0ctogus
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
0ctogus

0ctogus


You are not connected. Please login or register

ตัวสำรอง Part2

Go down  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

1ตัวสำรอง Part2 Empty ตัวสำรอง Part2 Sun Sep 04, 2016 5:48 pm

0ctogus

0ctogus
Admin

“เป็นมาร์คให้เราวันหนึ่งได้มั้ย”


ประโยคนั้นยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท กระแทกหัวใจอี๋เอินให้จุกเสียด การบรรยายความรู้สึกกลายเป็นเรื่องยาก เส้นเสียงกลายเป็นอัมพาต ดวงตาคู่คมยังคงมองอีกฝ่ายค้าง ร่างบางหลบเลี่ยงสายตาด้วยความละอาย ความรู้สึกผิดและผิดหวังแวบเข้ามาในแววตา


“เราคง….ขออะไรแปลกๆ ขอ ขอโทษด้วยนะ”


“มะ มะ ไม่ ไม่เลย” หัวใจเจ้ากรรมสั่งการให้ตอบไปอย่างนั้น ทั้งๆที่สมองไม่เห็นด้วย

“พี่เป็นให้ได้ ไม่ต้องคิดมากหรอก” ฝ่ามือแกร่งยกขึ้นมาลูบผมเด็กน้อยที่กำลังทำหน้าเศร้าอย่างอ่อนโยน


“จริงหรอ” ช้อนแววตากลมขึ้นมองด้วยประกายสุกใส ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าท่าทางเหล่านั้นกำลังสั่นคลอนหัวใจคนมองให้อ่อนยวบ


“จริงสิ ป่ะ เราไปกินข้าวกันได้แล้ว” คว้ามืออีกคนมากุมไว้ แสร้งยิ้มแย้มให้สบายใจ ร่างบางมองมือที่กุมอยู่อย่างลังเลก่อนจะฉีกยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ


“อื้อ!”



ร้านอาหารไทยกลายเป็นสถานที่เดทของคนทั้งสอง ร่างบางยิ้มเขินอย่างวางตัวไม่ถูก มือบางที่ถูกกุมอยู่เย็นเชียบ แม้ตอนที่ถูกดึงให้มานั่งฝั่งเดียวกันก็ยังคงยืนเก้ๆกังๆอย่างน่ารัก


‘ผมแค่…..เขินๆนิดหน่อย’ เสียงหวานเอ่ยบอก


‘เขินอะไร นั่งฝั่งเดียวกันน่ะถูกแล้ว’


‘นั่นสิเนอะ ก็ตอนนี้…..’ดวงตากลมโตช้อนตาขึ้นมามองเขา ‘พี่เป็นแฟนผมนี่นา’



หัวใจของอี๋เอินเต้นผิดจังหวะ พยายามแล้วที่จะไม่ถลำเข้าสู่ห้วงแห่งความสุขที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของ ทว่าก็ยากเหลือเกินเมื่ออีกด้านหนึ่งนี่ก็คือความฝันที่วาดไว้มาตลอดระยะเวลาหลายปี…


จะผิดมั้ยหากเขาจะมีความสุขกับมัน


จะผิดมั้ยหากเขาฉวยโอกาสทำสิ่งที่ต้องการ


จะผิดมั้ยหากเขาขอทำตามใจตัวเองบ้าง


“พี่ลองกินนี่ดูสิ เขาบอกว่าอร่อยมากๆเลย” ร่างบางตักอาหารให้อีกฝ่ายลองชิม แบมแบมวาดยิ้มกว้าง อี๋เอินเผลอมองรอยยิ้มนั้นอย่างตกอยู่ในภวังค์ จิตใจที่เคยเหี่ยวเฉากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งราวกับต้นไม้ได้น้ำ รอยยิ้มที่เขาไม่เคยได้เป็นเจ้าของ ความสุขที่เขาไม่เคยเป็นสาเหตุ จะผิดไหมหากเขาของชื่นชมมันอีกสักนิด


