้าชมเขาเรื่องความสามารถยังจะน้อมรับได้ง่ายกว่า
“ใช่น่ะสิ มีแต่คนจ้องนายกันทั้งนั้นแหละ ตอบฉันมา พวกเราจะได้กินขนมนี่กันสักที!”
อี้เอินเงียบไปชั่วครู่ ดวงตาคู่คมกวาดตามองบรรดาผู้เข้าชิงทั้งหลายอย่างพิจารณา ก่อนจะยกยิ้มน้อยๆเมื่อหาคนที่ดูดีที่สุดได้ มือใหญ่เอื้อมไปหยิบจานขนม ก่อนจะยื่นให้กับผู้ชนะ
“ห๊ะ!?” ผู้ชนะอุทานเล็กน้อยท่ามกลางสายตาแตกตื่นของบุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์ ก็คนที่อี้เอินให้ดันเป็นแบมแบม บุตรแห่งซุสซะนี่!
“ก็สำหรับฉัน นายดูดีที่สุดแล้ว” ดวงตาสีทองงดงามจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีพายุของร่างบาง คนถูกจ้องกระพริบตาถี่ๆก่อนจะหลบสายตา
“แต่ฉันไม่ใช่บุตรแห่งอโฟรไดธ์”
“เธอก็ไม่ได้บอกให้เลือกจากบุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์นี่ถูกไหม” อี้เอินหันไปถามตัวตน
เหตุพร้อมกับวาดยิ้มที่ละลายหัวใจผู้พบเห็นให้
“อะ เอ่อ ใช่ ขนมชิ้นนี้เป็นของนายแล้ว กินให้อร่อย” เธอเอ่ยบอกพร้อมกับล่าถอยออกไป เกิดเสียงบ่นเสียดายกันเบาๆ หากแต่อี้เอินไม่ได้ใส่ใจนัก ร่างสูงหันกลับมาหาผู้ชนะของเขา
“ทำไมไม่กินล่ะ” แบมแบมขมวดคิ้วก่อนจะหันไปสบตา
“นายโกง” ร่างสูงหัวเราะเบาๆ
“เขาถามไม่รอบครอบเอง”
ร่างเล็กส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ หากแต่เลื่อนจานขนมเข้ามาใกล้ มือเล็กค่อยๆตักขึ้นมาชิมอย่างช้าๆ โดยมีสายตาของอี้เอินคอยทอดมองดูอยู่ แบมแบมอาจไม่ใช่คนที่ดูงดงามที่สุดหากเทียบกับบุตรธิดาแห่งอโฟรไดธ์ ทว่าดวงตาสีเทาพายุคู่นั้นที่เหมือนจะพัดพาทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้องมองเข้าสู่ความลุ่มหลง จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่อวบอิ่มสวยที่สุดสำหรับโลกของร่างสูง
“นายไม่กินด้วย…..ม มองอะไรน่ะ” ร่างบางเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ นึกอยากให้มีคนมาอยู่ด้วยข้างๆเพื่อลดความเขินอาย แต่ครั้นจะหันไปพึ่งเพื่อนๆก็สายไปเสียแล้ว ทุกคนลุกเดินออกไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
“ฉันแค่ไม่คิดว่าจะมีวันที่ได้นั่งมองนายกินเค้กในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่งอย่างนี้” ร่างบางอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“แต่มันก็มีแล้วนี่” อี้เอินยิ้มละมุน
“นั่นสิ” เสียงทุ้มดังขึ้นด้วยน้ำเสียงราวกับตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาคู่คมยังคงทอดมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายไม่วางตา มือที่ว่างอยู่ตักเค้กป้อนให้อีกคนช้าๆ แต่อนุภาพของกลับรุนแรงถึงระดับเล่นก่อการร้ายกับหัวใจคนถูกกระทำให้เต้นโครมครามจนแทบดังออกมานอกอก
“นี่” แบมแบมส่งเสียงประท้วงเบาๆ ไอ้จ้องกันนี่มันก็ชวนให้เขินอยู่หรอก แต่มากๆเข้าเขาชักจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนะ! “อย่าจ้องกันขนาดนี้สิ” แล้วคนที่พยายามจะต่อกรกับผู้ก่อการร้าย(ทางหัวใจ)ก็ตอกกลับไปอย่างน่ากลัวด้วยการพึมพำใส่เค้กที่ถูกป้อนมา เพราะไม่กล้าพอจะหันไปสบตาด้วย เรียกเสียงหัวเราะจากร่างสูงให้ยิ่งนึกสนุก
“น่ารัก…” ถึงคราวนี้แบมแบมอยากตัวระเบิดแล้ว! ร่างบางเผลอหันไปสบตากับอีกฝ่ายด้วยความตกใจ แล้วเสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็รู้ได้ทันทีว่าพลาด! พลาดมหันต์!
