0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

ทะเลมาร์คแบม Spe 1

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

0ctogus

0ctogus
Admin

ตามปกติของเหตุการณ์ในนิยายหลังเรื่องวุ่นวายดำเนินมาถึงจุดจบมักจะสวยงามชวนฝันและสมบูรณ์แบบอยู่เสมอ และแน่นอนเรื่องของแบมแบมและมาร์คก็เป็นเช่นนั้น พวกเขาเลือกที่จะไปเที่ยวด้วยกันในช่วงวันหยุดยาวของโรงเรียนที่เวลล์ เพราะเป็นที่ที่มาร์คเคยใช้ชีวิตอยู่ช่วงหนึ่ง แบมแบมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ตามจริงแล้วเขาแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรของอีกฝ่ายเลย ทั้งเรื่องในอดีต ของที่ชอบและไม่ชอบ กิจกรรมที่โปรดปราน สถานที่ที่ชอบไป หรือแม้แต่อุปนิสัยเนื้อแท้ของเจ้าตัว เพราะเวลาที่อยู่ด้วยกันส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการทรมานซึ่งกันและกัน จนบางที…..เขาก็แอบเสียดายไม่ได้



เวลล์เป็นเรื่องราวแรกที่สะกิดใจเขาให้ใคร่รู้เรื่องราวของอีกฝ่าย เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับนรก อาณาจักรแห่งคนตายเลยสักนิด ที่นี่คือตัวแทนแห่งการมีชีวิต ผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่ปูพรมทางเดินด้วยมอสสีเขียวแทรกด้วยไม้ดอกต้นเล็กๆที่ผลิบานความสวยงามอย่างอ่อนน้อมไม่คิดแข่งขันกับบรรดาดอกไม้สีสวยที่ชูช่อกันแต่งแต้มผืนป่า ลำธารใสสะอาดดังกระจกจนสามารถมองเห็นฝูงปลาแซลมอนที่แหวกว่าย เหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งกระรอกหางพวงนุ่มฟูสีน้ำตาลเข้มที่คอยวิ่งหาลูกสนไปตามพื้นหลังฝนตกใหม่ๆ หรือหมู่กวางที่มีเขาสวยงามเยื้องย่างอย่างสง่างามไปตามฝืนป่า แม้แต่สุนัขป่านักล่าก็ยังคงงดงามด้วยขนสีรัตติกาล ร่างกายกำยำหนั่นเนื้อ เขาได้เห็นมันเพียงแวบเดียวตอนที่เพิ่งมาถึง ที่นี่งดงามและมีชีวิตเสียจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าบุตรแห่งฮาเดสจะเคยอาศัยอยู่ที่นี่


“คิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นขณะที่เขากำลังนั่งทอดสายตามองผืนป่าอยู่ที่ริมระเบียง มันเป็นน้ำเสียงที่พักหลังๆนี้เขาได้ยินจนชินผิดกับเมื่อหลายเดือนก่อนที่มักจะได้รับแต่เสียงกรรโชก



ร่างสูงคนกาแฟที่เพิ่งชงมาร้อนๆ กลิ่นหอมกรุ่นละคลุ้งไปกับกลิ่นสดชื่นของผืนป่าเบื้องหน้าขณะที่ทรุดนั่งยังเก้าอี้ไม้ข้างๆเขา ดวงตาคู่คมทอดมองมาที่เขาด้วยสายตาอบอุ่น ภาพคนตรงหน้าที่ถูกโอบล้อมด้วยบรรยากาศสบายๆและความมีชีวิตชีวาของผืนป่าแห่งเวลล์ยิ่งทำให้ตะกอนความคิดในจิตใจฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง



“แค่กำลังคิดว่าฉันแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับนายเลย” เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงปกติ อี้เอินหัวเราะน้อยๆตอนที่ได้ยินก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบช้าๆ


“เพราะที่ผ่านมาฉันไม่คิดให้นายรู้”


“กำลังจะบอกว่าเมื่อก่อนคิดจะแก้แค้นอย่างเดียวสินะ” ร่างบางพูดติดตลก


“ใช่” อี้เอินตอบตามจริงจนแบมแบมอดรู้สึกแทงใจดำไม่ได้ ร่างบางทอดสายตาออกไปไกลก่อนจะเอ่ยถาม


“บางทีฉันก็อยากรู้นะ ว่าทำไมถึงต้องทำกันขนาด เวลาที่นายทำร้ายฉันนายกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว นายรู้สึกยังไง สะใจ สนุก หรือทั้งหมดนั่นเลย” ร่างบางหันมาถาม อี้เอินส่ายหน้าช้าๆ


“ไม่ใช่ทั้งสอง”


“หื้อ หมายความว่ายัง”


“ฉันเจ็บปวด” คำพูดเพียงคำพูดเดียวแต่กลับหยุดทุกคำพูดของแบมแบมเอาไว้ อี้เอินไม่ได้แสดงท่าทีทุกข์ทรมาน ใบหน้านั้นยังคงเรียบเฉย หากแต่แววตาที่มองมาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและร้องขอการให้อภัย


“นายไม่สามารถทำเป็นไม่รู้สึกอะไรตอนที่เรากำลังทำร้ายคนที่เรารักได้หรอก”


“………..”