“อะ อื้ม…เราก็” อี๋เอินชะงักไป ถามกับตัวเองอย่างสัปดนว่าหากเขาสวมบทเป็นน้องชาย เขาจะได้รับรอยยิ้มนั้นอีกไหม จะได้รับยิ่งกว่ารอยยิ้มนั้นหรือเปล่า…


“ตักให้คนอื่นกิน ตัวเองก็กินบ้างจะได้อ้วนๆ” เอ่ยบอกพร้อมกับตักให้อีกฝ่ายกลับ แบมแบมช้อนตามองอย่างไม่คาดคิด ก่อนที่ริ้วสีแดงจะระบายอ่อนๆที่แก้มใส แววตาเปล่งประกายมีความสุข ก่อนจะฉีกยิ้มสดใสเป็นรางวัลให้อีกคน


หัวใจอี๋เอินเต้นในจังหวะที่ไม่เคยเต้นมาก่อน ภาพของคนตรงหน้าซ้อนทับกับภาพที่เขาเคยวาดไว้ ร่างบางที่เขาหลงรัก ร่างบางที่เขาไม่มีสิทธิ์ ร่างบางที่เขาแอบขโมยพามาในความฝันทุกคืน วันนี้กลับอยู่ตรงหน้าเขา กำลังเดทอยู่กับเขา กำลังมีความสุขเพราะเขา แม้พรุ่งนี้เขาจะต้องตื่นขึ้นมาเป็นเพียงแค่พี่ชายของอีกฝ่าย อย่างน้อยวันนี้เขาก็ขอมีความสุขเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็ยังดี


“เสร็จจากนี่แล้วอยากไปไหนต่อ” เอ่ยถามอีกคน หากว่านี่เป็นเพียงวันเดียวในชีวิตของเขา เขาก็ขอใช้มันให้คุ้มที่สุด


“อยากไปเดินดูเสื้อผ้า เพื่อนแซวแล้วว่าช่วงนี้ใส่แต่ตัวเดิมๆ”ร่างบางหัวเราะจนดวงตารวมกันเป็นขีด อี๋เอินลอบมองอีกฝ่ายโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าแววตาที่มองนั้นอบอุ่นเพียงใด ริมฝีปากได้รูปนั้นกำลังวาดยิ้มอ่อนโยนแค่ไหน…หัวใจของแบมแบมเริ่มเต้นผิดจังหวะ



ร้านเสื้อผ้าสตรีทแวร์กลายเป็นที่หมายต่อไป ร่างบางเดินเลือกเสื้อผ้าไปเรื่อยเปื่อยโดยมีอี๋เอินเดินตามคอยออกความเห็นอย่างที่มาร์คไม่เคยทำมาก่อน ผู้ชายคนนั้นมักแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายรำคาญ ไม่คิดเอาใจ่ใส่เขา ต้นไม้แห่งความสุขค่อยๆแตกหน่อผลุดขึ้นในใจทั้งสองทีละนิด ทีละนิดโดยไม่รู้ตัว ทั้งคู่ต่างเคยวาดฝันภาพเหล่านี้เอาไว้ คนรักที่สมบูรณ์แบบ การได้รับและรับรักซึ่งกันและกัน


“พี่ว่าตัวนั้นสวยกว่านะ” อี๋เอินชี้ไปที่อีกตัวที่แบมแบมถืออยู่ ร่างบางชูอีกตัวขึ้นมาเสนอ


“แต่ผมว่าสีนี้มันสวยกว่านี่นา แต่ว่า…พี่ว่าตัวนั้นสวยกว่าเอาตัวนั้นก็ได้”เผลอทำนิสัยอย่างตอนที่อยู่กับมาร์คกับอีกคน เพราะปกติผู้ชายคนนั้นไม่ชอบคนเรื่องมาก และหากเขาเถียงกลับก็จะกลายเป็นเรื่องต้องทะเลาะกัน


“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” ฝ่ามือแกร่งยีผมอีกฝ่ายเบาๆ รอยยิ้มที่เคยคาดหวังจากอีกคนถูกอีกฝ่ายมอบให้อย่างอบอุ่น “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนเหมาะ” แบมแบมเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างลืมตัว…


ทำไมถึงได้อ่อนโยนขนาดนี้กัน

ทำไมถึงได้ใจดีขนาดนี้กัน

ทำไมถึง….

