หลังจากที่เรื่องราวทั้งหมดคลี่คลาย อี้เอินและแบมแบมก็ขอตัวกันไปเที่ยวแบบส่วนตัว ซึ่งแจ็คสันลงความเห็นว่ามันคือการฮันนีมูนเสียมากกว่า ก็ยังไม่เข้าใจเพื่อนหน้าตายคนนั้นอยู่ว่าเรียกให้ยุ่งยากทำไมกัน เสียเวลาทำความเข้าใจหมด ส่วนคู่ของแจบอมกับจินยองก็คงคล้ายกัน แต่คู่นี้เขาไม่ค่อยรู้รายละเอียดเสียเท่าไร เพราะดันต้องแยกออกมาก่อน ด้วยเพราะติดภารกิจต้องไปส่งไปรษณีย์สวรรค์ หนึ่งในธุรกิจของครอบครัว ไปรษณีย์เฮอร์มีส ส่งเร็วทั่วโลก ส่งไกลทั่วจักรวาล และแน่นอนว่าเขารักงานนี้มากพอๆกับการขโมยเชียวล่ะ
“กล่องนี้มีกระดาษ โอ่ ไม่มีค่าเลย กล่องนี้มีผ้าขนหนู ไม่เอาล่ะ เต็มบ้านแล้ว ส่วนกล่องนี้…โอ๊ะ!” แจ็คสันที่กำลังอยู่ระหว่างจุดพักระหว่างเส้นทางสายท้องนภา หรือที่เรียกสั้นๆว่าเส้นทางก้อนเมฆตามลักษณะที่มันเป็น เส้นทางนี้มีไว้เพื่อสำหรับเทวดานางฟ้าที่สามารถบินได้เท่านั้น เพราะสามารถมองเห็นเส้นทางล่องหนที่ยั่วเยี้ยเต็มท้องฟ้าไปหมด ระหว่างทางจะมีจุดพักที่ก็ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นจุดพัก เพราะมันมีแค่เสาร์สูงเพรียวสีทองที่เรืองแสงบอกสถานะอยู่ แดงคือมีคนอยู่เต็มจุดพักนั้นแล้ว เขียวคือยังว่างอยู่ ส่วนเหลือง ใกล้เต็ม และสุดท้ายคือสีประจำตนเทพเจ้าทั้งสิบสองสี นั่นหมายความว่ามีแค่เทพองค์นั้นๆเท่านั้นที่จะใช้จุดพักได้ อย่างที่แจ็คสันกำลังนั่งอยู่ตอนนี้
สีเทา
เฮอร์มีส
ร่างล้ำสันกำลังยืนเขย่ากล่องพัสดุที่เขาจะต้องไปส่งมันในวันนี้อย่างกระตือรือร้น เป็นความสามารถทางสายเลือดที่เขาสามารถรับรู้ได้ถึงของมีค่าน่าขโมยแม้ว่ามันจะอยู่ในกล่องทึบ และขอสาบานด้วยความสัจจริง แจ็คสันไม่ได้คิดจะขโมย พ่อสอนเสมอว่าการหัวใจของการส่งไปรษณีย์คือผู้รับต้องได้รับของ แต่….
ถ้าได้รับไปแล้ว จะไปขโมยต่อก็อีกเรื่องหนึ่ง
“ส่งด่วนเทือกเขาแอลป์ ส่งลงทะเบียน ช่องแคปบริช และ……” ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะอ่านทวนซ้ำอีกรอบ
“ส่งถึงแบมแบม เวลล์ ” แจ็คสันเลื่อนสายตาดูชื่อผู้ส่ง ทว่ากล่องเป็นแค่กล่องข้อความว่างเปล่า แถมของที่ถูกส่งไปยังเป็นของวิเศษที่แม้แต่เขายังไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าภายในมันคืออะไร
“เหมือนจะมีเรื่องสนุกเสียแล้วสิ”รอยยิ้มอย่างเด็กเกเรถูกวาดขึ้นที่กลีบปากก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายคือ เวลล์ บ้านอีกหลังของอี้เอิน
ระหว่างทางแจ็คสันก็คอยไล่ส่งจดหมายและพัสดุไปด้วย เทพส่วนใหญ่ชอบ
อยู่ตามธรรมชาติ น้อยองค์นักที่จะชอบอยู่ในเมือง ใช้ชีวิตอย่างรีบเร่ง และแข่งขันกับพวกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ถ้าจะให้พวกเขาเข้าไปก็คงต้องคราวจำเป็นเท่านั้น แต่ยกเว้นพ่อของเขาไว้คนหนึ่ง เฮอร์มีสชอบที่แบบนั้น ด้วยเหตุผลว่าที่ใดมีสังคม ที่นุ่นย่อมมีการสื่อสาร และเขาต้องคอยอยู่ทำหน้าที่นั้น พ่อชอบมากถึงขั้นมีอพาร์ทเม้นต์ขนาดกลางอยู่แทบจะทุกเมืองหลวงทั่วโลก แถมยังมีบริษัทไปรษณีย์ และทัวร์อีกต่างหาก
แจ็คสันขยับเท้าให้เพนตาลอสบินไปเร็วขึ้น ตัวของเขาแทบจะขนานกับบรรดาก้อนเมฆที่ลอยผ่าน ในถุงผ้าสำหรับใส่จดหมายและพัสดุเหลืออยู่เพียงกล่องเดียวเท่านั้น เขาเห็นยอดเขานั่นอยู่ไกลๆแล้ว สีเขียวชะอุ่มและกลิ่นไอสดชื่นหลังฝนตกได้ไม่นานของมันกำลังทำให้เขายิ่งตื่นเต้น
พลั่ก
แต่ก่อนที่จะรู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น จู่ๆร่างของเขาก็ถูกอะไรบางอย่างปะทะเข้าอย่างจัง
“โอ๊ยย” เสียงอวดครวญดังขึ้นก่อนที่ร่างล่ำสันจะเหลือบไปมองคู่กรณีที่ล้มอยู่ไม่ไกลไปจากเขาเท่าไรนัก ปีกสีสันแปลกตากำลังดึงความสนใจของเขาให้ละจากความหงุดหงิด เขาแทบไม่เคยเห็นอะไรสวยงามขนาดนี้มาก่อน ขนที่เรียงตัวเป็นปีกของอีกฝ่ายเหลือบประกายสีรุ้งล่อแสงอาทิตย์ในยามบ่ายไปมาจนเกิดเป็นเงาสีรุ้งรอบกายราวกับปีกของอีกฝ่ายทำมาจากคริสตัล
“นี่คุณแหกไฟแดงมาหรอเนี่ย” เสียงนั้นกระตุกให้เขาหลุดจากภวังค์ ผู้ชายหน้าหวานคนนั้นเดินอาดๆเข้ามาหาเขา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด
“ไฟแดง ไฟแดงหรอ” ไม่รู้เป็นเพราะสีสันของปีกหรือเพราะเจ้าของมันกันแน่ที่ทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ประโยคที่ตอบออกไปจึงดูโง่เง่าสิ้นดี
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าคุณไม่ฝ่าออกมา เราก็คงไม่ชนกันแบบนี้ แล้วจดหมายของผมก็คง….” ผู้ชายหน้าหวานคนนั้นหนไปมองรอบๆ แจ็คสันถึงกับยิ้มเจื่อน ซองจดหมายหลายฉบับหล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนปุยเมฆ
“ผมขอโทษ” ว่าเสียงอ่อย และสาบานกับเฮอร์มีสเถอะ แจ็คสันไม่เคยรู้สึกผิดต่อความวุ่นวายของใครมาก่อน ผู้ชายคนนี้คือตัวอันตราย!
คำขอโทษของแจ็คสันดูจะไม่ได้ทำให้สถาณการณ์ดีขึ้นเท่าไรนัก ผู้ชายปีกรุ้งคนนั้นยังคงแสดงสีหน้าที่ไม่ได้ดูอ่อนลงแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังส่งค้อนวงโตมาให้เขาผ่านทางสายตาก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงเก็บซองจดหมายทั้งหมด
“เอ่อ…ผมไม่รู้จริงๆว่ามันไฟแดงอยู่ คือ…” แจ็คสันยกลิ้นดุนกระพรุ้งแก้ม ดวงตาลุกลิกไปมาอย่างคนไม่มั่นใจ เขาไม่เคยทำแบบนี้เลยนะ ไม่เคยรู้สึกผิดต่อความวุ่นวายของใครเลย แต่ตอนนี้เขากลับ… “ทุกทีผมก็แหกอย่างนี้ประจำ เพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไร” และนั่นคือประโยคแก้ตัวที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่ในโลกจะมีได้ ผู้ชายปีกรุ้งถลึงตาใส่เขาอย่างโกรธจัดกว่าเก่า
“คุณนี่มันสมกับเป็นคนของเฮอร์มีสจริงๆ!” ดวงตาคู่หวานเหลือบมองเพนตาลอสที่เมื่อก่อนเขาภูมิใจในความเร็วของมันแต่ตอนนี้กลับอยากก้มลงไปว่าเสียงดังๆว่า ‘ช่วยวิ่งให้ช้าลงหน่อยได้มั้ย!’