“ฉันพยายามลืมความรู้สึกที่เคยมีต่อนาย บอกตัวเองว่ายังไงซะนายก็คงไม่สนใจลูกของเทพองค์ที่สิบสามอย่างฉันหรอก ใครจะอยากมารักกับคนของความตาย ฉันหลอกตัวเองว่าที่ทำอยู่นี้มันถูกต้องแล้ว นายสมควรโดนแล้ว” ฝ่ามือแกร่งเลื่อนกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ แม้จะได้รับการให้อภัยแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึกวูบโหวงภายในใจ กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะเสียใจ


“…พูดต่อเถอะ ฉันอยากเข้าใจนายมากขึ้นบ้าง” ร่างบางแย้มยิ้ม เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาจะโกรธหรือยังติดใจเรื่องนั้นอยู่ เพราะถ้าจะคบกันต่อไปเขาก็จำเป็นที่จะต้องเข้าใจตัวตนอีกฝ่าย


“ทุกๆครั้ง” ร่างสูงเว้นช่วง นัยน์ตาคู่คมมองออกไปไกลยังผืนป่ากว้างขวาง “ก่อนที่ฉันจะทำร้ายนาย ฉันเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอด ฉันควรทำแบบนี้หรอ นั่นคือสิ่งที่ฉันเลือกจริงๆหรอ ฉันทำเพื่ออะไร ฉันควรจะเดินต่อไปใช่มั้ย ฉันถามตัวเองเป็นร้อยๆรอบ แต่สุดท้ายก็เลือกทำตามที่สมองสั่งมากกว่าหัวใจ”


“……..”


“เวลาเห็นนายเจ็บปวดฉันก็เจ็บ อยากเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ อยากคว้าเข้ามากอดแล้วพร่ำพูดว่าขอโทษซ่ำๆ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะมือคู่นี้ มือคู่ที่อยากปลอบนาย……คือคู่ที่ทำให้นายมีน้ำตา” ดวงตาคู่คมก้มมองฝ่ามือของตัวเองก่อนจะยิ้มอย่างเจ็บปวด ร่างบางบีบฝ่ามือของเขาเบาๆก่อนจะวาดยิ้มบางๆเพื่อคลายบรรยากาศ


“ตอนนี้นายก็กอดฉันได้แล้วนี่” นิ้วเล็กสอดประสานกับมืออีกฝ่าย ร่างสูงรั้งร่างบางมากอดเอาไว้


“ขอบคุณที่ยังอยู่กับฉัน” อี้เอินจูบซับไรผมอีกคนอย่างถนุดถนอม คิดถึงเรื่องราวทั้งหมด เขาทั้งทรมาน ทั้งทำร้าย ทั้งขืนใจ กดขี่และข่มเหงจนร่างเปราะบางนี้ปลิดชีพตนเอง มอบวิญญาณให้กับมัจจุราชเพื่อหวังดับปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น


เขามันชั่ว…

ชั่วช้าจริงๆ


“ฉันขอโทษที่ทำร้ายมาตลอด ฉันขอ”คำพูดทุกอย่างถูกหยุดด้วยกลีบปากบางที่มอบจุมพิตบางเบาไร้การลุกล้ำราวกับต้องการจะปลอบประโลมอีกฝ่ายให้คลายจากการโทษตัวเอง มือบางลูบไล้แก้มกร้านอย่างเบามือพร้อมกระซิบคำหวานชิดริมฝีปาก


“มันผ่านไปแล้ว ฉันไม่ได้โกรธอะไรนายอีกแล้ว” แววตาอาทรและการุณถูกส่งมาให้อี้เอิน ร่างสูงวาดยิ้มบางๆพร้อมกับวางมือทาบกับมืออีกฝ่ายที่ลูบแก้มของเขาอยู่


“ขอบคุณนะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกอีกคนจากใจจริง ร่างบางยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะพูดเพื่อคลายบรรยากาศ


“อย่างน้อยฉันก็รู้จักนายเพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งแล้ว แล้วนี่....” พูดพร้อมกับหันไปมองวิวทิวทัศน์รอบๆ “นายเคยบอกไม่ใช่หรอว่าเคยอยู่ที่นี่มาก่อน ฉันยังไม่รู้เลยว่าทำไมคนที่ชอบความตายอย่างนายถึงได้มาอยู่ในที่มีชีวิตอย่างนี้” ร่างสูงวาดยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะตอบ


“ความจริงแล้วฉันชอบชีวิตมากกว่า”


“หื้ม???” เลิกคิ้วด้วยความทึ่ง ตั้งแต่คุยกันมาผู้ชายคนนี้มีเรื่องให้เขาทึ่งได้ตลอด เหตุใดกันเจ้าชายแห่งความตายอย่างอี้เอินถึงได้ชื่นชอบการมีชีวิตมากกว่าการมอดม้วย อี้เอินที่เห็นสีหน้าอย่างนั้นของแบมแบมก็ถึงกับหัวเราะเบาๆก่อนที่จะเริ่มเล่า


“ตอนฉันยังเด็ก ฉันชอบความตายมากกว่าการมีชีวิต ฉันมีความสุขที่เห็นเหล่าคนตายเข้ามาในนรกมากขึ้น เหมือนเวลาเด็กๆได้เพื่อนเล่นใหม่ จนพ่อเริ่มรู้สึกว่าต้องดัดนิสัยของฉันให้รู้จักคุณค่าของชีวิตบ้างแล้ว”


“อี้เอิน หัวใจของความตายมิใช่การสิ้นชีพ แต่มันคือคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ หากเจ้ายังรื่นเริงอยู่กับการเสียชีวิตของสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ล่ะก็ ข้าคงต้องส่งเจ้าไปดัดนิสัยเสียแล้ว”


“ไม่เอาท่านพ่อ! ผมไม่ไป ผมไม่ไป ความตายคือสิ่งดีไม่ใช่หรอ ทำไมต้องส่งผมไปดัดนิสัยด้วย” เขาในตอนนั้นงอแงเถียงคอเป็นเอ็นใส่ผู้เป็นพ่อ


“เจ้ามิอาจเป็นคนของความตายได้หากไม่เข้าใจคความตาย ข้าจะพาเจ้าไปอยู่กับผู้ที่รู้คุณค่าของชีวิตมากที่สุด” เทพเจ้าเดินเข้ามาหา ฝ่ามือใหญ่รั้งแขนลูกชายเอาไว้พร้อมกับที่ประตูแห่งเงาถูกเปิดออก อี้เอินตะโกนโหวกเหวก พยายามขืนตัวไม่ยอมเข้าไปข้างในด้วย


“ผมไม่ไป! ผมจะอยู่ที่นี่! ท่านพ่อปล่อยผม ปล่อยผม!”