ไม่มาเจอกันตั้งแต่แรก


“อื้อ! งั้นเดี๋ยวผมจะไปลองให้พี่ดูนะ” ตอบรับอย่างร่าเริงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องลอง อี๋เอินมองตามอย่างมีความสุข มันเกินกว่าที่เขาเคยได้ไว้มาก เมื่อก่อนได้แค่รอยยิ้ม ได้แค่เสียงหัวเราะ แต่ตอนนี้เขากลับได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่น้องชายเคยได้


“ทะด๊า” เสียงหวานสดใสดังเรียกความสนใจพร้อมกับร่างบางที่เปิดประตูออกมาพร้อมกับชุดใหม่ อี๋เอินมองค้าง รอยยิ้มถูกวาดขึ้นที่กลีบปากช้าๆ


“น่ารัก…” คำชมที่ถูกหยิบยื่นให้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยกระตุกหัวใจดวงน้อยให้เต้นไม่เป็นจังหวะ ร่างบางเผลอหลบตาอย่างเขินอาย


“หมุนตัวหน่อย” เสียงทุ้มเอ่ยบอก แบมแบมทำตามอย่างว่าง่าย มือแกร่งแตะสะโพกให้หยุดรั้งก่อนจะขยับเข้ามาใกล้


“เราลืมติดกระดุมตรงนี้น่ะ” เสื้อดีไซน์แปลกเจ้ากรรมดันมีกระดุมที่สะโพก นิ้วแกร่งค่อยๆติดกระดุมให้ช้าๆ ก่อนที่ใบหน้าคมจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายในกระจก
วินาทีนั้นดวงตาสองคู่สอดประสาน ความรู้สึกวูบไหวเริ่มก่อตัว ผิดชอบชั่วดีเริ่มถูกลืมเลือน



ใบหน้าคมคายที่เหมือนแฟนของเขาทุกกระเบียดค่อยๆโน้มต่ำลงมาเรื่อยๆ ริมฝีปากได้รูปใกล้สัมผัสผิวเนื้อซอกคอขาว หัวใจของแบมแบมเต้นถี่รัว ทั้งลังเลสับสนและอยากลอง มีเพียงเส้นกั้นบางๆขวางกั้นระหว่างความปรารถนาและความถูกต้อง


“อย่า…” เสียงเล็กบอกห้ามอย่างไม่หนักแน่น ทว่าก็รุนแรงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายชะงัก แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความสุขหม่นแสงลงทันตา


“ขอโทษที” ยิ้มเศร้าให้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองเป็นใคร ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์


แบมแบมได้แต่มองอีกคนที่เดินออกไป แวบหนึ่งที่คิดอยากเอื้อมมือไปรั้งเอาไว้ แต่กลับถูกความถูกต้องกระชากกลับมา ถึงอยากสัมผัสกับคำว่าความสุขมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่หลงลืมว่าอีกฝ่ายเป็นแค่พี่ชายแฟน และหากเขาก้าวข้ามเส้นบางๆนั้นไป ต่อจากนี้….มันจะไม่มีอะไรเหมือนเดิม


“ผมว่าเรากลับกันเถอะ” เอ่ยบอกอีกคนที่ยืนรออยู่ข้างนอก อี๋เอินไม่ได้ตอบอะไรกลับ มีเพียงแค่การเดินตามมาด้านหลังเท่านั้นที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกรธเขาจนคิดอยากแยกจากกันเสียเดี๋ยวนั้น