“คือ…ผม เอ่อ ให้ผมช่วยคุณยังไงดี พาไปหาอพอลโลรักษา หรือให้ของปลอบข”
“อย่างเดียวที่คุณควรจะทำตอนนี้คือหยิบกระดาษที่คุณเหยียบอยู่มาให้ฉัน” อีกฝ่ายตัดบทพร้อมชี้ไปที่กระดาษที่แจ็คสันกำลังเหยียบอยู่ ร่างล่ำสันรีบยกเท้าขึ้นราวกับเหยียบของมีคมก่อนจะตาลีตาลานก้มลงเก็บแล้วยื่นให้
“ขอบใจ” คู่กรณีเน้นเสียง มือเล็กม้วนกระดาษแล้วเก็บใส่ถุงเช่นเดียวกับจดหมายซองอื่นๆอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสยายปีก “หวังว่าเราจะไม่ได้พบเจอกันอีก” ว่าพร้อมกับที่ปีกแสนสายนั้นกำลังทำหน้าที่กระพรือขึ้นยกร่างของผู้เป็นเจ้าของให้ไกลห่างจากร่างล่ำสัน แจ็คสันมองตามอีกคนที่บินลับตาไปไกลอย่างหลงลืมว่าจะพูดอะไร
“ขอให้ได้เจอกันอีก ยองแจ…” ข้อมูลของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียวที่เขารู้ เพราะแอบอ่านจากกระดาษแผ่นนั้น ส่วนนอกนั้น….เขาไม่รู้อะไรเลย
เป็นไปได้ยังไงกันนะ…
บุตรแห่งเฮอร์มีส เจ้าแห่งข้อมูลคนนี้ถึงพลาดคนคนนี้ไปกัน
แจ็คสันแทบลืมไปว่าตัวเองต้องไปส่งพัสดุให้เพื่อน และถ้าเจ้าตัวรู้ตัวว่าจะมีพัสดุกล่องนี้ส่งมาล่ะก็ มีหวังเขาได้กลายเป็นภูตผีปีศาจในนรกแน่ ร่างล่ำสันจึงจำต้องพักเรื่องของผู้ชายปีกสีรุ้งคนนั้น แล้วมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเวลล์ ที่ซึ่งเพื่อนของเขาทั้งสองไปพักอยู่ที่นั้น
เวลล์เป็นหนึ่งในที่ที่แจ็คสันชอบ เขาเคยมาที่นี้แล้วหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มาเพราะอี้เอิน เขามักจะต้องมาส่งสารให้คนระแวกนี้เสียมากกว่า แจ็คสันชอบคนที่นี่ เหล่าเทพารักษ์และนางไม้ที่นี่ใจดีและเป็นมิตร พวกเขาทุกตนมักมีของเล็กๆน้อยๆเวลาที่แจ็คสันมาส่งของให้ ทั้งๆที่เขาก็พยายามปฏิเสธไปหลายรอบ แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขาเลย ทำให้ที่บ้านของเขาเต็มไปด้วยพืชพรรณต่างๆมากมายจนสามารถสร้างเป็นสวนขนาดย่อมได้ และแน่นอนว่าด้วยความคุ้นชินกันเสียขนาดนั้นทำให้เขาสนิทสนมกับเหล่าเทพารักษ์และนางไม้ที่นี่พอสมควร
“อ่าว แจ็คสัน มาส่งจดหมายหรอ” นั่นนางไม้ต้นบิโกเนีย วันนี้ผมของเธอที่เป็นดอกบิโกเนียสีส้มสดกำลังเบ่งบาน เมื่ออาทิตย์ก่อนเขายังเห็นมีตูมอยู่เลย
“ใช่แล้วครับบบ วันนี้ทรงผมสวยนะ” ชายหนุ่มขยิบตา
“สวัสดีแจ็คสัน เมล็ดสนที่ฉันให้ไปขึ้นรึยัง” เทพารักษ์ประจำต้นสนทักทายจากเบื้องล่าง
“ผมเอาไปปลูกไว้ข้างวังของท่านพ่อแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ต้นอาซาเนียของฉันล่า”
“ปลูกไว้ที่รั้วหน้าบ้านเลย” เขาหัวเราะร่าก่อนจะบินเลยผ่านพวกเขาไปแล้วลดความเร็วลงเมื่อเห็นที่หมายอยู่ไม่ไกล บ้านไม้ขนาดกลางตั้งอยู่ที่ใจกลางป่า ชายหนุ่มค่อยๆร่อนลงที่ระเบียงอย่างช้าๆ แบมแบมที่เห็นเขาอยู่ก่อนแล้วขมวดคิ้ว
“นายมาทำอะไรที่นี่”
“สาบานเถอะว่านั่นคือคำทักทายแรกน่ะ” แจ็คสันบ่นอย่างไม่จริงจังนักขณะสอดส่ายสายตาหาเพื่อนสนิท “แล้วนี่มาร์คไปไหนล่ะ”
“เห็นว่าออกไปข้างนอกกับคาร์ล หมาป่าเพื่อนเขาน่ะ” แบมแบมขยายความเมื่อเห็นสายตาไม่เข้าใจของแจ็คสันพร้อมกับมองกล่องพัสดุที่ยับยู่ยี่อันเกิดจากการชนครั้งนั้นที่อยู่ในมือแจ็คสัน
“มีคนฝากส่งถึงนายน่ะ” ยื่นกล่องมาให้ ทว่าจังหวะที่แบมแบมกำลังจะเอื้อมมือไปรับดันพลาดท่าทำให้กล่องตกลงพื้น สิ่งของที่อยู่ในนั้นกระจัดกระจาย ซองจดหมายหน้าตาประหลาดซองหนึ่งที่ด้านหน้าเขียนประโยคชวนฉงนว่า ‘ด้วยความหวังดี’ ดีดตัวขึ้นมาจากพื้นราวกับมีชีวิต มันคลี่ตัวเองออกอัตโนมัติ ภาพเคลื่อนไหวส่องสว่างขึ้นมาอย่างไม่ได้ถูกเชื้อเชิญ
“ถ้าแบมแบมรู้เรื่องนี้เข้าต้องไม่พอใจนายแน่” เสียงและใบหน้าของแจบอมปรากฏขึ้น แบมแบมและแจ็คสันหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่เสียงของมาร์คที่อยู่ในจดหมายวิเศษนั่นจะดังขึ้น
“ฉันถึงต้องปิดมันอย่างนี้ไง” ร่างบางขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าอี้เอินกำลังปิดปังเขาเรื่องอะไรอยู่
“มันสำคัญกับนายมากขนาดนั้นเลยรึไง” แจบอมถามอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก ร่างสูงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ของสำคัญของคนสำคัญ สิบกว่าปีที่ผ่านมาฉันเก็บมันไว้ข้างหัวเตียงตลอด ไม่เคยให้ใครแตะ และจะไม่มีวันให้ใครมายุ่ง”
“แม้แต่แบมแบม?” เจ้าชายแห่งท้องทะเลกอดอกถาม แจ็คสันกับแบมแบมเพ่งสายตามองไปที่ภาพอย่างลุ้นระทึก หัวใจของพวกเขาเต้นระรัวเมื่ออี้เอินมีสีหน้านิ่งคิดไป ก่อนที่จะกระตุกอย่างวูบโหวงเมื่อร่างสูงพยักหน้ารับ
“ลูกเทพคนไหนกันที่ทำให้นายต้องทำผิดต่อแบมแบม มาร์ค..” แจบอมเดาะลิ้น เบือนหน้าหนีไปทางอื่น กลัวจะข่มความโกรธไม่ไหว ชายหนุ่มตวัดสายตากลับมามองผู้เป็นเพื่อนอย่างไม่พอใจ “ให้ตายเหอะว่ะ มันเกิดเรื่องบ้าแบบนี้กับคนอย่างนายได้ยังไงวะ”
“……….ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบนี้” เสียงนั้นดูรู้สึกผิดอย่างใจจริง ทว่ามันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่เขากำลังมีเรื่องปิดบังกับแบมแบม ซ้ำยังดูส่อแววไม่น่าไว้ใจ
“แต่ของสิ่งนั้น ถ้านายเห็น…”
“………….”
“นายจะรู้ทันทีว่าเขาคือใคร” แล้วภาพก็ดับไป แจ็คสันกับแบมแบมหันมาสบตากันอย่างเข้าใจ
“ฉันคิดว่าเราต้องลงไปเยี่ยมบ้านเพื่อนกันสักหน่อยแล้วล่ะ” เสียงทุ้มที่ติดยจะกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาเอ่ยขึ้น แบมแบมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า..