“เจ้านี่ช่างดื้อแพ่งเหมือนข้าตอนเยาว์วัยเสียจริง” แล้วแสงสีดำก็ดูดกลืนพวกเขาเข้าไปในอุโมงค์เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่แสงสว่างและกลิ่นไอแปลกประหลาดที่อี้เอินไม่เคยพบเจอทว่ากลับรู้สึกสดชื่นอย่างน่าประหลาดจะทักทายพวกเขาจากอีกฟากหนึ่งของปลายอุโมงค์



ฮาเดสพาเขามายังบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่อี้เอินเคยเห็น เด็กน้อยหันมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น ที่นี่ไม่มีอะไรเหมือนกับสวนดอกไม้อัญมณีของเพอร์เซโฟเน่แม่เลี้ยงของเขาเลยสักนิด มันสวยงามกว่า น่าทึ่งมากกว่า และเต็มไปด้วยความสดชื่น อี้เอินวาดยิ้มน้อยๆก่อนที่จะทันรู้สึกตัวได้ว่าเขาควรจะโกรธพ่อ เขาไม่ควรยินดีที่ถูกพามาที่นี่


“ท่านพาผมมาที่นี่ทำไม” กอดอกทำหน้าบึ้ง ดวงตาคมจ้องผู้เป็นพ่อเขม็งจนฮาเดสส่ายศรีษะด้วยความขบขัน


“มาพบกับอาจารย์ที่จะสอนคุณค่าของความตายให้เจ้าน่ะสิ”


“อาจารย์???”


“อ้าว มากันแล้วหรอ มาๆ เข้ามาข้างในก่อนสิ”เสียงบุคคลที่สามดังมาจากในบ้านพร้อมกับการปรากฏตัวของเขา อี้เอินเลือดแทบขึ้นหน้าทันทีที่ได้เห็น สิ่งมีชีวิตหน้าตาประหลาด ครึ่งบนเป็นชายครึ่งล่างยืนสองขาเหมือนแพะ ที่มือถือขลุ่ยเพียงออ ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำต้นหญ้าและดอกไม้เล็กๆจะผลุดขึ้นมา ยามเมื่อเดินผ่านสิ่งมีชีวิตที่ไหนพื้นที่เหล่านั้นก็จะเติบโต นี่มันเทพแห่งผืนป่า แพนคนนั้นนี่!!!


“ผมไม่เรียนกับเจ้าแพะนี่!!!” อี้เอินชี้ไปที่แพนอย่างโกรธเกรี้ยว ฮาเดสถลึงตาใส่ลูกชายให้สำรวมกริยา


“ข้ามั่นใจว่าคนของความตายไม่มีมารยาทต่ำทรามเช่นนี้นะอี้เอิน!”


“ไม่ต้องดุเขาหรอกฮาเดส ข้าก็เป็นแบบนั้นจริงๆนี่ ใช่มั้ยเจ้าหนู” เทพแห่งผืนป่าเอ่ยบอกอย่างใจดี พร้อมกับย่อตัวคุยในระดับเดียวกัน เขายิ้มกว้างเสียจนดวงตารวมเป็นขีดเดียว ท่าทางเป็นมิตรอย่างนั้นยิ่งทำให้อี้เอินหัวเสีย


“ผมไม่ใช่เจ้าหนู ผมโตแล้ว!”


“ฮ่ะฮ่ะ แน่นอน แน่นอน เจ้าโตแล้ว เจ้าโตมากพอจะเป็นจ่าฝูงของลูกหมาป่าได้” แพนหัวเราะอย่างชอบใจ อี้เอินโกรธเลือดขึ้นหน้า ตั้งท่าจะใช้พลัง ทว่ากลับถูกฮาเดสหยุดไว้ได้เสียก่อน เทพเจ้าเดินเข้ามาแทรกระหว่างทั้งสองเอาไว้ก่อนจะเริ่มคุยถึงจุดประสงค์ที่พาลูกชายขี้โมโหของตัวเองถ่อมารบกวนเทพเจ้าผู้รักสงบที่สุดองค์หนึ่งในโอลิมปัสถึงที่นี่


“ข้าอยากให้ท่านช่วยสอนคุณค่าของชีวิตให้กับลูกชายของข้า เทพแพน หลายปีมานี้ข้าไม่สบายใจที่เห็นเขารื่นเริงยามที่มีคนตายเข้ามาในอาณาจักรข้า” ฮาเดสเอ่ยบอกแพนที่กำลังเดินไปหยิบเหยือกน้ำว่างเปล่า ก่อนที่เทพเจ้าจะรองมันใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง น้ำเปล่าบริสุทธิ์ไหลลงมาจากใบไม้


“เป็นธรรมดาของเด็กที่ถูกเลี้ยงมาในนรก เจ้าอย่ากลุ้มไปนักเลย”