ร่างสูงเดินตามมาด้วยหัวใจที่วูบโหวง ภาพและถ้อยคำเหล่านั้นยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ สิ่งที่แบมแบมแสดงออกมายิ่งตอกยิ่งย้ำว่ารักมาร์คมากแค่ไหน ต่อให้เขาจะพยายามเป็นมาร์คมากแค่ไหนก็ไม่มีวันเทียบเคียงได้ เขาผิดเองที่หยามใจเกินไป หลงระเริงเกินไป ลืมไปว่าใจดวงนั้นไม่เคยมีที่ว่างสำหรับเขา แม้เพียงเศษเสี้ยวก็ไม่มี มันมีแต่มาร์ค มาร์ค มาร์ค น้องชายฝาแฝดที่ไม่เคยดูดำดูดีอะไรร่างบางเลยสักนิด


“ทำไมถึงรักมันมากขนาดนั้น” เอ่ยถามออกไปอย่างไม่ทันคิด ด้านหนึ่งของเขาแค่สงสัย สงสัยว่าทำไมถึงต้องรักคนที่ไม่เคยรักตัวเองมากขนาดนั้น


“พี่พูดว่าอะไรนะ” ร่างบางหันกลับมาถาม เป็นครั้งแรกที่อี๋เอินนึกอยากใจกล้าขึ้นมา


“รักมาร์คมันมากขนาดนั้นเลยหรอ”



แบมแบมนิ่งไปชั่วขณะ พยายามไม่รับรู้ถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายอยากรู้คำตอบ และฝังกลบความลังเลใจที่อยู่ๆก็แวบเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของเขา ก่อนที่จะแย้มยิ้มแล้วเอ่ยตอบ


“มากสิ ไม่คิดว่าจะรักคนอื่นนอกจากมาร์คแล้วด้วย” เจ็บแปลบ…ทำไมการบอกรักมาร์คของเขาครั้งนี้มันถึงกระตุกหัวใจของเขา เมื่อเห็นแววตาเจ็บปวดของอีกฝ่าย


“อ้อ… หรอ อย่างนั้นสินะ” ร่างสูงยิ้มสมเพชตัวเอง แบมแบมบีบมือตัวเองแน่น ใช่ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีให้ เขาแค่ไม่อนุญาติให้หัวใจได้สัมผัสมันเท่านั้น


“อื้ม เรา กลับกันได้รึยัง”


“ตอบพี่อีกข้อหนึ่งได้ไหม” อี๋เอินพูดขึ้นมาอีกครั้ง แบมแบมชะงักไปหนึ่งจังหวะก่อนจะปรับสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติแล้วพยักหน้ารับ


“ระหว่างตอนที่อยู่กับพี่กับมาร์ค ตอนไหนมีความสุขมากกว่ากัน”



เขา….



“ผม…” แบมแบมอึกอัก อี๋เอินมองอีกคนอย่างเฝ้ารอคำตอบ


“ผม…”



“อ่าว มาเที่ยวกันหรอ” มาร์คเดินเข้ามาทักพวกเขา แทบไม่สังเกตุบรรยากาศตึงเครียดรอบตัวสักนิด


“พี่ต้วนเขามาเป็นเพื่อนน่ะ พี่มาคนเดียวหรอ” แบมแบมเปลี่ยนสีหน้าทันที มือบางเลื่อนไปจับมือแฟนตัวเองโดยมีสายตาของอี๋เอินลอบมองอยู่


“อืม เพิ่งแยกกับเพื่อน แต่กำลังจะกลับแล้ว”


“ดีเลย พวกเราก็จะกลับเหมือนกัน”


“งั้นก็กลับด้วยกันสิ” หันไปถามคู่แฝดของตัวเองที่เอาแต่เงียบตั้งแต่เจอกัน


“อืม”


“อาห๊ะ” มาร์คออกเดินนำไปลานจอดรถพร้อมกับโอบไหล่แบมแบม ร่างบางหันไปส่งยิ้มให้เขา อี๋เอินมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่แหลกลาน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แค่นี้เขาก็รู้คำตอบแล้ว…