กำลังหึง
-------------------------------------------
นรก ไม่ใช่สถานที่ที่แบมแบมชอบนักหากพูดกันตามตรง ที่นี่ไม่มีอะไรน่าพิสมัย ยิ่งสำหรับคนของท้องฟ้าด้วยแล้วยิ่งไม่น่ารื่นรมย์ ที่นี่ไร้สีครามสดใสของท้องฟ้า สีขาวของปุยเมฆอันอ่อนนุ่มมีเพียงกลุ่มหมอกสีดำทมิฬ กลิ่นไอแห่งความตาย และวิญญาณสีเทาของผู้ล้วงลับค่อยแต่งแต้มผืนผ้าใบสีหม่นราวกับนกน้อยที่คอยแต่งแต้มอยู่บนท้องนภา
“นายรู้ทางไปห้องของมาร์คมั้ย” เอ่ยถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างตัวขณะกำลังมองพระราชวังของฮาเดสที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายอันแสนน่ากลัว เหล่าทหารในร่างโครงกระดูกกำลังจับจ้องมาที่พวกเขา
“รู้สิ นายกำลังมากับไกด์กิตตมาศักดิ์อยู่นะ” แจ็คสันตบอกตัวเองอย่างภูมิใจ ก่อนจะจำต้องพับเก็บความรู้สึกนั้นลงใส่หัวใจเมื่อตอนนี้แบมแบมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ขบขันด้วย
“ไปกันเถอะ” พูดพร้อมกับเริ่มออกเดิน
“โอ๊ะโอ่ สงสัยจะลางไม่ดี” แจ็คสันทำหน้าตาเหรอหราก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไป
เมื่อถึงประตูพระราชวัง แบมแบมก็ได้รู้ว่าสิ่งที่แจ็คสันบอกเป็นความจริง หนุ่มร่างล่ำคนนั้นแทบไม่ต้องอธิบายถึงสาเหตุการมากับเหล่าทหารยามสักนิด เพียงแค่เขาฉีกยิ้ม โชว์ป้ายอะไรบางอย่างให้ดูพร้อมกับชี้โบ้ยชี้เบ้มาทางแบมแบม พวกเขาก็ได้เข้ามาที่นี่อย่างง่ายดายเสียยิ่งกว่าการเรียกสายฟ้าออกมาเสียอีก
เหล่าทหารที่นี่เหมือนจะรู้จักพวกเขาดีอยู่แล้ว เพราะไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวเท่าไรนัก แต่การที่พวกเขาหันมามองด้วยเบ้าตาที่กลวงโบ๋วและหันไปซุบซิบพูดคุยกับเพื่อนทหารด้วยขากรรไกรที่สั่นไปมาจนเกิดเสียงดังแกร่กแกร่กเหมือนอย่างที่ในหนังผีสักเรื่องมี แค่นั้นก็ข่มขวัญแบมแบมได้พอสมควรแล้ว เขามั่นใจมากว่าหากวันไหนที่เขาต้องลงมาอยู่ที่นี่กับอี้เอิน เขาจะต้องขังตัวอยู่แต่ในห้องแน่ แต่นั่นมันก็ต้องหลังจากที่เขา……รู้ความลับอีกฝ่ายแล้ว
แจ็คสันพาเขาเดินเลี่ยงผ่านท้องพระโรงไปยังปีกตะวันตกของพระราชวัง ที่ปีกนี้แตกต่างจากทางที่เขาผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ที่นี่มืดสลัวกว่า คบเพลิงที่ไฟเป็นสีน้ำเงินตั้งอยู่ห่างกันเสียยิ่งกว่าทางที่เขาเคยผ่านมา ทหารตรวจตราน้อยลง แต่กลับถูกแทนที่ด้วยภูติผีแทน และไม่มีตนใดน่าพิสมัยสักตน บ้างเป็นผีตายโหงใบหน้าเละเทะ ขาขักหักจนผิดรูป บ้างเป็นผีถูกฆาตกรรมฆ่าปาดคอ บ้างหัวขาดต้องยืนถือศีรษะตัวเองอยู่อย่างนั้น แบมแบมเริ่มแน่ใจแล้วว่าเขาจะต้องขังตัวเองอยู่แต่ในห้องจริงๆ…
“ไม่ต้องกลัวหรอก ผีพวกนี้เราซี้กัน เนอะ เบนจี้” แจ็คสันหันไปขอแท็คมือกับผีตนหนึ่งทว่า…
ผีตนนั้นขาดแขนทั้งสองข้าง มันคำรามใส่อย่างหงุดหงิด
“เอ่อ…สงสัยจำผิดคน รีบไปต่อกันเถอะ จะถึงแล้ว”
พวกเขาเดินต่อไปอีกไม่กี่เมตรต่อจากนั้น แจ็คสันก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูขนาดใหญ่สีดำสนิทที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลาย และมันคงจะดูงดงามมากทีเดียวหากสิ่งที่ฝังอยู่ในลวดลายเหล่านั้นไม่ใช่ชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์! ทหารที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูเหลือบมองพวกเขาอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนที่จะยอมเปิดประตูให้เมื่อเห็นใบหน้าของแบมแบมอย่างถนัดตา
“คราวนี้ก็ถึงเวลาค้นของแล้ว” แจ็คสันพูดอย่างตื่นเต้นทันทีที่ประตูปิดลง ไฟสีน้ำเงินสว่างขึ้นคอยให้แสงสว่างที่สลัวมากพอจะทำให้เกิดเงารูปร่างประหลาดตกกระทบตรงผนัง ห้องของอี้เอินตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทว่าก็แฝงความหรูหราอย่างที่เจ้าชายแห่งความตายควรจะได้รับ เครื่องเรือนทุกชิ้นเป็นสีดำ โต๊ะเขียนหนังสือขนาดกลางตั้งอยู่ริมหน้าต่าง สามารถมองออกไปเห็นวิวแม่น้ำสติกซ์ที่มีเหล่าวิญญาณรอเรือข้ามฟากของแครอนอยู่ น่ารื่นรมย์มากทีเดียว ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่มีฉากบังตากั้นอยู่ และที่ใจกลางคือเตียงสี่เสาหลังใหญ่ที่หัวเตียงมีโต๊ะลิ้นชักเล็กๆตั้งอยู่ ร่างบางรีบเดินตรงไปที่นั่น
“ฉันคิดว่ามันต้องล็อคเอาไว้” เสียงของแจ็คสันพูดดักคอขณะที่เจ้าตัวกำลังหยิบแจกันใบหนึ่งยัดใส่กระเป๋า
“ฉันมั่นใจว่าเราไม่ได้กำลังมาขโมยของกันนะแจ็คสัน” แบมแบมหรี่ตามอง แจ็คสันส่งยิ้มแหยๆ ค่อยๆวางแจกันคืนที่เดิมแล้วเดินตามมาสมทบด้วย หนุ่มร่างล่ำก้มมองโต๊ะตัวนั้น ก่อนจะเดาะลิ้นเบาๆแล้วเอื้อมมือบิดลูกบิดเล็กๆ เสียงปลดล็อคดังขึ้นพร้อมกับที่ลิ้นชักถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
ภายในมีเพียงกล่องสีขาวสะอาดตาเล่มหนึ่ง นับเป็นสีขาวเพียงอย่างเดียวที่ในห้องนี้มี บนกล่องของมันไม่ได้มีอะไรบ่งบอกเฉลยความนัยน์ในสิ่งที่เขาอยากรู้ มีเพียงแค่ข้อความสั้นๆว่า ‘แด่ต้นพอพลาร์ของฉัน’ ร่างบางเหลือบมามองแจ็คสันอย่างขอความเห็น แต่นอกจากรอยยิ้มสนุกสนานนั่นแล้วเขาก็ไม่ได้รับอะไรอีกเลย แบมแบมกลั้นหายใจค่อยๆเปิดกล่องออกอย่างช้าๆ
เขาพูดความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก น้ำตารื่นขึ้นที่ขอบตาจนร้อนผ่าว สิ่งของที่อยู่ในนั้นคือของที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น และเนิ่นนานมากแล้วที่เคยเห็นมัน
หินสายฟ้า
วัตถุกลมมนเกลี้ยงสีน้ำตาลทอง ของเล่นที่เขาเคยเล่นตอนเด็กๆ เขาจำได้ว่าเคยนำไปวางไว้ยังที่ที่พบเจออี้เอินครั้งนั้นพร้อมกับกระดาษข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือของเด็กๆ ‘เราชื่อแบม เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ’ เพราะหวังจะพบเจออีกฝ่ายอีกครั้ง แต่ทุกครั้งก้อนหินก็มักจะถูกวางไว้ที่เดิมเพราะไม่มีคนมาเก็บกลับไป จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เขานำไปวาง ก้อนหินหายไปแต่เขาก็ไม่ได้ปักใจว่าอีกฝ่ายจะมาเก็บไปจริงๆ เพราะเย็นวันนั้นพ่อเขาเกิดพิโรธเทพองค์หนึ่งทำให้โอลิมปัสเกิดพายุฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ ลมพัดกรรโชก ต้นไม้หักโค่น สิ่งก่อสร้างบางอย่างพังทลาย เขาจึงคิดว่าเจ้าลูกหินนั่นคงถูกกระแสลมพัดหายไปเสียมากกว่า
“แจ็คสั…”
“แอบเข้าห้องคนอื่นแบบนี้นิสัยไม่ดีเลยนะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของอี้เอินที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ด้านหลังมีแจ็คสันยืนทำหน้าแหยๆให้เขาอยู่
“ฉัน…”แบมแบมทำอะไรไม่ถูก อี้เอินเหลือบมองกล่องที่อยู่ในมือเขา ร่างบางรีบวางมันลง กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธที่เขาถือวิสาสะเข้ามา
“ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเปิดมันนะ”
“ตั้งใจสิ เราตั้งใจทำนะ” แจ็คสันชะโงกหน้าออกมาจากหลังอี้เอิน แบมแบมรีบถลึงตาใส่ให้หยุดพูด
“ทำไมจู่ๆนายถึงเข้ามาที่นี่” ร่างสูงถามเสียงเรียบ ร่างบางกำมือแน่น ก้มหลบสายตาอย่างเด็กกลัวความผิดก่อนจะเอ่ยตอบ
“มีพัสดุส่งมาหาฉัน มันเป็นจดหมายภาพเคลื่อนไหนตอนที่นายกับแจบอมกำลังคุยกันว่านายมีความลับปิดบังฉัน สิ่งนั้นเป็นของมนุษย์กึ่งเทพคนหนึ่งที่สำคัญกับนายมาก ฉัน ฉัน..”