อี้เอินกำลังนั่งเท้าคางมองเขาด้วยแววตาเจ้าเล่ห์นั่น รอยยิ้มทรงเสน่ห์ เชื่อเขาเถอะว่าต่อให้จับลูกหลานของเพอร์ซิโฟเน่ที่หัวใจด้านชามานั่งอยู่ตรงนี้ยังไงก็ต้องหลงเสน่ห์ผู้ชายคนนี้แน่
“มองอยู่นั่นล่ะ” คำพูดของร่างบางเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายเบาๆก่อนที่มือแกร่งจะรั้งข้อมือบาง
“มานี่ด้วยกันหน่อยสิ” เอ่ยบอกอย่างไม่ต้องการคำตอบพร้อมกับจูงมืออีกคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากงานท่ามกลางเสียงตะโกนโหวกเหวกของแจ็คสันก่อนที่เขาจะถูกทำให้เงียบไปด้วยฝ่ามือพิฆาตของจินยอง
“ปล่อยเขาได้สวีทกันหน่อยน่า”
“อ้าวว แต่ว่า”
“เชื่อฉันสิแจ็คสัน” แจบอมตัดบทพร้อมกับลอบยิ้มขำขณะที่แผ่นหลังของเพื่อนทั้งสองหายลับเข้าไปในสวนเขตหวงห้ามของโอลิมปัส
“ที่นี่มัน…” แบมแบมกวาดตามองไปรอบๆ ภาพความทรงจำครั้งเยาว์วัยค่อยๆย้อนกลับมา
“จำที่นี่ได้มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามขณะที่กวาดตามองไปรอบๆ
“ได้สิ ตอนเด็กๆฉันชอบมาเล่นที่นี่มาก แต่….นายก็เคยมาที่นี่ด้วยหรอ” เอ่ยถามอย่างสงสัย เท่าที่เขารู้สวนนี้เป็นสวนหวงห้าม ร่างสูงยิ้มอย่างเป็นต่อน้อยๆก่อนจะผายมือให้อีกคนทรุดนั่งลงที่ชิงช้าแล้วออกแรงแกว่งเบาๆ
“มันเป็นที่แรกที่เราได้เจอกัน”
“อะไรนะ” ร่างบางเอี้ยวหลังกลับมามองด้วยความตกใจ อี้เอินดันหลังเบาๆเป็นเชิงบอกให้หันกลับไป ขณะที่ริมฝีปากขยับเอือนเอ่ยเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงชวนฝันช้าๆ
“นายคงไม่รู้ตัวหรอกว่าเจอฉัน ตอนนั้นพวกเรายังเด็กกันมาก ฉันแอบมาที่สวนนี้ หลบอยู่ตรงพุ่มไม้ แอบมองนายที่กำลังเล่นสนุก นายทั้ง….สดใส ร่าเริง เป็นเหมือนความมีชีวิตชีวาแรกที่คนอย่างฉันเคยรู้จัก นายต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าตอนนั้นฉันรู้สึกยังไง”
“นาย…รู้สึกยังไงหรอ” แบมแบมรู้เลยว่าตอนนี้แก้มของเขาต้องแดงเป็นลูกตำลึงสุกแน่ๆ ร่างสูงลดแรงไกวชิงช้าลงช้าๆ ขายาวก้าวมาหยุดอยู่ข้างหน้าร่างบางพร้อมกับย่อตัวลงให้ดวงตาอยู่ระดับเดียวกัน
“ตอนนั้นฉันรู้สึกยังไงน่ะหรอ ฉันก็…” ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย ตราตรึงทุกความรู้สึกไว้ด้วยสายตาทรงเสน่ห์ และหยุดลมหายใจด้วยถ้อยคำนุ่มละมุนที่ขยับออกจากริมฝีปาก
“ตกหลุมรักนายตั้งแต่ตอนนั้น” หัวใจของแบมแบมเต้นรัวราวกับกลอง ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับแก้มจะระเบิด และโดยแทบไม่รู้ตัว เขากำลังยิ้มอย่างเขินอาย ร่างสูงค่อยๆกุมมือเขาเบาๆ หากแต่แนบแน่นและมั่นคง
“ที่ผ่านมาฉันอ่อนแอให้ความแค้นนำทางตัวเองจนลืมความรู้สึกนั้นไป ฉันทำไม่ดีกับนาย ทำร้ายนาย ทำให้นายเสียใจ ฉันไม่ขอให้นายยกโทษให้ฉัน ไม่ขอให้ลืมด้วย แต่ฉัน….” นัยน์ตาคู่คมจับจ้องอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่
“ขอดูแลนายจากนี้ตลอดไปได้มั้ย” แบมแบมนิ่งไปชั่วขณะทันทีที่ได้ยิน หัวใจเต้นรัวกว่าที่เคย ความดีใจแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของความรู้สึก
“นี่นายกำลังขอคบอยู่ใช่มั้ยน่ะ” อี้เอินยิ้มพร้อมกับยักไหล่กวนประสาทน้อยๆ
“ว่างๆน่ะเลยอยากดูแลใครสักคน” ร่างบางหัวเราะขบขันก่อนจะหันไปสบตาด้วย