เพราะของปลอมๆอย่างเขามุนใช้ทดแทนเท่านั้น


แววตาอีกฝ่ายบอกเขาว่ายังคงมีแต่มาร์ค


จะวันนี้ หรือวันไหน…

ก็ไม่มีวันเป็นตัวจริง…



“ขอบคุณนะ..” ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าควรพอแล้วจริงๆ




รถสปอร์ตคันหรูถูกขับออกจากห้างสรรพสินค้าด้วยความเร็วสูง อี๋เอินเลือกที่จะเบือนหน้าหนีภาพบาดตาออกนอกหน้าต่าง นึกอยากให้ตัวเองตาบอด หูหนวกเสียเดี๋ยวนี้จะได้ไม่ต้องรับรู้ แบมแบมยังคงแสดงความรักกับมาร์คอย่างปกติราวกับเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อนไม่เคยเกิดขึ้น


“เดี๋ยวฉันขอแวะเซเว่นแปบนึงนะ จะลงไปซื้อของหน่อย” เสียงของมาร์คดังแทรกเข้ามาในภวังค์ขณะที่เจ้าตัวกำลังปาดรถเข้าจอดข้างทาง แบมแบมเหลือบมองมาทางอี๋เอิน


“เดี๋ยวผมลงไปซื้อให้ ผมมีของที่ต้องซื้ออยู่พอดี” ร่างบางเสนออย่างกระตือรือร้น คงไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพังสินะ…


“เอางั้นหรอ” น้องชายของเขาเลิกคิ้ว อีกฝ่ายพยักหน้ารับ


“งั้นฝากด้วยแล้วกัน” แล้วร่างบางก็รีบลงไป ร่างสูงนึกสมเพชตัวเองในใจ ดวงตายังคงลอบมองอีกฝ่ายที่กำลังเลือกซื้อของขณะที่มาร์คขับรถเลื่อนเข้าไปให้ใกล้กับทางออก



“เป็นไรวะ ทำไมดูเงียบแปลกๆ”น้องชายเอ่ยถาม เขาหันไปสบตาผ่านกระจกมองหลัง



“เปล่า ฉันแค่ เฮ้ยมาร์ค!” ทว่าคำตอบทุกอย่างกลับถูกแทนด้วยความอุทาน ร่างสูงร้องเสียงหลงเมื่อเห็นรถบรรทุกคันหนึ่งขับผ่าไฟแดงพุ่งมาหาพวกเขา


แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


เสียงบีบแตรดังลั่น แสงแตรหน้ารถสว่างขึ้นจนขาวโพลน ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมาเสียงการปะทะจะดังลั่นบริเวณ


“พี่!!!”แบมแบมที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อหวีดร้อง รถสปอร์ตของมาร์คหมุนคว้างกลางอากาศก่อนจะไปกระแทกเบียดอัดอยู่กับตึกข้างๆ


“พะ พะ พี่…” ถุงที่หิ้วมาด้วยถูกปล่อยให้ตกลงพื้น ร่างบางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มองเลือดสีสดที่ไหลเจิ่งนองออกมาจากรถก่อนที่จะเริ่มได้สติ


“พี่ พี่ครับ!” สองขาเรียวรีบวิ่งเข้าไปหา สภาพของทั้งสองนั่งหอบหายใจโรยรินเลือดโชกคาที่ “ใครก็ได้เรียกรถโรงพยาบาลให้ที ใครก็ได้” เสียงหวานแผดเสียงขอความช่วยเหลืออย่างร้อนรน



รถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุในอีกสิบนาทีต่อมา ร่างของทั้งสองถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ตลอดระยะทางแบมแบมเอาแต่หวีดร้องและร่ำไห้ มาร์คและอี้เอินหายใจโรยริน จังหวะการเต้นของหัวใจเข้าขั้นวิกฤต เหล่าพยาบาลต่างวุ่นวายคอยช่วยกันทำการรักษาเบื้องต้นให้ได้มากที่สุด หากแต่ดูเหมือนว่าจะมีฝาแฝดเพียงคนเดียวที่ตอบสนอง…