“หึงก็เลยอยากมาดูให้เห็นกับตางั้นสินะ” อี้เอินกอดอกเลิกคิ้วถาม แบมแบมก้มหน้าพยักหน้าอย่างจำยอม
“ฉันขอโทษ” ร่างบางว่าเสียงอ่อย ร่างสูงพูรลมหายใจราวกับกำลังอดกลั้น
“ทำไมนายไม่เชื่อใจฉันเลย ฉันจะทำยังไงกับนายดี แบมแบม” อี้เอินขยับเข้ามาใกล้ ดันตัวเขาจนติดกับโต๊ะข้างหัวเตียง ใบหน้าหล่อเหลานั่นเคลื่อนเข้ามาหา นัยน์ตาดุดันจับจ้องมาที่เขา ร่างบางรีบหลับตา รอรับบทลงโทษที่จะตามมา ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือ…
เสียงหัวเราะ
“ลืมตาได้แล้วแบมแบม” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงขบขัน ร่างบางลืมตาขึ้นก่อนจะเบิกโพล่งเมื่อเห็นแจบอมจินยองและแจ็คสันกำลังถือเค้กเข้ามาพร้อมกับร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้เขา
“น น น นี่มันอะไรกันเนี่ย” แบมแบมถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ทั้งหมดคือแผนของฉันเอง วันนี้วันเกิดนายนี่ ฉันก็เลยอยากเซอร์ไพส์เลยไปขอให้แจ็คสันช่วยคิดแผนให้” อี้เอินอธิบาย พร้อมด้วยแจ็คสันที่ยืดอกทำหน้าภูมิใจพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ตัวเอง ร่างบางหัวเราะอย่างมีความสุข ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มีวันฉลองวันเกิด เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีความสุขในวันเกิดเลย แม่มักจะทำโทษเขาอย่างรุนแรงในวันที่…
“สุขสันต์วันเกิดนะแบมแบม” จินยองอวยพร ก่อนจะตามมาด้วยแจบอมที่ยื่นของขวัญให้ และแจ็คสันที่ยื่นเค้กมาตรงหน้า ดวงตากลมโตกวาดตามองเพื่อนทุกคนด้วยสายตาตื่นตัน รอยยิ้มแห่งความสุขคลี่ออกอย่างแช่มช้าแต่งดงาม หัวใจดวงน้อยเต้นในจังหวะที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาเพิ่งรู้จักกับคนกลุ่มนี้ได้ไม่นานนัก แต่ทุกคนกลับรักเขาเหมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่ม ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้เราฉลองวันเกิดด้วยกันอย่างนี้ต่อไปในทุกๆปี
เปลือกตาบางปิดลงอย่างช้าๆ สองมือยกขึ้นประสานอยู่ระหว่างอก คำอธิษฐานถูกวอนขอขึ้นอย่างเงียบๆภายในใจ ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อเป่าเค้ก แสงไฟในห้องกลับมาสว่าง มีดตัดเค้กถูกยื่นให้ก่อนที่ร่างบางจะค่อยๆตัดเค้กแบ่งให้สำหรับทุกคนอย่างช้าๆ
“ขอบคุณนะทุกคน” เสียงหวานเอ่ยบอกอย่างใจจริง จินยองหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ และแม้แต่แจบอมเองก็ยังเอ่ยบอกนิ่งๆตามนิสัยว่าไม่เป็นไร ส่วนแจ๊คสันก็กำลังยื่นหน….
จึ๊กๆ
หนุ่มร่างล่ำสะกิดเขาสองสามทีพร้อมมองตาละห้อย
“จะตัดเค้กได้ยังอะ หิวแล้ว” เสียงหัวเราะดังขึ้นก่อนที่ร่างบางจะรับมีดมาตัดเค้กแบ่งให้กับทุกๆคน
“เอาไปเลยแจ็คสันหิวดีนักเอาชิ้นใหญ่ไปเลย” เสียงเล็กแกล้งว่าอย่างไม่จริงจังนัก แจ็คสันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างชอบใจพร้อมกับยื่นของขวัญให้
“อะ ฉันให้” เสียงฮือฮาดังขึ้น ร้อยวันพันปีแจ็คสันเคยให้ของขวัญใครเสียที่ไหน ยิ่งห่อของขวัญด้วยแบบนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ หมอนี่งกจะตาย ร่างบางรีบแกะห่อออกอย่างรีบร้อนก่อนที่เสียงฮือฮาจะดังขึ้นเมื่อเห็นของที่อยู่ภายใน
เสื้อคลุมสดใสที่ปักด้วยดิ้นทองเป็นรูปดอกไม้และหมู่มวลผีเสื้อ
“โห สวยจังเลย นี่นายไปหามาจากไหนเนี่ย”
“นั่นน่ะสิ ปกติไม่เคยเห็นซื้อ” แจบอมเห็นด้วย แจ็คสันยิ่งทำหน้าภูมิอกภูมิใจเสียจนน่าหมั่นไส้
“เดี๋ยวนะ…” ท่ามกลางความตื่นเต้นจู่ๆเสียงจินยองก็ดังแทรกขึ้น ทุกคนหันไปสนใจ
“ฉันว่ามันคุ้นๆ…” มือเรียวหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้ว “นี่มันเสื้อของแม่ฉันนี่! นี่นายไปขโมยเสื้อผ้าแม่ฉันมาหรอ!” จินยองแหวเสียงดังก่อนจะวิ่งไล่ตีแจ็คสันที่รีบวิ่งหนีไปทั่วห้อง สร้างเสียงหัวเราะให้กับพวกที่ยืนมอง มีเพียงแจบอมเท่านั้นที่ได้แต่ส่ายศรีษะอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินเข้าไปห้ามเมื่อกลัวว่าทั้งสองจะทำอะไรในห้องเสียหายเข้า เขาเคยได้ยินมาว่าข้าวของในนรกราคาแพงหูฉี่มากทีเดียว
“แบมแบม” เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นข้างหูพร้อมกับสัมผัสอุ่นจากอ้อมแขนที่สวมกอดเขาจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลาเกยคางมนได้รูปไว้ที่ไหล่
“ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องฉลองวันเกิดคนเดียวแล้วนะ”กระซิบบอกอย่างอ่อนโยน วงแขนแกร่งกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นขึ้นราวกับต้องการจะย้ำเตือนคำพูดนั้นให้ยิ่งดูหนักแน่น
“ขอบคุณนายมากๆเลยนะ” ร่างบางเอี้ยวหน้าหันไปคลี่ยิ้มให้ อี้เอินยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก
“ชู่ว์ อย่าขอบคุณฉัน มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้กันอยู่แล้ว” ร่างสูงกระซิบบอก ใบหน้าหวานทอแววไม่เข้าใจเล็กน้อย ก่อนจะได้รับคำหวานเป็นคำเฉลย “เติมความสุขให้แก่กันและกัน สุขสันต์วันเกิดนะแบมแบม” เอ่ยบอกก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะโน้มเข้ามาใกล้ กลีบปากค่อยๆเลื่อนเข้ามามอบจุมพิตอย่างอ่อนโยนราวกับยอดหญ้าที่โน้มตัวลงหาผืนดิน
“เดี๋ยว!” เสียงแจ็คสันโพล่งขึ้น พร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมาแทรกระหว่างริมฝีปากของพวกเขาเอาไว้
“นายลืมอะรไปรึเปล่า!” ร่างล่ำสันหันมาถามอี้เอิน ร่างสูงเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจนัก
“ก็ที่เราตกลงไว้ไง ว่าถ้าฉันช่วยนาย นายจะต้องมีสิ่งของมาแลกเปลี่ยน ตอนนี้ฉันคิด
ออกแล้วว่าอยากได้อะไร”
“ของที่ว่านั่นคืออะไร?” ทันทีที่อี้เอินถามกลับ สายตาไม่น่าไว้ใจอย่างเด็กเกเรถูกส่งมาให้ก่อนที่แจ็คสันจะเฉลยความต้องการของตนเอง
“สิ่งที่ฉันอยากได้ก็คือ….” เว้นช่วงเพื่อแกล้งให้ทุกคนที่ฟังอยู่ลุ้นระทึกเล่น ก่อนจะเฉลยความต้องการในวินาทีสุดท้ายที่ความอดทนของอี้เอินใกล้ปริแตก “หมวกล่องหนของพ่อนาย ฉันจะเอาไปง้อสาว!”