“มีเพียงเจ้าที่จะสอนคุณค่าของชีวิตให้เขาได้” ฮาเดสพูดขึ้น แพนเสกแก้วน้ำที่ทักทอขึ้นมาจากเถาวัลย์และใบไม้ออกมาวางให้พวกเขาทั้งสองก่อนจะรินน้ำให้ อี้เอินสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ดื่มมันเด็กขาด


“ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้เป็นอาจารย์คนแรกของบุตรแห่งเจ้า ในผืนป่านี้มีเรื่องสนุกๆให้เขาได้เรียนรู้อีกเยอะแยะ” เทพแห่งผืนป่าเอ่ยบอกอย่างอารมณ์ดี ดวงตาของเขาเปร่งประกายยามพูดถึงป่า


“ถ้าเช่นนั้น ขอฝากลูกชายข้าเอาไว้ด้วย ข้าจะมารับเขาหลังจากที่ท่านสอนสำเร็จแล้ว” เอ่ยบอกพร้อมกับโค้งศีรษะเป็นเชิงบอกลา อี้เอินพยายามคว้าผู้เป็นพ่อไว้


“ไม่เอาท่านพ่อ! พาผมกลับไปด้วย ผมจะไม่เรียนกับลุงแพะนี่!”


“เจ้าต้องอยู่ที่นี่” ประตูแห่งเงาถูกเปิดออก อี้เอินโวยวายลั่น


“ผมไม่เรียน! ผมจะกลับบ้าน ชีวิตมันไม่มีค่า ความตายสิดีที่สุด!!!” แล้วเขาก็มารู้ตัวในภายหลังว่าคำพูดนั้นช่างโง่เขลาเสียจริง…


“แล้วเจ้าอาจไม่พูดเช่นนี้อีกเมื่อกลับมา” แล้วฮาเดสก็หายลับไปจากตรงนั้น



“บอกตามตรงเลยว่าตอนนั้นฉันหัวเสียมาก เป็นเรื่องตลกที่อาจารย์คนแรกของบุตรแห่งฮาเดส เทพเจ้าแห่งคนตายคือแพน เทพแห่งผืนป่า การมีชีวิตคนนั้น ฉันล่ะเชื่อท่านพ่อเลยจริงๆ” ร่างสูงเล่าไปก็หัวเราะไปด้วยเมื่อคิดถึงอดีต


“ไม่คิดว่าตอนเด็กๆนายจะขี้โมโหเลยนะ แล้วเรื่องเป็นยังไงต่อ เทพแพนสอนายยังไงหรอ ฉันอยากรู้แล้ว”


“ใจร้อนๆจริงนะ” อี้เอินหัวเราะเบาๆก่อนจะพูดต่อ “หลังจากนั้นแพนก็ให้ฉันเป็นผู้ติดตามของเขา พาฉันไปทุกที่ที่เขาไป ทั้งเสกต้นไม้ให้เติบโต รักษานางไม้ที่บาดเจ็บจากการถูกพวกมนุษย์ทำลายต้นไม้ หรือไปให้พรตอนที่เหล่าสัตว์ป่ากำลังคลอดลูก ฉันยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดีเลย ขาเล็กๆที่ค่อยๆออกมา มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก ถึงตอนแรกๆฉันจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับแพนมากพอตัวก็เถอะ”


“ทำไมต้องไปนั่งดูสัตว์คลอดลูกด้วย! มันช่วยให้เข้าใจความหมายของชีวิตยังไง! ผมไม่ไปด้วยหรอก!”อี้เอินกอดอกเถียงอย่างไม่พอใจเมื่อช่วงเช้าวันนี้แพนบอกเขาว่ากำลังจะมีแม่หมาป่าตกลูกด้วยท่าทางดีอกดีใจเสียเต็มประดา ผิดกับเขาที่อยากได้ยินว่ามีสัตว์ป่ากำลังจะตายมากกว่า


“เจ้าลูกหมาป่า เจ้าไม่อยากได้เพื่อนเสียหน่อยหรือ ลูกหมาป่าตัวนี้จะเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าได้”แพนก็ยังคงพูดด้วยท่าทางใจดี แม้ว่าตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาจะทำตัวไม่น่ารักกับเทพเจ้าเลยก็ตาม


“ผมไม่ต้องการเพื่อน! ผมจะกลับบ้าน”


“แน่นอน แน่นอน ข้าให้เจ้ากลับ หลังจากที่เจ้าตอบคำถามข้าได้แล้วว่าชีวิตคืออะไร” เอ่ยถามขณะที่เสกดอกไม้ในแจกันที่ตั้งอยู่กลางบ้านให้ผลิบาน


“ผมไม่รู้!!”


“ฮ่ะฮ่ะ งั้นก็ไปกันเถอะเจ้าลูกหมาป่า ลูกหมาป่าใกล้คลอดแล้ว” แพนหัวเราะร่าขณะที่ออกเดินนำออกไปจากบ้าน



เมื่อมาถึงเหล่าฝูงหมาป่าที่กำลังรายล้อมแม่หมาป่าท้องแก่เอาไว้ก็แหวกทางให้แพนและอี้เอินเดินเข้าไปหา นางกำลังส่งเสียงอวดครวญอย่างทรมาน เมื่อลูกรักที่ควรจะออกมาลืมตาดูโลกได้แล้วกลับยังไม่คลอดออกมาเสียที จ่าฝูงสามีของนางเริ่มกระสับกระส่าย พาลให้ทั้งฝูงรู้สึกกังวลไปด้วย เพราะสำหรับสัตว์ป่าสถาณการณ์เช่นนี้เสี่ยงต่อชีวิตมาก หากลูกยังไม่คลอด นั่นหมายความว่าแม่จะต้องตาย…