อี๋เอินเริ่มหมดสติ


“พี่ พี่ห้ามหลับนะ พี่ตื่นก่อน พี่ ได้ยินผมไหม” เสียงหวานตะโกนบอก มือบางจับแก้มอีกฝ่ายหวังยื้อสติไว้


“แบม” เสียงทุ้มเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาจนแทบไม่ได้ยิน รอยยิ้มอบอุ่นยังคงประดับอยู่บนใบหน้าแม้จะอ่อนแรงสักเพียงใด ร่างบางรีบขยับเข้าไปฟัง


“ย ย อย่า ร้อง” มือที่โชกเลือดพยายามบีบมืออีกฝ่าย ดวงตายังคงสะลึมสะลือลงเรื่อยๆ


“พี่ห้ามหลับนะ พี่ห้ามหลับ ตื่นสิ ตื่น!”


“พี่ อั่ก!”ร่างสูงกระอักเลือด


“ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว คุณ รีบช่วยเขาสิ รีบช่วยเขา!”


“ ม ม ไม่เป็นไร พี่ ไม่ เป็นไร” วาดยิ้มอ่อนล้าให้อีกฝ่าย พยายามฝืนร่างกายไม่ให้หลับตอนนี้ “สัญญากับพี่เรื่องหนึ่งได้ไหม”


“ฮึก…พี่อยากคุยอะไร ผมจะฟังพี่เอง”


“ต่อจากนี้ต้องรักตัวเองให้มากๆนะ ย ย อย่า อย่าเอาแต่ร้องไห้ มีความสุขให้มากๆ ดูแลตัวเองดีๆ เพราะ….เพราะพี่คง..” ร่างสูงสำลักออกมาเป็นเลือด


“พ พ เพราะพี่คง…อยู่ดูแลเราไม่ได้อีกแล้ว”


“ไม่! ไม่ พี่ต้องอยู่กับผมสิ พี่ต้องอยู่กับผม” แบมแบมส่ายหน้าบีบมืออีกฝ่ายแน่น ร่างสูงยิ้มอบอุ่นให้พยายามยกมือมือที่สั่นเทาอีกข้างเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย


“รักกับมาร์คให้มากๆ อดทน อดทนกับ มัน หน่อยนะ มันแค่ แสดงความรู้สึก ไม่ เก่ง” หยาดน้ำตาค่อยๆไหลรินแม้จะฝืนใจที่ต้องพูด แต่เขาก็อยากมั่นใจว่าต่อจากนี้ร่างบางจะมีความสุข ได้โดยปราศจากเขาจริงๆ…


“พี่ครับ ไม่นะ ไม่” แบมแบมบีบมืออีกฝ่าย พยายามกอดร่างที่เต็มไปด้วยเลือดเอาไว้


“ขอโทษที่ไม่เคยบอกนายเลยนะ แต่พี่…”จังหวะการเต้นของหัวใจลดฮวบ ร่างบางรีบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น หยาดน้ำตาพรั่งพรูลงมาเป็นสาย “แต่พี่ พี่ รักนายนะ”


ตี๊ดดดดดดดดดดดดดด


“พี่ต้วน!!!” แบมแบมหวีดร้อง มือของอี๋เอินตกลงข้างตัว จังหวะหายใจหายไป พยาบาลรีบเข้ามาดึงตัวเข้าออกแล้วทำการปั๊มหัวใจ แต่ช่วยเท่าไรก็ไร้การตอบสนอง รถพยาบาลเข้าจอดเทียบทางเข้าห้องฉุกเฉิน เตียงผู้ป่วยถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด


“ญาติคนไข้รออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ” พยายามเอ่ยบอกก่อนที่ประตูบานนั้นจะปิดลง พร้อมกับภาพสุดท้ายของอี๋เอินที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง


“พี่ต้วน…” ร่างบางทรุดฮวบร่ำไห้ลงกับพื้น เฝ้าภาวนาขอให้มีปฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ที่จะนำพาผู้ชายคนนั้นกลับมาให้เขา


กลับมานะ กลับมา กลับมาฟังคำขอโทษของเขาก่อน



……………………………..