“ไม่มีทาง!” อี้เอินตอบทันควัน ไม่มีใครขโมยมันมาได้มันเปรียบเหมือนศาสตราวุธคู่กายของพ่อของเขาเลยด้วยซ้ำ ขนาดเขายังไม่เคยได้รับอนุญาติใช้เลย ขืนให้เขาไปเอาให้ มีหวังไม่ถูกพ่อลงโทษเอาหรอกหรือ
“คนของความตายพูดคำไหนคำนั้นซี่”
“เราไม่นิยมขโมยของกัน” ว่าก่อนจะรีบเปิดประตูแห่งเงาขึ้นแล้วยื่นมือมาให้แบมแบมจับ เตรียมจะพาหนี
“เฮ้นี่! เดี๋ยวก่อนสิ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ” เดือดร้อนจนแจ็คสันต้องใช้เพนตาลอสไล่ตาม โดยมีแจบอมกับจินยองยืนส่ายหน้าพร้อมกับตักเค้กป้อนกันและกันอยู่เบื้องหลังด้วยสีหน้าอ่อนใจ
“ฉันว่างานนี้แจ็คสันไม่ได้ง้อสาวอะไรนั่นหรอก” จินยองออกความเห็นขณะหยิบสายฟ้าที่ทำจากน้ำตาลเข้าปาก
“นั่นน่ะสิ ว่าแต่…” แจบอมหันมาสบตาพร้อมกับหยิบน้ำตาลที่ทำเป็นรูปหัวกระโหลกขึ้นมา “สาวคนนั้นเป็นใครกันหรอ” เอ่ยถามพร้อมกับป้อนน้ำตาลให้อีกคน
“เอ่อ ขอโทษนะครับ” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง “มีพัสดุมาส่งถึงคุณแจ็คสันครับ” ทั้งสองจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ผู้ชายคนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเจอมา เพราะปีกของผู้ายคนนั้น…
เป็นสีรุ้ง…
“กล่องนี้มีกระดาษ โอ่ ไม่มีค่าเลย กล่องนี้มีผ้าขนหนู ไม่เอาล่ะ เต็มบ้านแล้ว ส่วนกล่องนี้…โอ๊ะ!” แจ็คสันที่กำลังอยู่ระหว่างจุดพักระหว่างเส้นทางสายท้องนภา หรือที่เรียกสั้นๆว่าเส้นทางก้อนเมฆตามลักษณะที่มันเป็น เส้นทางนี้มีไว้เพื่อสำหรับเทวดานางฟ้าที่สามารถบินได้เท่านั้น เพราะสามารถมองเห็นเส้นทางล่องหนที่ยั่วเยี้ยเต็มท้องฟ้าไปหมด ระหว่างทางจะมีจุดพักที่ก็ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นจุดพัก เพราะมันมีแค่เสาร์สูงเพรียวสีทองที่เรืองแสงบอกสถานะอยู่ แดงคือมีคนอยู่เต็มจุดพักนั้นแล้ว เขียวคือยังว่างอยู่ ส่วนเหลือง ใกล้เต็ม และสุดท้ายคือสีประจำตนเทพเจ้าทั้งสิบสองสี นั่นหมายความว่ามีแค่เทพองค์นั้นๆเท่านั้นที่จะใช้จุดพักได้ อย่างที่แจ็คสันกำลังนั่งอยู่ตอนนี้
สีเทา
เฮอร์มีส
ร่างล้ำสันกำลังยืนเขย่ากล่องพัสดุที่เขาจะต้องไปส่งมันในวันนี้อย่างกระตือรือร้น เป็นความสามารถทางสายเลือดที่เขาสามารถรับรู้ได้ถึงของมีค่าน่าขโมยแม้ว่ามันจะอยู่ในกล่องทึบ และขอสาบานด้วยความสัจจริง แจ็คสันไม่ได้คิดจะขโมย พ่อสอนเสมอว่าการหัวใจของการส่งไปรษณีย์คือผู้รับต้องได้รับของ แต่….
ถ้าได้รับไปแล้ว จะไปขโมยต่อก็อีกเรื่องหนึ่ง
“ส่งด่วนเทือกเขาแอลป์ ส่งลงทะเบียน ช่องแคปบริช และ……” ชายหนุ่มเลิกคิ้วก่อนจะอ่านทวนซ้ำอีกรอบ
“ส่งถึงแบมแบม เวลล์ ” แจ็คสันเลื่อนสายตาดูชื่อผู้ส่ง ทว่ากล่องเป็นแค่กล่องข้อความว่างเปล่า แถมของที่ถูกส่งไปยังเป็นของวิเศษที่แม้แต่เขายังไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าภายในมันคืออะไร
“เหมือนจะมีเรื่องสนุกเสียแล้วสิ”รอยยิ้มอย่างเด็กเกเรถูกวาดขึ้นที่กลีบปากก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง โดยมีจุดมุ่งหมายคือ เวลล์ บ้านอีกหลังของอี้เอิน
ระหว่างทางแจ็คสันก็คอยไล่ส่งจดหมายและพัสดุไปด้วย เทพส่วนใหญ่ชอบ
อยู่ตามธรรมชาติ น้อยองค์นักที่จะชอบอยู่ในเมือง ใช้ชีวิตอย่างรีบเร่ง และแข่งขันกับพวกมนุษย์อยู่ตลอดเวลา ถ้าจะให้พวกเขาเข้าไปก็คงต้องคราวจำเป็นเท่านั้น แต่ยกเว้นพ่อของเขาไว้คนหนึ่ง เฮอร์มีสชอบที่แบบนั้น ด้วยเหตุผลว่าที่ใดมีสังคม ที่นุ่นย่อมมีการสื่อสาร และเขาต้องคอยอยู่ทำหน้าที่นั้น พ่อชอบมากถึงขั้นมีอพาร์ทเม้นต์ขนาดกลางอยู่แทบจะทุกเมืองหลวงทั่วโลก แถมยังมีบริษัทไปรษณีย์ และทัวร์อีกต่างหาก
แจ็คสันขยับเท้าให้เพนตาลอสบินไปเร็วขึ้น ตัวของเขาแทบจะขนานกับบรรดาก้อนเมฆที่ลอยผ่าน ในถุงผ้าสำหรับใส่จดหมายและพัสดุเหลืออยู่เพียงกล่องเดียวเท่านั้น เขาเห็นยอดเขานั่นอยู่ไกลๆแล้ว สีเขียวชะอุ่มและกลิ่นไอสดชื่นหลังฝนตกได้ไม่นานของมันกำลังทำให้เขายิ่งตื่นเต้น
พลั่ก
แต่ก่อนที่จะรู้สึกอะไรไปมากกว่านั้น จู่ๆร่างของเขาก็ถูกอะไรบางอย่างปะทะเข้าอย่างจัง
“โอ๊ยย” เสียงอวดครวญดังขึ้นก่อนที่ร่างล่ำสันจะเหลือบไปมองคู่กรณีที่ล้มอยู่ไม่ไกลไปจากเขาเท่าไรนัก ปีกสีสันแปลกตากำลังดึงความสนใจของเขาให้ละจากความหงุดหงิด เขาแทบไม่เคยเห็นอะไรสวยงามขนาดนี้มาก่อน ขนที่เรียงตัวเป็นปีกของอีกฝ่ายเหลือบประกายสีรุ้งล่อแสงอาทิตย์ในยามบ่ายไปมาจนเกิดเป็นเงาสีรุ้งรอบกายราวกับปีกของอีกฝ่ายทำมาจากคริสตัล
“นี่คุณแหกไฟแดงมาหรอเนี่ย” เสียงนั้นกระตุกให้เขาหลุดจากภวังค์ ผู้ชายหน้าหวานคนนั้นเดินอาดๆเข้ามาหาเขา เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด
“ไฟแดง ไฟแดงหรอ” ไม่รู้เป็นเพราะสีสันของปีกหรือเพราะเจ้าของมันกันแน่ที่ทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง ประโยคที่ตอบออกไปจึงดูโง่เง่าสิ้นดี
“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าคุณไม่ฝ่าออกมา เราก็คงไม่ชนกันแบบนี้ แล้วจดหมายของผมก็คง….” ผู้ชายหน้าหวานคนนั้นหนไปมองรอบๆ แจ็คสันถึงกับยิ้มเจื่อน ซองจดหมายหลายฉบับหล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนปุยเมฆ
“ผมขอโทษ” ว่าเสียงอ่อย และสาบานกับเฮอร์มีสเถอะ แจ็คสันไม่เคยรู้สึกผิดต่อความวุ่นวายของใครมาก่อน ผู้ชายคนนี้คือตัวอันตราย!
คำขอโทษของแจ็คสันดูจะไม่ได้ทำให้สถาณการณ์ดีขึ้นเท่าไรนัก ผู้ชายปีกรุ้งคนนั้นยังคงแสดงสีหน้าที่ไม่ได้ดูอ่อนลงแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังส่งค้อนวงโตมาให้เขาผ่านทางสายตาก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงเก็บซองจดหมายทั้งหมด
“เอ่อ…ผมไม่รู้จริงๆว่ามันไฟแดงอยู่ คือ…” แจ็คสันยกลิ้นดุนกระพรุ้งแก้ม ดวงตาลุกลิกไปมาอย่างคนไม่มั่นใจ เขาไม่เคยทำแบบนี้เลยนะ ไม่เคยรู้สึกผิดต่อความวุ่นวายของใครเลย แต่ตอนนี้เขากลับ… “ทุกทีผมก็แหกอย่างนี้ประจำ เพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไร” และนั่นคือประโยคแก้ตัวที่โง่เง่าที่สุดเท่าที่ในโลกจะมีได้ ผู้ชายปีกรุ้งถลึงตาใส่เขาอย่างโกรธจัดกว่าเก่า
“คุณนี่มันสมกับเป็นคนของเฮอร์มีสจริงๆ!” ดวงตาคู่หวานเหลือบมองเพนตาลอสที่เมื่อก่อนเขาภูมิใจในความเร็วของมันแต่ตอนนี้กลับอยากก้มลงไปว่าเสียงดังๆว่า ‘ช่วยวิ่งให้ช้าลงหน่อยได้มั้ย!’