“ถ้างั้นก็อย่าทำให้เสียใจอีกแล้วกัน” แล้วคำพูดทุกอย่างก็ถูกปิดด้วยริมฝีปากของร่างสูง จุมพิตบางเบาถูกมอบให้ โดยไร้การจาบจ้วง เอาแต่ใจ และรุกราน มีเพียงความหอมหวานของห้วงความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดให้กันอย่างเชื่องช้าและเนิ่นนาน ท่ามกลางแสงสีสันสดสวยของพลุเวทมนตร์ที่สว่างวาบขึ้นบนท้องฟ้า
“ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทำให้นายเสียใจอีก” กระซิบชิดริมฝีปากก่อนที่ร่างบางจะคลี่ยิ้มแล้วยกแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่าย
“นายบอกแล้วนะ” แล้วพวกเขาก็จุมพิตกันอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความโหยหาและซาบซ่าน กลีบปากดูดดึงเข้าเคล้นคลึง เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดแลกสัมผัส รสจูบซาบซ่านแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของหัวใจขณะที่ผืนฟ้าเบื้องบนก็สว่างวาบด้วยพุลหลากสี และรอบกายที่หมู่มวลดอกไม้พร้อมใจกันเบ่งบานเฉลิมฉลองความรักของคนทั้งสอง
“เห็นมั้ยฉันบอกแล้วว่าเขาต้องลงเอยกัน!” เสียงกระซิบกระซาบดังมาจากพุ่มไม้พุ่มหนึ่งที่ห่างออกไปไม่ไกล มีดวงตาสามคู่กำลังลอบมองอยู่ตรงนั้น
“แบมแบมไม่เล่นตัวเลย แบบนี้ไม่สนุกเล้ย โอ้ย!” แจ็คสันรีบกุมศีรษะ จินยองดันเล่นเขกลงมาแบบไม่ยั้งมือเลยสักนิด
“เกลียดกันมาทั้งชาติแล้ว ให้เขารักกันมั่งเหอะ!”
“ไม่เล่นกับป้าแล้ว!” บอกอย่างขุ่นเคืองก่อนจะหุนหันเดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย จินยองตั้งท่าจะหันไปตะครุบปากอีกคนที่ชอบทำเสียงดังไม่ดูสถานการณ์ ทว่าใบหน้ากลับอยู่ใกล้แจบอมที่ถูกแจ็คสันผลักมาหาในระยะปลายจมูกแตะชนกันอย่างไม่ตั้งใจ
“เอ่อ…” ร่างโปร่งพึมพำอย่างทำอะไรไม่ถูกก่อนจะเอ่ยบอกอย่างตัดช่องน้อยแต่พอตัว
“ขอตัวก่อนนะพอดีนึกได้ว่าต้องไปปาร์ตี้กับพวกญาติๆ”
“นายชอบไปเจอพวกเขาซะที่ไหนกันล่ะ” ฝ่ามือแกร่งรั้งอีกฝ่ายไว้พร้อมกับกระตุกให้เข้ามาหา จินยองเหลือบตาลอกแลกไปมาอย่างประหม่า “ไม่สนใจอยากมีคนดูแลไปตลอดชีวิตแบบเขาบ้างหรอ”
จินยองหน้าแดงระเรื่อ พวงแก้มซับสีเลือดจนน่าหงุดหงิด ร่างโปร่งรีบเบือนหน้าไปทางอื่น กลบเกลื่อนความเขินอายด้วยความหงุดหงิด
“ป่านนี้แล้วเพิ่งจะมาขอนะ”
“แล้วยอมไหมล่ะ”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่” แจบอมคลี่ยิ้มก่อนที่มอบจุมพิตอันหอมหวานให้อีกฝ่าย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาเองก็ถูกสายตาของอี้เอินและแบมแบมลอบมองอยู่เหมือนกัน
“ดูเหมือนวันนี้ก็จะมีคนคบกันเหมือนกับพวกเรานะ” ร่างสูงพูดติดตลกก่อนที่พวกเขาจุมพิตกันอีกครั้งโดยที่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่รู้เลยว่าถูกลอบมองอยู่จากเทพีอะโฟรไดธ์ เทพีแห่งความรัก…
ความรักไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นขึ้นอย่างสวยงาม
มันอาจผลิดอกและเบ่งบานจากความสงสาร ความอาธร หรือแม้กระทั่งความแค้น
หากแต่คำถามคือ จักทำอย่างไรให้มันเติบโตต่อไป
.
.
.
คำตอบนั้นคือการให้อภัยซึ่งกันและกัน
มันอาจผลิดอกและเบ่งบานจากความสงสาร ความอาธร หรือแม้กระทั่งความแค้น
หากแต่คำถามคือ จักทำอย่างไรให้มันเติบโตต่อไป
.
.
.
คำตอบนั้นคือการให้อภัยซึ่งกันและกัน