ปาฏิหาร์ย์ ไม่เคยมีจริง…

อี๋เอินไม่กลับออกมาจากห้องนั้น มีเพียงมาร์คเท่านั้นที่ถูกเข็นออกมา


“เสียใจด้วยนะครับ แต่เรา…..ช่วยได้แค่คนเดียวจริงๆ”แพทย์ผู้ผ่าตัดเอ่ยบอกกับเขาอย่างนั้น โลกทั้งใบของแบมแบมมืดมน ความหวังที่เคยจุดอยู่ในใจเล็กๆดับหมอด ดวงตาคู่สวยมองร่างของมาร์คที่ยังคงสลบอยู่บนเตียง



ทำไมถึงไม่มีปฏิหาริย์ ทำไมพระเจ้าถึงไม่ฟังคำขอของเขาเลย


แบมแบมนั่งเฝ้าไข้มาร์คด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว ภาพวินาทีสุดท้ายของอี้เอินยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำ ที่ผ่านมาทำไมเขาถึงไม่ยอมรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย ที่ผ่านมาทำไมเขาถึงเมินเฉยความรู้สึกนั้น ทั้งๆที่ในส่วนลึกของหัวใจเขาเองก็เคยรู้สึกหวั่นไหว เขายิ้มได้กว้างอย่างที่เคยเป็นเมื่ออยู่กับอี๋เอิน เขาเป็นตัวของตัวเองได้เมื่ออยู่กับอี๋เอิน เขามีความสุขได้มากที่สุดก็เมื่ออยู่กับอี๋เอิน


“ระหว่างตอนที่อยู่กับพี่ กับมาร์ค ตอนไหนมีความสุขมากกว่ากัน”
วันนี้เขารู้คำตอบนั้นแล้ว แต่กลับ…


ไม่มีผู้ฟังแล้ว


“ผมขอโทษ…” หยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไหลรินลงมาอาบแก้ม ที่ผ่านมาเขามันโง่เอง โง่ที่คิดว่ารักมาร์ค โง่ที่คิดว่าไม่ควรรักอี๋เอิน โง่ที่รู้ตัวช้า เขามันโง่เอง



อยากได้โอกาสย้อนกลับไปแค่ไหนแต่ทุกอย่างก็เป็นได้แค่ฝัน เป็นแค่ความเจ็บปวดที่ไม่มีวันแก้ไข เป็นแค่ความผิดพลาดที่ไม่มีโอกาสแก้ตัว


“อั่ก..” เสียงของมาร์คเรียกให้เขาหันไปสนใจ ร่างสูงกำลังเริ่มขยับตัว แบมแบมรีบกดเรียกพยาบาลให้รีบเข้ามา ร่างสูงค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆดวงตาคู่คมกวาดตามองไปรอบๆอย่างสำรวจก่อนที่จะหันมาเห็นแบมแบม


“อี๋เอินล่ะ” ประโยคแรกที่พูดหลังจากสลบไปนานกว่าหลายชั่วโมงเป็นชื่อของพี่ชายที่แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก แต่เขาก็คือสายเลือด ร่างบางนิ่งเงียบ ก้มหลบสายตาไม่กล้ามองตาด้วย


“เขา เขา… ไม่จริงน่า นี่ล้อเล่นใช่ไหม” ทว่าแบมแบมก็ยังคงเงียบ หยาดน้ำตาคลอหน่วงอยู่ที่ขอบตา