“คือ…ผม เอ่อ ให้ผมช่วยคุณยังไงดี พาไปหาอพอลโลรักษา หรือให้ของปลอบข”
“อย่างเดียวที่คุณควรจะทำตอนนี้คือหยิบกระดาษที่คุณเหยียบอยู่มาให้ฉัน” อีกฝ่ายตัดบทพร้อมชี้ไปที่กระดาษที่แจ็คสันกำลังเหยียบอยู่ ร่างล่ำสันรีบยกเท้าขึ้นราวกับเหยียบของมีคมก่อนจะตาลีตาลานก้มลงเก็บแล้วยื่นให้
“ขอบใจ” คู่กรณีเน้นเสียง มือเล็กม้วนกระดาษแล้วเก็บใส่ถุงเช่นเดียวกับจดหมายซองอื่นๆอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสยายปีก “หวังว่าเราจะไม่ได้พบเจอกันอีก” ว่าพร้อมกับที่ปีกแสนสายนั้นกำลังทำหน้าที่กระพรือขึ้นยกร่างของผู้เป็นเจ้าของให้ไกลห่างจากร่างล่ำสัน แจ็คสันมองตามอีกคนที่บินลับตาไปไกลอย่างหลงลืมว่าจะพูดอะไร
“ขอให้ได้เจอกันอีก ยองแจ…” ข้อมูลของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียวที่เขารู้ เพราะแอบอ่านจากกระดาษแผ่นนั้น ส่วนนอกนั้น….เขาไม่รู้อะไรเลย
เป็นไปได้ยังไงกันนะ…
บุตรแห่งเฮอร์มีส เจ้าแห่งข้อมูลคนนี้ถึงพลาดคนคนนี้ไปกัน
แจ็คสันแทบลืมไปว่าตัวเองต้องไปส่งพัสดุให้เพื่อน และถ้าเจ้าตัวรู้ตัวว่าจะมีพัสดุกล่องนี้ส่งมาล่ะก็ มีหวังเขาได้กลายเป็นภูตผีปีศาจในนรกแน่ ร่างล่ำสันจึงจำต้องพักเรื่องของผู้ชายปีกสีรุ้งคนนั้น แล้วมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเวลล์ ที่ซึ่งเพื่อนของเขาทั้งสองไปพักอยู่ที่นั้น
เวลล์เป็นหนึ่งในที่ที่แจ็คสันชอบ เขาเคยมาที่นี้แล้วหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้มาเพราะอี้เอิน เขามักจะต้องมาส่งสารให้คนระแวกนี้เสียมากกว่า แจ็คสันชอบคนที่นี่ เหล่าเทพารักษ์และนางไม้ที่นี่ใจดีและเป็นมิตร พวกเขาทุกตนมักมีของเล็กๆน้อยๆเวลาที่แจ็คสันมาส่งของให้ ทั้งๆที่เขาก็พยายามปฏิเสธไปหลายรอบ แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขาเลย ทำให้ที่บ้านของเขาเต็มไปด้วยพืชพรรณต่างๆมากมายจนสามารถสร้างเป็นสวนขนาดย่อมได้ และแน่นอนว่าด้วยความคุ้นชินกันเสียขนาดนั้นทำให้เขาสนิทสนมกับเหล่าเทพารักษ์และนางไม้ที่นี่พอสมควร
“อ่าว แจ็คสัน มาส่งจดหมายหรอ” นั่นนางไม้ต้นบิโกเนีย วันนี้ผมของเธอที่เป็นดอกบิโกเนียสีส้มสดกำลังเบ่งบาน เมื่ออาทิตย์ก่อนเขายังเห็นมีตูมอยู่เลย
“ใช่แล้วครับบบ วันนี้ทรงผมสวยนะ” ชายหนุ่มขยิบตา
“สวัสดีแจ็คสัน เมล็ดสนที่ฉันให้ไปขึ้นรึยัง” เทพารักษ์ประจำต้นสนทักทายจากเบื้องล่าง
“ผมเอาไปปลูกไว้ข้างวังของท่านพ่อแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ต้นอาซาเนียของฉันล่า”
“ปลูกไว้ที่รั้วหน้าบ้านเลย” เขาหัวเราะร่าก่อนจะบินเลยผ่านพวกเขาไปแล้วลดความเร็วลงเมื่อเห็นที่หมายอยู่ไม่ไกล บ้านไม้ขนาดกลางตั้งอยู่ที่ใจกลางป่า ชายหนุ่มค่อยๆร่อนลงที่ระเบียงอย่างช้าๆ แบมแบมที่เห็นเขาอยู่ก่อนแล้วขมวดคิ้ว
“นายมาทำอะไรที่นี่”
“สาบานเถอะว่านั่นคือคำทักทายแรกน่ะ” แจ็คสันบ่นอย่างไม่จริงจังนักขณะสอดส่ายสายตาหาเพื่อนสนิท “แล้วนี่มาร์คไปไหนล่ะ”
“เห็นว่าออกไปข้างนอกกับคาร์ล หมาป่าเพื่อนเขาน่ะ” แบมแบมขยายความเมื่อเห็นสายตาไม่เข้าใจของแจ็คสันพร้อมกับมองกล่องพัสดุที่ยับยู่ยี่อันเกิดจากการชนครั้งนั้นที่อยู่ในมือแจ็คสัน
“มีคนฝากส่งถึงนายน่ะ” ยื่นกล่องมาให้ ทว่าจังหวะที่แบมแบมกำลังจะเอื้อมมือไปรับดันพลาดท่าทำให้กล่องตกลงพื้น สิ่งของที่อยู่ในนั้นกระจัดกระจาย ซองจดหมายหน้าตาประหลาดซองหนึ่งที่ด้านหน้าเขียนประโยคชวนฉงนว่า ‘ด้วยความหวังดี’ ดีดตัวขึ้นมาจากพื้นราวกับมีชีวิต มันคลี่ตัวเองออกอัตโนมัติ ภาพเคลื่อนไหวส่องสว่างขึ้นมาอย่างไม่ได้ถูกเชื้อเชิญ
“ถ้าแบมแบมรู้เรื่องนี้เข้าต้องไม่พอใจนายแน่” เสียงและใบหน้าของแจบอมปรากฏขึ้น แบมแบมและแจ็คสันหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่เสียงของมาร์คที่อยู่ในจดหมายวิเศษนั่นจะดังขึ้น
“ฉันถึงต้องปิดมันอย่างนี้ไง” ร่างบางขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าอี้เอินกำลังปิดปังเขาเรื่องอะไรอยู่
“มันสำคัญกับนายมากขนาดนั้นเลยรึไง” แจบอมถามอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก ร่างสูงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ของสำคัญของคนสำคัญ สิบกว่าปีที่ผ่านมาฉันเก็บมันไว้ข้างหัวเตียงตลอด ไม่เคยให้ใครแตะ และจะไม่มีวันให้ใครมายุ่ง”
“แม้แต่แบมแบม?” เจ้าชายแห่งท้องทะเลกอดอกถาม แจ็คสันกับแบมแบมเพ่งสายตามองไปที่ภาพอย่างลุ้นระทึก หัวใจของพวกเขาเต้นระรัวเมื่ออี้เอินมีสีหน้านิ่งคิดไป ก่อนที่จะกระตุกอย่างวูบโหวงเมื่อร่างสูงพยักหน้ารับ
“ลูกเทพคนไหนกันที่ทำให้นายต้องทำผิดต่อแบมแบม มาร์ค..” แจบอมเดาะลิ้น เบือนหน้าหนีไปทางอื่น กลัวจะข่มความโกรธไม่ไหว ชายหนุ่มตวัดสายตากลับมามองผู้เป็นเพื่อนอย่างไม่พอใจ “ให้ตายเหอะว่ะ มันเกิดเรื่องบ้าแบบนี้กับคนอย่างนายได้ยังไงวะ”
“……….ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบนี้” เสียงนั้นดูรู้สึกผิดอย่างใจจริง ทว่ามันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่เขากำลังมีเรื่องปิดบังกับแบมแบม ซ้ำยังดูส่อแววไม่น่าไว้ใจ
“แต่ของสิ่งนั้น ถ้านายเห็น…”
“………….”
“นายจะรู้ทันทีว่าเขาคือใคร” แล้วภาพก็ดับไป แจ็คสันกับแบมแบมหันมาสบตากันอย่างเข้าใจ
“ฉันคิดว่าเราต้องลงไปเยี่ยมบ้านเพื่อนกันสักหน่อยแล้วล่ะ” เสียงทุ้มที่ติดยจะกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลาเอ่ยขึ้น แบมแบมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า..