“ชู่ว์ ไม่เป็นอะไร เธอจะต้องคลอดเขาออกมาได้” แพนย่อตัวลูบศีรษะปลอบประโลมเธออย่างเบามือ อี้เอินที่อยู่ด้านหลังพยายามชะเง้อมอง


“ลูก ลูกของข้า เขายังไม่ตายใช่มั้ย เด็กคนนั้น…..ไม่ได้กำลังมารับเขาไปใช่มั้ย” แม่หมาป่าตัวนั้นกระซิบถามแพนอย่างอ่อนแรง ขณะที่มองไปที่อี้เอิน เด็กน้อยสบตากับเธออย่างเหรอหรา หลังจากแพนสอนภาษาสัตว์มากว่าสองอาทิตย์ แน่ชัดแล้วว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไรนัก


“เขาไม่ได้มาเพื่อรับวิญญาณของลูกเจ้าหรอก เขาแค่ผู้ติดตามข้า เจ้าเบ่งอีกนิดนะ เบ่งให้สุดแรงที่เจ้ามี” เทพเจ้าเอ่ยบอก ก่อนที่แม่หมาป่าจะพยายามออกแรงเบ่งอย่างสุดชีวิต นางทั้งกรีดร้อง ทั้งตระกรุยผืนดิน ขาเล็กๆของลูกหมาป่าค่อยๆโผล่พ้นออกมา เทพแพนคอยพูดให้กำลังใจเธอ เธอฝืนใจเบ่งออกมาสุดแรงก่อนที่ร่างเล็กๆของลูกหมาป่าจะคลอดออกมา


ทว่า…

ไร้การขยับ


“ลูก้าร์….” เทพแห่งผืนป่าหันไปสบตากับแม่หมาป่าด้วยแววตาเป็นกังวล นางรับรู้ได้ทันทีถึงความผิดปกติ หัวใจของนางสั่นระริก นางค่อยๆย่างก้าวมาหาลูกรัก พยายามๆใช้จมูกดันให้ลูกยืนขึ้น สัตว์ป่าแรกเกิดที่ไม่ลุกขึ้นยืน นั่นหมายถึงว่ามันจะไม่มีชีวิตรอด อี้เอินลอบยิ้มที่เริ่มสัมผัสได้ถึงความตาย และตั้งท่าจะเข้าไปแสดงความยินดี ทว่า…


“ลูกแม่ ลูกแม่ ลุกขึ้นมาสิ ลุกขึ้นมา” แม่หมาป่ากรีดร้อง นางพยายามปลุกให้ลูกลุกขึ้น ท่าทางกระสับกระส่ายบอกอี้เอินว่านี่คือความเศร้า


“ลูก้าร์ ใจเย็นๆก่อน เรายังมีลูกด้วยกันอีกได้”จ่าฝูงเข้ามาปลอบเธอ หากแต่แม่หมาป่าไม่คิดฟัง นางยังคงดันให้ลูกลุกขึ้น หยาดน้ำตาของสิ่งมีชีวิตน่าเกรงขามค่อยๆไหลออกจากดวงตาสีอำพัน ทั้งฝูงที่ยืนดูอยู่ต่างพากันเศร้าโศก พวกมันส่งเสียงหอนแหลมสูงเพื่อระบายความทุกข์ทน


อี้เอินมองไปรอบๆ หมาป่าทุกตัวเศร้าโศก แม้แต่แพนที่มักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอยังหม่นหมอง ไม่มีใครมีความสุข ไม่มี ไม่มี…



แล้ววินาทีนั้นเขาก็เพิ่งเข้าใจ….


ความตายนำมาซึ่งความเศร้าโศกจากคนที่รัก


“ขอผมดูหน่อยได้มั้ย” เด็กตัวน้อยก้าวเข้าไปหา แม่หมาป่าขู่ฝ่อ เริ่มเอาตัวเข้ามาขวางกั้น


“ออกไป เจ้าจะรับวิญญาณเขาไปใช่มั้ย ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม”


“ไม่” เขาขยับเข้าไปใกล้อีกครั้ง หมายจะสัมผัสซากศพลูกหมาป่าซากนั้น แม่หมาป่าแยกเขี้ยวปกป้องลูก


“ออกไป ออกไปซะ! อย่าแตะต้องลูกข้า อย่าแตะ...”


“เขายังไม่ตาย…” เสียงเล็กของเด็กน้อยดังขึ้นอย่างกระตือรือร้น เมื่อฝ่ามือสัมผัสเข้าที่ร่างของลูกหมาป่า ทั้งฝูงพุ่งความสนใจมาที่เขา


“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าลูกหมาป่าน้อย” แพนเข้ามาเอ่ยถาม อี้เอินเงื้อฝ่ามือขึ้น ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีทอง


“ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความตาย วิญญาณเขาอาจหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งในร่าง” เอ่ยตอบขณะที่ควันสีดำพ่วงพุ่งออกมาเป็นสายล้อมรอบร่างของเขากับลูกหมาป่าเอาไว้


“อย่าให้ใครก้าวข้ามเขตเข้ามาได้ ผมจะปลุกวิญญาณเขาขึ้นมา” เขาเอ่ยบอกด้วยท่าทางจริงจัง แม้ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ความหวังที่สะท้อนเด่นชัดอยู่ในดวงตาของแม่หมาป่าก็ผลักดันให้เขาต้องทำสำเร็จ