ก๊อก ก๊อก


“สวัสดีครับคุณมาร์ค ผมเป็นแพทย์เจ้าของไข้คุณ”แพทย์พร้อมพยาบาลผู้ช่วยเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับแจ้งว่าคนไข้ฟื้นเรียบร้อยแล้ว


“พี่ชายผมล่ะครับ”


“เขา…” สีหน้าของแพทย์หนุ่มเปลี่ยนไปทันทีเมื่อถามถึง นั่นยิ่งตอกย้ำความกลัวของมาร์คให้เป็นจริง “เขาเป็นพี่ชายที่รักคุณมาก แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนจะจากไปเขาก็ยัง…” นายแพทย์สบตากับมาร์ค


“บอกให้เรานำอวัยวะของเขามาให้คุณ”


“อ อ อะไรนะ” มาร์คและแบมแบมพูดขึ้นพร้อมกันด้วยหัวใจที่ปวดร้าว


“อวัยวะหลายส่วนของคุณบอบช้ำมาก แต่พี่ชายของคุณยอมสละดวงตา ปอดซีกขวา และ…..หัวใจให้คุณ”


“คุณ คุณ คุณพูดจริงหรอ” ร่างบางถามซ้ำ นายแพทย์พยักหน้าตอบ แบมแบมค่อยๆหันไปหามาร์คอย่างช้าๆ


ดวงตาคู่นี้ที่เคยใช้มองเขาอย่างอ่อนโยน


ร่างกายนี้ที่เคยโอบกอดเข้าเอาไว้


หัวใจดวงนี้ที่เคยเต้นเพื่อเขา แต่ตอนนั้นมันกลับ…


อยู่ในตัวผู้ชายอีกคนที่ไม่เคยรักเขาเลย


“พี่ต้วน...” ทำนบน้ำตาพรุ่งพรู มือบางที่สั่นเทายกขึ้นประครองใบหน้าของอีกฝ่ายไว้


“ทำไม…ทำไมหมอถึงยอมทำตามที่เขาพูด ทำไมหมอถึงยอมผ่าตัดให้เขา!” มาร์คถามอย่างโกรธเกรี้ยว หากแต่ดวงตากลับเจือแววเจ็บปวด


“คนไข้หัวใจหยุดเต้นไปแล้วช่วงหนึ่งก่อนที่เราจะปั๊มขึ้นมาได้ เขาฟื้นขึ้นมาเพียงช่วงสั้นๆแล้วก็บอกเราอย่างนั้น อ้อ แล้วเขาก็ยังพึมพำประโยคหนึ่งออกมาซ้ำๆด้วย”


“อะไร”


“เขาพูดว่า……มาร์คดูแลแบมดีๆ ก่อนที่จะจากไป…”สิ้นเสียงนั้นทั้งห้องก็ถูกความเงียบปกคลุม ความรู้สึกของมาร์คถูกแช่แข็งอยู่ในห้วงแห่งความตกตะลึง ในขณะที่แบมแบมเองก็ถูกจองจำอยู่ในคุกแห่งความเจ็บปวด


“ฮึก”มือบางกำเสื้ออีกคนไว้แน่น เอนตัวพิงซบอย่างอ่อนแรง


จากนี้ไม่มีอีกแล้วคนที่ห่วงใย


จากนี้ไม่มีอีกแล้วคนที่เคียงข้าง


จากนี้ไม่มีอีกแล้ว….คนที่รักเขา



และเขา…




ก็เพิ่งรู้ว่ารักอีกฝ่ายเช่นกัน



ในวันที่ไม่มีคนๆนั้นอีกแล้ว













เคยมีคนพูดไว้ว่า

เราจะรู้ว่าแสงแดดสำคัญในวันที่อากาศหนาวเหน็บ

เราจะรู้ว่าแสงไฟสำคัญในวันที่ทุกอย่างมืดมิด

เราจะรู้ว่าคนคนนั้นสำคัญในวันที่…



เขาจากไปแล้ว





http://0ctogus.forumth.com

ขึ้นไปข้างบน  ข้อความ [หน้า 1 จาก 1]

Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