กำลังหึง
-------------------------------------------
นรก ไม่ใช่สถานที่ที่แบมแบมชอบนักหากพูดกันตามตรง ที่นี่ไม่มีอะไรน่าพิสมัย ยิ่งสำหรับคนของท้องฟ้าด้วยแล้วยิ่งไม่น่ารื่นรมย์ ที่นี่ไร้สีครามสดใสของท้องฟ้า สีขาวของปุยเมฆอันอ่อนนุ่มมีเพียงกลุ่มหมอกสีดำทมิฬ กลิ่นไอแห่งความตาย และวิญญาณสีเทาของผู้ล้วงลับค่อยแต่งแต้มผืนผ้าใบสีหม่นราวกับนกน้อยที่คอยแต่งแต้มอยู่บนท้องนภา
“นายรู้ทางไปห้องของมาร์คมั้ย” เอ่ยถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างตัวขณะกำลังมองพระราชวังของฮาเดสที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายอันแสนน่ากลัว เหล่าทหารในร่างโครงกระดูกกำลังจับจ้องมาที่พวกเขา
“รู้สิ นายกำลังมากับไกด์กิตตมาศักดิ์อยู่นะ” แจ็คสันตบอกตัวเองอย่างภูมิใจ ก่อนจะจำต้องพับเก็บความรู้สึกนั้นลงใส่หัวใจเมื่อตอนนี้แบมแบมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ขบขันด้วย
“ไปกันเถอะ” พูดพร้อมกับเริ่มออกเดิน
“โอ๊ะโอ่ สงสัยจะลางไม่ดี” แจ็คสันทำหน้าตาเหรอหราก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไป
เมื่อถึงประตูพระราชวัง แบมแบมก็ได้รู้ว่าสิ่งที่แจ็คสันบอกเป็นความจริง หนุ่มร่างล่ำคนนั้นแทบไม่ต้องอธิบายถึงสาเหตุการมากับเหล่าทหารยามสักนิด เพียงแค่เขาฉีกยิ้ม โชว์ป้ายอะไรบางอย่างให้ดูพร้อมกับชี้โบ้ยชี้เบ้มาทางแบมแบม พวกเขาก็ได้เข้ามาที่นี่อย่างง่ายดายเสียยิ่งกว่าการเรียกสายฟ้าออกมาเสียอีก
เหล่าทหารที่นี่เหมือนจะรู้จักพวกเขาดีอยู่แล้ว เพราะไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวเท่าไรนัก แต่การที่พวกเขาหันมามองด้วยเบ้าตาที่กลวงโบ๋วและหันไปซุบซิบพูดคุยกับเพื่อนทหารด้วยขากรรไกรที่สั่นไปมาจนเกิดเสียงดังแกร่กแกร่กเหมือนอย่างที่ในหนังผีสักเรื่องมี แค่นั้นก็ข่มขวัญแบมแบมได้พอสมควรแล้ว เขามั่นใจมากว่าหากวันไหนที่เขาต้องลงมาอยู่ที่นี่กับอี้เอิน เขาจะต้องขังตัวอยู่แต่ในห้องแน่ แต่นั่นมันก็ต้องหลังจากที่เขา……รู้ความลับอีกฝ่ายแล้ว
แจ็คสันพาเขาเดินเลี่ยงผ่านท้องพระโรงไปยังปีกตะวันตกของพระราชวัง ที่ปีกนี้แตกต่างจากทางที่เขาผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ที่นี่มืดสลัวกว่า คบเพลิงที่ไฟเป็นสีน้ำเงินตั้งอยู่ห่างกันเสียยิ่งกว่าทางที่เขาเคยผ่านมา ทหารตรวจตราน้อยลง แต่กลับถูกแทนที่ด้วยภูติผีแทน และไม่มีตนใดน่าพิสมัยสักตน บ้างเป็นผีตายโหงใบหน้าเละเทะ ขาขักหักจนผิดรูป บ้างเป็นผีถูกฆาตกรรมฆ่าปาดคอ บ้างหัวขาดต้องยืนถือศีรษะตัวเองอยู่อย่างนั้น แบมแบมเริ่มแน่ใจแล้วว่าเขาจะต้องขังตัวเองอยู่แต่ในห้องจริงๆ…
“ไม่ต้องกลัวหรอก ผีพวกนี้เราซี้กัน เนอะ เบนจี้” แจ็คสันหันไปขอแท็คมือกับผีตนหนึ่งทว่า…
ผีตนนั้นขาดแขนทั้งสองข้าง มันคำรามใส่อย่างหงุดหงิด
“เอ่อ…สงสัยจำผิดคน รีบไปต่อกันเถอะ จะถึงแล้ว”
พวกเขาเดินต่อไปอีกไม่กี่เมตรต่อจากนั้น แจ็คสันก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูขนาดใหญ่สีดำสนิทที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลาย และมันคงจะดูงดงามมากทีเดียวหากสิ่งที่ฝังอยู่ในลวดลายเหล่านั้นไม่ใช่ชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์! ทหารที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูเหลือบมองพวกเขาอย่างไม่ไว้ใจ ก่อนที่จะยอมเปิดประตูให้เมื่อเห็นใบหน้าของแบมแบมอย่างถนัดตา
“คราวนี้ก็ถึงเวลาค้นของแล้ว” แจ็คสันพูดอย่างตื่นเต้นทันทีที่ประตูปิดลง ไฟสีน้ำเงินสว่างขึ้นคอยให้แสงสว่างที่สลัวมากพอจะทำให้เกิดเงารูปร่างประหลาดตกกระทบตรงผนัง ห้องของอี้เอินตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทว่าก็แฝงความหรูหราอย่างที่เจ้าชายแห่งความตายควรจะได้รับ เครื่องเรือนทุกชิ้นเป็นสีดำ โต๊ะเขียนหนังสือขนาดกลางตั้งอยู่ริมหน้าต่าง สามารถมองออกไปเห็นวิวแม่น้ำสติกซ์ที่มีเหล่าวิญญาณรอเรือข้ามฟากของแครอนอยู่ น่ารื่นรมย์มากทีเดียว ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่มีฉากบังตากั้นอยู่ และที่ใจกลางคือเตียงสี่เสาหลังใหญ่ที่หัวเตียงมีโต๊ะลิ้นชักเล็กๆตั้งอยู่ ร่างบางรีบเดินตรงไปที่นั่น
“ฉันคิดว่ามันต้องล็อคเอาไว้” เสียงของแจ็คสันพูดดักคอขณะที่เจ้าตัวกำลังหยิบแจกันใบหนึ่งยัดใส่กระเป๋า
“ฉันมั่นใจว่าเราไม่ได้กำลังมาขโมยของกันนะแจ็คสัน” แบมแบมหรี่ตามอง แจ็คสันส่งยิ้มแหยๆ ค่อยๆวางแจกันคืนที่เดิมแล้วเดินตามมาสมทบด้วย หนุ่มร่างล่ำก้มมองโต๊ะตัวนั้น ก่อนจะเดาะลิ้นเบาๆแล้วเอื้อมมือบิดลูกบิดเล็กๆ เสียงปลดล็อคดังขึ้นพร้อมกับที่ลิ้นชักถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดาย
ภายในมีเพียงกล่องสีขาวสะอาดตาเล่มหนึ่ง นับเป็นสีขาวเพียงอย่างเดียวที่ในห้องนี้มี บนกล่องของมันไม่ได้มีอะไรบ่งบอกเฉลยความนัยน์ในสิ่งที่เขาอยากรู้ มีเพียงแค่ข้อความสั้นๆว่า ‘แด่ต้นพอพลาร์ของฉัน’ ร่างบางเหลือบมามองแจ็คสันอย่างขอความเห็น แต่นอกจากรอยยิ้มสนุกสนานนั่นแล้วเขาก็ไม่ได้รับอะไรอีกเลย แบมแบมกลั้นหายใจค่อยๆเปิดกล่องออกอย่างช้าๆ
เขาพูดความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก น้ำตารื่นขึ้นที่ขอบตาจนร้อนผ่าว สิ่งของที่อยู่ในนั้นคือของที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น และเนิ่นนานมากแล้วที่เคยเห็นมัน
หินสายฟ้า
วัตถุกลมมนเกลี้ยงสีน้ำตาลทอง ของเล่นที่เขาเคยเล่นตอนเด็กๆ เขาจำได้ว่าเคยนำไปวางไว้ยังที่ที่พบเจออี้เอินครั้งนั้นพร้อมกับกระดาษข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือของเด็กๆ ‘เราชื่อแบม เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ’ เพราะหวังจะพบเจออีกฝ่ายอีกครั้ง แต่ทุกครั้งก้อนหินก็มักจะถูกวางไว้ที่เดิมเพราะไม่มีคนมาเก็บกลับไป จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เขานำไปวาง ก้อนหินหายไปแต่เขาก็ไม่ได้ปักใจว่าอีกฝ่ายจะมาเก็บไปจริงๆ เพราะเย็นวันนั้นพ่อเขาเกิดพิโรธเทพองค์หนึ่งทำให้โอลิมปัสเกิดพายุฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ ลมพัดกรรโชก ต้นไม้หักโค่น สิ่งก่อสร้างบางอย่างพังทลาย เขาจึงคิดว่าเจ้าลูกหินนั่นคงถูกกระแสลมพัดหายไปเสียมากกว่า
“แจ็คสั…”
“แอบเข้าห้องคนอื่นแบบนี้นิสัยไม่ดีเลยนะ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของอี้เอินที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ด้านหลังมีแจ็คสันยืนทำหน้าแหยๆให้เขาอยู่
“ฉัน…”แบมแบมทำอะไรไม่ถูก อี้เอินเหลือบมองกล่องที่อยู่ในมือเขา ร่างบางรีบวางมันลง กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธที่เขาถือวิสาสะเข้ามา
“ฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเปิดมันนะ”
“ตั้งใจสิ เราตั้งใจทำนะ” แจ็คสันชะโงกหน้าออกมาจากหลังอี้เอิน แบมแบมรีบถลึงตาใส่ให้หยุดพูด
“ทำไมจู่ๆนายถึงเข้ามาที่นี่” ร่างสูงถามเสียงเรียบ ร่างบางกำมือแน่น ก้มหลบสายตาอย่างเด็กกลัวความผิดก่อนจะเอ่ยตอบ
“มีพัสดุส่งมาหาฉัน มันเป็นจดหมายภาพเคลื่อนไหนตอนที่นายกับแจบอมกำลังคุยกันว่านายมีความลับปิดบังฉัน สิ่งนั้นเป็นของมนุษย์กึ่งเทพคนหนึ่งที่สำคัญกับนายมาก ฉัน ฉัน..”