ควันสีดำกลืนกินร่างพวกเขา อี้เอินถอดวิญญาณผลุดหายเข้าไปในรอยแยกของจิตใจของลูกหมาป่า เหตุการณ์อดีตชาติของลูกหมาป่ามากมายไหลสวนเขาราวกับสายน้ำอันเชี่ยวกราดที่จะสาดซัดเข้าไปด้วย เด็กน้อยพยายามเพ่งสมาธิมองหาวิญญาณของลูกหมาป่า หากแต่ความสามารถที่ยังควบคุมพลังตัวเองได้ไม่สมบูรณ์ทำให้พลาดไปหลายครั้ง ซึ่งครั้งต่อไปเขาจะพลาดไม่ได้อีกแล้ว



เขาจะติดอยู่ในร่างของลูกหมาป่าไปตลอดชีวิต



เด็กน้อยเพ่งสมาธิอย่างแรงกล้า แสงประหลาดสว่างวาบขึ้น วิญญาณของลูกหมาป่ากำลังหลับอยู่ที่ส่วนลึกที่สุดของจิตใจ อี้เอินพุ่งเข้าไปกระชากเขาให้ตื่นขึ้น


“เฮือก!” เด็กน้อยกับลูกหมาป่าเบิกตาโพล่ง มันพยายามลุกขึ้นยืนทันทีที่กลับมามีชีวิต เหล่าฝูงหมาป่าสะบัดหางอย่างมีความสุข แพนเดินเข้ามาพยุงร่างของอี้เอินเอาไว้


“ทำได้ดีมาก” เทพเจ้าเอ่ยชมขณะที่ลูกหมาป่าเดินเข้ามาคลอเคลียสีข้างของเขาพร้อมกับโค้งตัวหมอบทำความเคารพ


“ท่านผู้ปลุกข้าจากความตาย” เอ่ยบอกก่อนที่ทั้งฝูงจะเริ่มทำตาม คำสรรเสริญเยินยอดังก้องไปทั่วบริเวณ อี้เอินหันมองไปรอบๆอย่างตะลึงพรึงเพิด เพิ่งเข้าใจคุณค่าของการช่วยชีวิตใครไว้สักคนหนึ่ง จากนี้ไปเขาคงเข้าใจความหมายของชีวิตมากขึ้น


“ท่านควรเป็นคนขานนามของเขา” แม่หมาป่าเข้ามาเอ่ยบอก


“ม ม ไม่ ผม”


“นามถือเป็นสิ่งสำคัญของหมาป่า และท่านควรเป็นคนมอบมันให้กับเขา” เด็กหนุ่มจำต้องเงียบ เขาผินหน้าไปมองยังลูกหมาป่าที่มอบคลานอยู่แทบเท้าเขาอย่างนอบน้อม ขนของมันเป็นสีดำสนิทดั่งสีความตายที่เขารัก ดวงตาของมันเป็นสีทองเช่นเดียวกับเขาซึ่งผิดแผกไปจากฝูง กงเล็บของมันใหญ่เกินกว่าที่จะมีหมาป่าตัวไหนในป่านี้เทียบเท่า เขาคิดชื่อของมันได้แล้ว


“คาลน์”แปลว่าสง่างามในภาษาเวลส์ ความหมายเฉกเช่นเดียวกับชื่อของเขา


อี้เอิน ผู้มีความสง่างามอย่างเหมาะสม




“หมาป่าตัวนั้นที่เราเจอคือคาลน์น่ะหรอ!?” แบมแบมถามอย่างตื่นเต้นทันทีที่ฟังจบ อี้เอินพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม


“ฉันกับคาลน์เป็นเหมือนพี่น้องกัน หลังจากกลับไปอยู่ที่นรกแล้ว ฉันก็จะกลับมาเยี่ยมคาลน์บ่อยๆ”


“นายไม่ขอพ่อพากลับไปที่นรกล่ะ”


“ใครบ้างจะชอบจากบ้านกันล่ะ” อี้เอินยิ้มก่อนจะถามต่อ “แล้วนายล่ะเด็กๆไม่เคยถูกส่งไปดัดนิสัยแบบฉันบ้างหรอ” ร่างสูงแกล้งพูดติดตลก แบมแบมหัวเราะเออออตามน้อยๆก่อนจะส่ายหน้า


“ก็นอกจากแอบไปวิ่งเล่นในสวนต้องห้ามนั่นฉันก็ไม่เคยดื้ออะไรอีกนะ”


“สวนนั่นน่ะหรอ”


“ใช่ สวนที่นายเคยไปแอบมองฉันน่ะ” เสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางความสดชื้นของผืนป่าอีกครั้ง ภาพความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์วัยห้วนกลับเข้ามาในห้วงคำนึงอีกครั้ง ทั้งสองยิ้มน้อยๆเมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีต


“ฉันตกหลุมรักนายครั้งแรกที่นั่น เด็กตัวเล็กๆที่วิ่งเล่นไปทั่วสวน พี่เลี้ยงมาตามกลับก็ยังไม่ไป” อี้เอินพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“ก็ที่นั่นมันไม่ค่อยมีคนดีนี่ ลูกของซุสไปที่ไหนก็มีแต่คนยกย่อง น่าเบื่อจะตายไป” ร่างบางยู่ปาก อี้เอินบีบจมูกแรงๆด้วยความหมั่นไส้จนได้เสียงอวดครวญและฝ่ามืออรหันต์มาเป็นรางวัล


“แฟนใครเนี่ย โหดจริงๆ”


“แค่นี้ยังน้อยไปเถอะ!” ว่าจบ แบมแบมก็ถลาเข้ามาแกล้งตีอีกฝ่าย อี้เอินพยายามปัดป้องอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนที่จะเป็นฝ่ายชนะ เมื่อมือใหญ่จัดการรวบข้อมือเล็กไว้ด้วยมือเดียวพร้อมกับรั้งอีกฝ่ายมานั่งตักแล้วกักขังไว้ด้วยอ้อมกอดหลวมๆ