“หึงก็เลยอยากมาดูให้เห็นกับตางั้นสินะ” อี้เอินกอดอกเลิกคิ้วถาม แบมแบมก้มหน้าพยักหน้าอย่างจำยอม
“ฉันขอโทษ” ร่างบางว่าเสียงอ่อย ร่างสูงพูรลมหายใจราวกับกำลังอดกลั้น
“ทำไมนายไม่เชื่อใจฉันเลย ฉันจะทำยังไงกับนายดี แบมแบม” อี้เอินขยับเข้ามาใกล้ ดันตัวเขาจนติดกับโต๊ะข้างหัวเตียง ใบหน้าหล่อเหลานั่นเคลื่อนเข้ามาหา นัยน์ตาดุดันจับจ้องมาที่เขา ร่างบางรีบหลับตา รอรับบทลงโทษที่จะตามมา ทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือ…
เสียงหัวเราะ
“ลืมตาได้แล้วแบมแบม” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงขบขัน ร่างบางลืมตาขึ้นก่อนจะเบิกโพล่งเมื่อเห็นแจบอมจินยองและแจ็คสันกำลังถือเค้กเข้ามาพร้อมกับร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้เขา
“น น น นี่มันอะไรกันเนี่ย” แบมแบมถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ทั้งหมดคือแผนของฉันเอง วันนี้วันเกิดนายนี่ ฉันก็เลยอยากเซอร์ไพส์เลยไปขอให้แจ็คสันช่วยคิดแผนให้” อี้เอินอธิบาย พร้อมด้วยแจ็คสันที่ยืดอกทำหน้าภูมิใจพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ตัวเอง ร่างบางหัวเราะอย่างมีความสุข ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มีวันฉลองวันเกิด เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีความสุขในวันเกิดเลย แม่มักจะทำโทษเขาอย่างรุนแรงในวันที่…
“สุขสันต์วันเกิดนะแบมแบม” จินยองอวยพร ก่อนจะตามมาด้วยแจบอมที่ยื่นของขวัญให้ และแจ็คสันที่ยื่นเค้กมาตรงหน้า ดวงตากลมโตกวาดตามองเพื่อนทุกคนด้วยสายตาตื่นตัน รอยยิ้มแห่งความสุขคลี่ออกอย่างแช่มช้าแต่งดงาม หัวใจดวงน้อยเต้นในจังหวะที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาเพิ่งรู้จักกับคนกลุ่มนี้ได้ไม่นานนัก แต่ทุกคนกลับรักเขาเหมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่ม ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้เราฉลองวันเกิดด้วยกันอย่างนี้ต่อไปในทุกๆปี
เปลือกตาบางปิดลงอย่างช้าๆ สองมือยกขึ้นประสานอยู่ระหว่างอก คำอธิษฐานถูกวอนขอขึ้นอย่างเงียบๆภายในใจ ก่อนที่เปลือกตาบางจะค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อเป่าเค้ก แสงไฟในห้องกลับมาสว่าง มีดตัดเค้กถูกยื่นให้ก่อนที่ร่างบางจะค่อยๆตัดเค้กแบ่งให้สำหรับทุกคนอย่างช้าๆ
“ขอบคุณนะทุกคน” เสียงหวานเอ่ยบอกอย่างใจจริง จินยองหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ และแม้แต่แจบอมเองก็ยังเอ่ยบอกนิ่งๆตามนิสัยว่าไม่เป็นไร ส่วนแจ๊คสันก็กำลังยื่นหน….
จึ๊กๆ
หนุ่มร่างล่ำสะกิดเขาสองสามทีพร้อมมองตาละห้อย
“จะตัดเค้กได้ยังอะ หิวแล้ว” เสียงหัวเราะดังขึ้นก่อนที่ร่างบางจะรับมีดมาตัดเค้กแบ่งให้กับทุกๆคน
“เอาไปเลยแจ็คสันหิวดีนักเอาชิ้นใหญ่ไปเลย” เสียงเล็กแกล้งว่าอย่างไม่จริงจังนัก แจ็คสันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างชอบใจพร้อมกับยื่นของขวัญให้
“อะ ฉันให้” เสียงฮือฮาดังขึ้น ร้อยวันพันปีแจ็คสันเคยให้ของขวัญใครเสียที่ไหน ยิ่งห่อของขวัญด้วยแบบนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ หมอนี่งกจะตาย ร่างบางรีบแกะห่อออกอย่างรีบร้อนก่อนที่เสียงฮือฮาจะดังขึ้นเมื่อเห็นของที่อยู่ภายใน
เสื้อคลุมสดใสที่ปักด้วยดิ้นทองเป็นรูปดอกไม้และหมู่มวลผีเสื้อ
“โห สวยจังเลย นี่นายไปหามาจากไหนเนี่ย”
“นั่นน่ะสิ ปกติไม่เคยเห็นซื้อ” แจบอมเห็นด้วย แจ็คสันยิ่งทำหน้าภูมิอกภูมิใจเสียจนน่าหมั่นไส้
“เดี๋ยวนะ…” ท่ามกลางความตื่นเต้นจู่ๆเสียงจินยองก็ดังแทรกขึ้น ทุกคนหันไปสนใจ
“ฉันว่ามันคุ้นๆ…” มือเรียวหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้ว “นี่มันเสื้อของแม่ฉันนี่! นี่นายไปขโมยเสื้อผ้าแม่ฉันมาหรอ!” จินยองแหวเสียงดังก่อนจะวิ่งไล่ตีแจ็คสันที่รีบวิ่งหนีไปทั่วห้อง สร้างเสียงหัวเราะให้กับพวกที่ยืนมอง มีเพียงแจบอมเท่านั้นที่ได้แต่ส่ายศรีษะอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินเข้าไปห้ามเมื่อกลัวว่าทั้งสองจะทำอะไรในห้องเสียหายเข้า เขาเคยได้ยินมาว่าข้าวของในนรกราคาแพงหูฉี่มากทีเดียว
“แบมแบม” เสียงทุ้มที่คุ้นหูดังขึ้นข้างหูพร้อมกับสัมผัสอุ่นจากอ้อมแขนที่สวมกอดเขาจากด้านหลังอย่างอ่อนโยน ใบหน้าหล่อเหลาเกยคางมนได้รูปไว้ที่ไหล่
“ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องฉลองวันเกิดคนเดียวแล้วนะ”กระซิบบอกอย่างอ่อนโยน วงแขนแกร่งกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นขึ้นราวกับต้องการจะย้ำเตือนคำพูดนั้นให้ยิ่งดูหนักแน่น
“ขอบคุณนายมากๆเลยนะ” ร่างบางเอี้ยวหน้าหันไปคลี่ยิ้มให้ อี้เอินยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก
“ชู่ว์ อย่าขอบคุณฉัน มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้กันอยู่แล้ว” ร่างสูงกระซิบบอก ใบหน้าหวานทอแววไม่เข้าใจเล็กน้อย ก่อนจะได้รับคำหวานเป็นคำเฉลย “เติมความสุขให้แก่กันและกัน สุขสันต์วันเกิดนะแบมแบม” เอ่ยบอกก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะโน้มเข้ามาใกล้ กลีบปากค่อยๆเลื่อนเข้ามามอบจุมพิตอย่างอ่อนโยนราวกับยอดหญ้าที่โน้มตัวลงหาผืนดิน
“เดี๋ยว!” เสียงแจ็คสันโพล่งขึ้น พร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมาแทรกระหว่างริมฝีปากของพวกเขาเอาไว้
“นายลืมอะรไปรึเปล่า!” ร่างล่ำสันหันมาถามอี้เอิน ร่างสูงเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจนัก
“ก็ที่เราตกลงไว้ไง ว่าถ้าฉันช่วยนาย นายจะต้องมีสิ่งของมาแลกเปลี่ยน ตอนนี้ฉันคิด
ออกแล้วว่าอยากได้อะไร”
“ของที่ว่านั่นคืออะไร?” ทันทีที่อี้เอินถามกลับ สายตาไม่น่าไว้ใจอย่างเด็กเกเรถูกส่งมาให้ก่อนที่แจ็คสันจะเฉลยความต้องการของตนเอง
“สิ่งที่ฉันอยากได้ก็คือ….” เว้นช่วงเพื่อแกล้งให้ทุกคนที่ฟังอยู่ลุ้นระทึกเล่น ก่อนจะเฉลยความต้องการในวินาทีสุดท้ายที่ความอดทนของอี้เอินใกล้ปริแตก “หมวกล่องหนของพ่อนาย ฉันจะเอาไปง้อสาว!”
“ไม่มีทาง!” อี้เอินตอบทันควัน ไม่มีใครขโมยมันมาได้มันเปรียบเหมือนศาสตราวุธคู่กายของพ่อของเขาเลยด้วยซ้ำ ขนาดเขายังไม่เคยได้รับอนุญาติใช้เลย ขืนให้เขาไปเอาให้ มีหวังไม่ถูกพ่อลงโทษเอาหรอกหรือ
“คนของความตายพูดคำไหนคำนั้นซี่”
“เราไม่นิยมขโมยของกัน” ว่าก่อนจะรีบเปิดประตูแห่งเงาขึ้นแล้วยื่นมือมาให้แบมแบมจับ เตรียมจะพาหนี
“เฮ้นี่! เดี๋ยวก่อนสิ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ” เดือดร้อนจนแจ็คสันต้องใช้เพนตาลอสไล่ตาม โดยมีแจบอมกับจินยองยืนส่ายหน้าพร้อมกับตักเค้กป้อนกันและกันอยู่เบื้องหลังด้วยสีหน้าอ่อนใจ
“ฉันว่างานนี้แจ็คสันไม่ได้ง้อสาวอะไรนั่นหรอก” จินยองออกความเห็นขณะหยิบสายฟ้าที่ทำจากน้ำตาลเข้าปาก
“นั่นน่ะสิ ว่าแต่…” แจบอมหันมาสบตาพร้อมกับหยิบน้ำตาลที่ทำเป็นรูปหัวกระโหลกขึ้นมา “สาวคนนั้นเป็นใครกันหรอ” เอ่ยถามพร้อมกับป้อนน้ำตาลให้อีกคน
“เอ่อ ขอโทษนะครับ” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง “มีพัสดุมาส่งถึงคุณแจ็คสันครับ” ทั้งสองจับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ผู้ชายคนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเจอมา เพราะปีกของผู้ายคนนั้น…
เป็นสีรุ้ง…