“ไม่แฟร์เลย”


“ไม่แฟร์อะไรล่ะ? ก็นายแกล้งฉันก่อนนะ” ร่างบางถามอย่างไม่เข้าใจ อี้เอินคลี่ยิ้มละมุน กอดอีกคนไว้แน่นขึ้น ดวงตาคู่คมมองสบตากับอีกฝ่าย ปลายนิ้วแกร่งเกลี่ยผมที่ปรกหน้าให้อีกคนอย่างอ่อนโยน


“ก็นายทั้งรู้ว่าฉันรักนายตอนไหน แถมยังมาทำร้ายฉันอีก แบบนี้ไม่แฟร์เลย”


“อยากรู้ว่าฉันรักนายตอนไหนหรอ” แบมแบมบีบจมูกอีกคนอย่างหมั่นเขี้ยว ก็ดูทำหน้าเข้าสิ ออดอ้อนเสียขนาดนี้


“เล่าให้ฟังหน่อย” ร่างบางยิ้มก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่อง…



อี้เอินอาจคิดมาตลอดว่ามีแต่ตนฝ่ายเดียวที่หลงรักเขา


แต่ความจริงแล้ว…


ไม่ใช่เลย…ไม่ใช่เลย




วันนั้นเป็นวันประชุมวันเหมายันของโอลิมปัส เหล่าเทพเจ้าต่างรวมตัวกันอยู่ที่ท้องพระโรง พวกทหารก็พากันยืนเฝ้ารักษาความปลอดภัยกันให้แน่นขนัด เช่นเดียวกับบรรดาข้าราชบริพารที่ต้องวิ่งวุ่นเข้าออกคอยบริการเหล่าเทพ ทำให้ที่วังหลังเล็กปลอดคนไปด้วย ร่างเล็กจิ๋วของแบมแบมในวัยหกขวบเดินร้องเพลงไปตามทางเดินอย่างอารมณ์ดี พาลคิดกับตัวเองอย่างกระหยิ่มยิ้มหย่องว่าบรรยากาศช่างเหมาะเจาะสำหรับการแอบท่านพ่อไปเที่ยวเล่นอะไรเช่นนี้ ไม่มีทหารคอยห้าม ไม่มีข้าราชบริพารคอยขัดขวาง มีแค่พี่เลี้ยงคนสนิทที่เขาเพิ่งหนีรอดจากสายตามาได้เมื่อครู่นี้


“ได้เวลาสนุกแล้วสิ ได้เวลาสนุกแล้ว” เอ่ยบอกกับตัวเองอย่างตื่นเต้นพร้อมกับกึ่งเดินกึ่งกระโดดไปที่สวนพฤกษาต้องห้าม เดิมทีนั้นท่านพ่อสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้าไปที่นี่คนเดียวเป็นอันขาด เพราะทางวกวน อีกทั้งยังมีพืชมีชีวิตหลายต้นที่เป็นอันตราย แต่แบมแบมไม่คิดอย่างนั้น เขาชอบความท้าทาย ชอบสิ่งลึกลับน่าค้นหา พี่เลี้ยงเคยเล่าให้ฟังด้วยว่ายามค่ำคืน สวนแห่งนี้จะมีชีวิต ต้นไม้จะลุกขึ้นมาเดินเพล่นพล่าน เหล่านางไม้จะออกมาเริงระบำ พอแสงแรกของตะวันมาเยือนทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่ปกติ



เขาอยากเห็นกับตาสักครั้ง


ร่างเล็กออกเดินไปตามทาง สวนทั้งสวนเต็มไปด้วยพืชพรรณจากทั่วทุกสารทิศ นิ้วเล็กปลิดดอกไม้ออกมาดอมดมอย่างชื่นใจ ก่อนจะสังเกตุเห็นกระต่ายตัวสีขาวอ้วนกลมวิ่งผ่านหน้าหายลับเข้าไปหลังพุ่มไม้ เข้าไปสู่พื้นที่ที่ท่านพ่อเคยกำชับนักหนาว่าห้ามเข้าไป


“ท่านแบมแบม ท่านแบมแบม ท่านอยู่นี่หรือเปล่าเจ้าคะ” เสียงพี่เลี้ยงของเขาดังแว่วมาจากด้านหลัง เด็กน้อยจอมแสบรีบวิ่งไล่ตามกระต่ายตัวนั้นไป โดยปล่อยดอกไม้ที่เด็ดมาลงในบ่อน้ำ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันได้กลายร่างเป็นภูติน้อยตัวจิ๋วบินตามหลังเขาอยู่…


“เจ้ากระต่าย เจ้ากระต่ายรอด้วยซี่” ขาเล็กคลานรอดรูตรงพุ่มไม้ ก่อนที่จะโผล่ไปยังอีกด้านของกำแพงพุ่มไม้ ความตะลึงพรึงเพิดเคาะประตูหัวใจให้เต้นโครมคราม ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาคือโต๊ะน้ำชาที่บรรดาแขกเหรื่อคือสัตว์ที่อยู่ในสวน!


คุณกระต่ายขาวที่เขาวิ่งไล่จับ

คุณแม่ห่านที่เขาชอบเจอทุกเช้า

คุณหมูน้อยที่เขาเคยวิ่งแข่งด้วย

คุณจิ้งเหลนที่เขาเคยตั้งชื่อให้

และ…


“โหหห” กระจับสีแดงร้องอุทาน ผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะคือเด็กผู้ชายผมทอง สวมชุดสีฟ้าสดใส ดวงตาของเขาเหลือบแสงมากมายเป็นล้านสี ที่หลังมีปีกเล็กๆสีขาวประดับอยู่ เขารู้จักผู้ชายคนนี้


อีรอส เทพีแห่งความรัก


“สวัสดี ปาร์ตี้น้ำชาของข้าเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนในอลิซมั้ย” สิ้นเสียงนั้นราวกับกาลเวลาทั้งหมดก็หยุดเดิน มีเพียงแค่พวกเขาบนโต๊ะน้ำชาที่ไม่ถูกจองจำในเวลา


“อลิซเป็นผู้หญิง ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ท่านจะทำให้ใครตกหลุมรักกันหรอ” เด็กน้อยละความสงสัยทิ้ง เขาเอ่ยถามกลับขณะที่ใช้ขาสั้นๆปีนขึ้นไปนั่งจุ้มปุ้กเป็นก้อนเล็กๆอยู่บนเก้าอี้ที่ดวงตาของเขาโผล่พ้นจากขอบโต๊ะมาแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เขาเกลียดโต๊ะนี้…


“ข้ามีภารกิจ” เขาตอบพร้อมกับยิ้มให้ก่อนจะผายมือไปที่แก้วน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะ “ดื่มเสียสิ มันรอเจ้าอยู่นานแล้ว” เด็กน้อยไม่สนใจคำพูดแฝงนัยน์ของอีรอส เขายกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะวางลง พลันสายตาก็สะดุดเข้ากลับบางอย่าง


ดวงตาคมกริบอยู่หลังพุ่มไม้นั่น…

.

.

.

สวยจังเลย


“นั่นใครน่ะ” แบมแบมหันไปถามเทพเจ้า ทว่าอีรอสกลับหายไปแล้วรวมถึงโต๊ะน้ำชาของเขาก็ด้วย


“ท่านอีรอส ท่านอีรอส!” เด็กน้อยร้องเรียก แต่ทุกอย่างกลับว่างเปล่า มีแค่ขนนกสีขาวปรอทก้านหนึ่งที่ปลิวลงมาจากฟากฟ้า


สักวันหนึ่งเจ้าจะรู้ชื่อของเขา


แล้วเวลาก็กลับมาเดินเหมือนเดิม


“ท่านแบมแบม ท่านแบมแบมมาอยู่ที่นี้นี่เอง รีบไปเร็วเจ้าค่ะ ท่านพ่อตามหาแล้ว” พี่เลี้ยงรีบวิ่งเข้ามาหา เด็กน้อยสะดุ้งด้วยความตกใจ


“ไม่ๆ เดี๋ยวก่อน เรายังกลับไม่ได้ เราต้องหาคนคนหนึ่งก่อน”


“ใครกันเจ้าคะ ที่นี่ไม่เห็นมีใครเลย”


“ก็นั่นง… อ่ะ อ้าว” เสียงเล็กถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อหันกลับไปยังพุ่มไม้แล้วไม่พบคนที่อยากเจอ


“ไม่เห็นมีใครเลยเจ้าคะ ไปกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านซุสจะโกรธเอาได้” เอ่ยบอกก่อนจะจูงแขนรีบพานายน้อยของเธอออกไป


“ดะ ดะ เดี๋ยวสิ” เด็กน้อยเลี้ยวกลับไปมองยังพุ่มไม้ ทว่าก็ไม่พบใครแล้วนอกเสียจากขนนกของอีรอสที่เขาเผลอทำตกอยู่ที่พื้น



สักวันหนึ่งเจ้าจะรู้ชื่อของเขา

.

.

.

แล้ววันนั้นมันก็มาถึงแล้ว…




“หมายความว่าอีรอสแผงศรให้เรารักกันหรอเนี่ย” อี้เอินพูดขึ้นอย่างขบขันทันทีที่ฟังจบ แบมแบมบีบจมูกอีกฝ่าย


“เรียกว่ามอมน้ำชาแล้วทำให้รักมากกว่า”


“ไม่คิดเลยว่านายจะแอบหลงรักฉันเหมือนกัน” ร่างสูงเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มพร้อมกับรั้งอีกคนมากอดไว้แน่นขึ้น คางได้รูปเกยพาดไหล่ออดอ้อน


“ไม่รู้สิ เราคง…” ร่างบางเว้นช่วง ใบหน้าเห่อร้อนก่อนจะพูดอย่างขลาดเขิน “เป็นรักแท้ของกันล่ะกันมั้ง”


“ก็ถ้าไม่ได้ใช้เวลาไปกับการแก้แค้นป่านนี้เราก็คงรักกันไปนานแล้วล่ะ” พูดพร้อมกับพลิกอีกคนลงมานอนเคียงข้างกัน


“ก็เพราะใครล่ะ” แบมแบมยิ้มขำ ใบหน้าคมคายโน้มลงมาหาจนปลายจมูกแตะชนกัน


“อยู่ไถ่โทษให้ทั้งชีวิตแล้วครับบ” อี้เอินออดอ้อน ริบฝีปากหนาจูบเบาๆที่กลีบปากบางของอีกฝ่ายทว่ากลับแนบแน่นและเนิ่นนาน ทุกความรู้สึกถูกถ่ายทอดผ่านรสจูบที่สุภาพและอ่อนโยน ความรักความห่วงใยและอาทรถูกส่งผ่านกันและกันอย่างไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาใดๆมาอธิบาย หากแต่พวกเขากลับรับรู้กันด้วยหัวใจที่เชื่อมโยงกันจากนี้และ…..ตลอดไป





ลูกศรของอีรอสมิเคยพลาดเป้า


แล้วใครจะรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมด…





อาจเกิดขึ้นเพราะเทพแห่งความรักนั้นองค์เดียว

http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